ภาคที่ 2 บทที่ 172 ขยายออก

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 172 ขยายออก

ตู้ม !

คลื่นพลังระเบิดออกมาพร้อมกับปล่อยแสงหลากสีสว่างจ้าไปทั่วฟ้า

ทั่วผืนฟ้าเต็มไปด้วยสีหลากหลายสีในพลัน ส่องประกายระยับคล้ายกับสายรุ้ง

ซูเฉินพบว่าท้องฟ้ากำลังหมุนวน ผืนดินก็เช่นกัน

โลกเบื้องหน้าของเขาราวกับกำลังตกอยู่ภายในแรงหมุนวนขนาดใหญ่

ราวกับบางสิ่งบางอย่างกำลังยืดออก ขยายตัวออก และพองตัวออก

มันคือการที่เขาสูงลูกนี้กำลังราบเรียบลงและพลังงานสูญกำลังแผ่ขยายออก เป็นภาพที่เหลือเชื่อนัก ราวกับกำลังขี่อยู่บนไหล่มนุษย์ยักษ์ที่หลับไหลมาเป็นเวลานาน และในที่สุดก็ถึงวันตื่น

เย่ฉีมิ่งส่งหมัดเข้าหน้าเผ่าคนเถื่อน แรงปะทะกำลังจะซัดเข้าใบหน้าอีกฝ่าย หากแต่เขาพบว่าเขาส่งการโจมตีไปไม่ถึง แม้จะดูเหมือนอยู่ใกล้ แต่คล้ายกับถูกมหาสมุทรกว้างใหญ่ขวางกั้น……

อวิ๋นเป้าพุ่งเข้าประชิดนักรบอารามถือหอก เขารวดเร็วกว่าอีกฝ่าย แต่กลับพบว่ายิ่งวิ่งยิ่งออกห่างจากอีกฝ่ายมากกว่าเดิม แม้อีกฝ่ายจะช้ากว่าเขาแต่กลับทิ้งระยะห่างออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ……

ถังหมิงทำท่ามือวาดไปในอากาศ มังกรวารีก็เลื้อยพันอยู่รอบกาย จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ศัตรู หากแต่มันไม่กลับมาข้างกายถังหมิงดังเดิม มันยังคงพุ่งออกไปอยู่เช่นนั้น แยกห่างออกจากถังหมิงไกลออกไปเรื่อย จนในที่สุดเขาก็ไม่อาจควบคุมมันได้อีกต่อไป……

คนอื่น ๆ ก็เริ่มสัมผัสถึงปรากฏการณ์สับสนในครั้งนี้ได้เช่นกัน

ขุนเขาปั่นป่วน พลังงานสูญสั่นคลอน โลกเบื้องหน้าสะท้านสะเทือนราวกับถูกเคลื่อนพลังมหาศาลบางอย่างเขย่าจนสั่นคลอนไปทั่วทั้งผืนผสุธา

ในตอนนั้นพลังงานสูญพลันมีรูปร่างทางกายภาพ มันกำลังถูกบีบและเริ่มพังทลายลง อีกทั้งยังเสียความสมดุลไปจนสิ้น

ที่น่าเหลือเชื่อคือปราสาทบนยอดเขาเองก็เริ่มขยายตัวออกด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นมันขยายตัวออกราวกับมีชีวิตจิตใจขึ้นมาคล้ายอสูรยักษ์แล้ว ทุกคนก็ตกตะลึงไป

มันขยายตัวออกเร็วมากจนกระทั่งกินพื้นที่ที่เหลืออยู่ในพลังงานสูญไปเสียมาก รวมถึงพื้นที่การต่อสู้ด้านล่างด้วย

ผู้คนที่ยังทำการต่อสู้อยู่เมื่อครู่พลันเห็นประตูปราสาทเปิดออก จากนั้นทางเข้าที่มองไปภายในเห็นเพียงสีดำสนิทก็ดูดพวกเขาเข้าไป

“อ๊ากกกกก !” ทุกคนเปล่งเสียงร้องตกใจออกมาในพลัน

หากแต่พวกเขาไม่อาจต้านทานการขยายออกของพลังงานสูญในครั้งนี้ได้ ทำได้เพียงดิ่งลงเหวลึกอันมืดสนิทไปเท่านั้น

“ชิงลั่ว !” ซูเฉินตะโกน

กู่ชิงลั่วร่างหมุนคว้างเข้าไปในประตูปราสาท นางเหลือบมองซูเฉินคล้ายกับอยากเอ่ยคำใด หากแต่กลับไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้ทันเวลา ร่างของนางก็พลันหายเข้าประตูนั่นไป

ซูเฉินคิดจะไล่ตามนางไป แต่เขายังต้องคว้าร่างผีเยวี๋ยนหงไว้ ทำได้เพียงมองดูภาพกู่ชิงลั่วถูกดูดหายไปและปล่อยให้ร่างตนเองถูกดึงเข้าไปด้วยเท่านั้น

ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงร้องจากจี้ลั่วอวี่ดังขึ้น “ศิษย์พี่ซู ช่วยข้าด้วย !”

ซูเฉินวาดมือคราหนึ่ง หนวดอากาศก็พุ่งออกไปคว้าร่างจี้ลั่วอวี่แล้วดึงเข้าหาตัวเขา คนทั้งสามถูกดูดลงหลุมดำไปพร้อม ๆ กัน

————————————————

ปึ่ง !

ซูเฉิน ผีเยวี๋ยนหง และจี้ลั่วอวี่กระแทกเข้ากับผนังแห่งหนึ่ง

“อ๊ะ !” จี้ลั่วอวี่ยกมือกุมหัวตนไว้แล้วร้องออกมา

เขาพบว่าตนกระแทกเข้ากับผนังเหล็กแห่งหนึ่ง

ตอนนี้เขากำลังอยู่ในโถงทางเดินยาว

ซูเฉินวางร่างผีเยวี๋ยนหงไว้บนพื้น เริ่มเงยหน้ามองพื้นที่โดยรอบ เขามองเพดานเหนือหัวแล้วเอ่ยขึ้น “ดูท่าตอนนี้เราจะเข้ามาด้านในแล้ว แต่ลั่วอวี่ พวกเราถูกดูดเข้าประตูหน้าปราสาทมา เหตุใดจึงร่วงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า ?”

จี้ลั่วอวี่ตอบ “อาจเพราะการแทรกแซงหลากมิติ”

“การแทรกแซงหลากมิติ ?” ซูเฉินคล้ายกับจะเข้าใจ

แนวคิดของ ‘การแทรกแซงหลากมิติ’ นั้นเป็นคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับมิติพลังงานสูญ เมื่อครั้งอาณาจักรอาร์คาน่ายังคงอยู่ ประมาจารย์อาร์คาน่าบางท่านได้เสนอแนวคิดเรื่อง ‘มิติ’ ขึ้น แยกโลกที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าออกเป็น 3 มิติ ซูเฉินเคยได้ยินทฤษฎีนี้มาก่อน วัตถุ 2 มิติจะดูราบเรียบ ในขณะที่วัตถุ 3 มิติจะมีพื้นที่ทางกายภาพ หากมองพื้นที่ 3 มิติเป็นพื้นที่ 2 มิติก็จะคล้ายกับการที่คนมองกระดาษแผ่นหนึ่ง สามารถเห็นทุกสิ่งอย่างบนกระดาษแผ่นนั้นได้อย่างชัดเจน แต่หากเป็นมดตัวหนึ่ง จำต้องเดินไปทั่วกระดาษจึงจะสามารถเข้าใจ สำหรับมนุษย์แล้วเหลือบตามองครั้งเดียวก็สามารถรับรู้ได้

ดังนั้นยามจี้ลั่วอวี่เอ่ยคำว่า ‘การแทรกแซงหลากมิติ’ เขาจึงหมายความเช่นนั้น

หากเป็นเพราะการแทรกแซงหลากมิติจริง ซูเฉินก็สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงมาโผล่อยู่ ณ มุมหนึ่งภายในปราสาทได้

หากมองจากโลกมิติสูงกว่า ทั่วทั้งปราสาทนี้ก็คล้ายกับพื้นที่กว้างที่จะสามารถเข้าไปยังจุดใดก็ได้

นี่ยังเป็นทฤษฎีเบื้องหลังจากกระโจนเข้าและออกจากพื้นที่พลังงานสูญของเผ่าอาร์คาน่าโบราณ ทุก ๆ การกระโจนฝ่ามิติ ร่างของคนผู้นั้นจะถูกดึงไปยังมิติที่สูงกว่าชั่วขณะ จากนั้นก็จะถูกดึงกลับมายังมิติที่ต่ำกว่าดังเดิม

หากแต่วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายไม่ได้ใช้ทฤษฎีนี้ หากแต่เป็นวิธีขั้นสูงกว่านั้นซึ่งตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง

“เช่นนี้เราควรทำอย่างไรต่อ ?” จี้ลั่วอวี่เหลือบมองซูเฉิน

“แล้วจะทำอันใดได้อีก ?” ซูเฉินเหลือบมองโดยรอบอีกครา “ในเมื่อเข้ามาแล้ว จะเจอกับสถานการณ์เช่นไรก็ต้องหาทางรับมือไปตามนั้น สังหารผู้ที่จำเป็นต้องสังหาร ช่วยผู้ที่สมควรช่วย และชิงเอาสิ่งที่จำเป็น !”

“ได้เลย !” จี้ลั่วอวี่พยักหน้ารับ “แต่เราต้องรีบลงมือ ข้าสัมผัสได้ว่าการพังทลายของพลังงานสูญมีแต่จะเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เวลาเราอาจเหลืออยู่ไม่มากแล้ว”

“เหลือเวลาอยู่อีกเท่าไร ?”

“เดิมทีเราเหลือเวลา 30 วัน แต่หากมันยังไม่หยุดพังทลายไปเช่นนี้ เวลา 30 วันอาจเหลือเพียง 3 ชั่วยาม”

“บัดซบ ! จะรออันใดอีกเล่า ?” ซูเฉินคว้าผีเยวี๋ยนหงแล้วเริ่มออกเดินไปยังทิศทางหนึ่งในพลัน

เมื่อเดินตามทางไปเรื่อย ๆ ก็เดินผ่านห้องไปห้องแล้วห้องเล่า

ห้องทั้งหลายไม่ใหญ่เกินไป แต่ละห้องมีเตียงนอน ดูจากขนาดเตียงแล้ว ดูเหมือนจะไม่ใช่เตียงที่เผ่าอาร์คาน่าใช้ แต่เป็นของมนุษย์ใช้

เพราะมนุษย์นั้นค่อนข้างฉลาดเฉลียว เผ่าอาร์คาน่าจึงชอบจับมนุษย์มาเป็นทาส

ตอนนี้พวกเขาคงจะเดินอยู่ในส่วนห้องพักของพวกทาสกระมัง

ที่นี่ไม่น่าจะมีสมบัติล้ำค่าใดซ่อนอยู่ ดังนั้นซูเฉินกวาดสายตามองคร่าว ๆ แล้วจากไป

เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว เขาไม่อาจเสียเวลาค้นห้องทุกห้องได้

พวกเขาเดินไปตามโถงทางเดินยาว เดินลงบันใดวนคดเคียวไป ทันใดนั้นนัยน์ตาซูเฉินพลันเป็นประกายวาบขึ้น

พวกเขาเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องขนาดใหญ่ที่มีแสงสว่างห้องหนึ่ง เมื่อมองผ่านกระจกที่ทำจากผลึกแก้วตรงหน้าเข้าไปด้านใน ก็เห็นว่าภายในมีขวดยารูปร่างประหลาดและไหทั้งหลายที่มีสสารที่ไม่สามารถระบุได้บรรจุอยู่ภายใน

“คือส่วนห้องทดลอง !” ซูเฉินเอ่ยน้ำเสียงตื่นเต้น

เขาพุ่งเข้าไปทั้ง ๆ ที่ยังอุ้มผีเยวี๋ยนหงอยู่

เขากำลังจะพุ่งเข้าห้องทดลองนั่นไป พลันมีเผ่าคนเถื่อนพุ่งออกมาจากด้านใน

ร่างของเผ่าคนเถื่อนชุ่มเลือด เห็นได้ชัดว่าบาดเจ็บหนัก แต่กลับไม่เผยความเกรงกลัวเมื่อประจัญหน้าเข้ากับซูเฉินและคนอื่น ๆ กลับพุ่งเข้ามาอย่างดุดันแทน

เมื่อเห็นอีกฝ่ายพุ่งเข้าใส่เช่นนี้ ซูเฉินกโยนร่างผีเยวี๋ยนหงให้จี้ลั่วอวี่ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปปะทะ

เผ่าคนเถื่อนพุ่งเข้ามาพร้อมกับเสียงกู่ร้องลั่น ซูเฉินคว้าแขนเผ่าคนเถื่อนผู้นั้นไว้ ประลองกำลังกัน แต่เป็นฝ่ายซูเฉินที่ชนะไป เขาดึงแขนอีกฝ่ายไปด้านหลัง หักทิ้งพร้อมเสียงลั่นดังกร๊อบ จากนั้นก็ส่งลูกเตะเข้าที่หัวเข่า

เผ่าคนเถื่อนไม่แม้แต่จะมีโอกาสเปิดใช้อักขระบนร่าง ลูกเตะเมื่อครู่ทำกระดูกสะบ้าหัวเข่าแตกละเอียด ส่งผลให้เขาล้มลงกับพื้นในพลัน

เปิดให้ชายหนุ่มฉวยจังหวะนี้ใช้แขนรัดคออีกฝ่ายไว้ก่อนจะบิดอย่างแรง

หลังจากเสียงกร๊อบดังขึ้น ร่างของเผ่าคนเถื่อนผู้นั้นก็ล้มลงนอนกับพื้น

“งดงามมาก !” จี้ลั่วอวี่ร้องขึ้น

“อีกฝ่ายบาดเจ็บหนักเป็นทุนเดิม ไม่นับว่าเป็นชัยชนะอันใดหรอก” ซูเฉินตอบเสียงเรียบเรื่อย หันไปมองทางจี้ลั่วอวี่

ทันใดนั้นเขาก็พุ่งเข้าไปเตะจี้ลั่วอวี่กระเด็นไปไกล

ตึง !

ขวานยักษ์เล่มหนึ่งถูกเขวี้ยงเข้ามา เฉียดร่างจี้ลั่วอวี่ไปเพียงนิดแล้วปักลงกับพื้น