ถูกจับได้นั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ… ถึงอย่างไรแล้ว อาวุธที่มีอยู่บนตัวนี้ก็ล้วนแต่เป็นผลงานชิ้นเอกของพวกเขาทั้งนั้น
มุมปากของเมี่ยอวิ๋นยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน “หึ ๆ ผู้อาวุโสที่สี่อายุปูนนี้แล้ว ยังสามารถจำข้าผู้ที่เป็นอันดับหนึ่งได้อีกรึ ?”
ผู้อาวุโสที่สี่กล่าว “คนต่ำช้าเช่นเจ้ายังมีชีวิตอยู่และยังได้ดิบได้ดีในสถานที่อโคจรเช่นเกาะอั้นเจียวแห่งนี้ แต่ว่าเจ้าหลบ ๆ ซ่อน ๆ มานานเช่นนั้น วันนี้ถูกข้าหาตัวพบแล้ว เจ้าคงยากที่จะรอดตายไปได้”
เมี่ยอวิ๋น “ข้าว่าที่ท่านมาที่นี่ ก็มิใช่เพราะว่ามาฆ่าข้าหรอก แต่มาเพราะมีจุดประสงค์อื่น”
ผู้อาวสุโสที่สี่แค่นเสียงเย็นชา “อย่าเพิ่งฆ่าเขาตาย หักแขนและขาทั้งสองข้างของเขาก็พอ ข้ายังมีเรื่องต้องถามเขาอีกมาก”
เมี่ยอวิ๋นกำขวดยาที่อยู่ในมือเอาไว้แน่น เขากล่าวด้วยเสียงขรึมว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะต้องขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่สี่ ที่มีเมตตาอุตส่าห์ยังไม่ฆ่าข้า”
เมี่ยอวิ๋นเทยาในขวดออกมา เตรียมที่จะกลืนมันลงไปทั้งหมดในคำเดียว
วันนี้อาจจะยากที่จะรอดชีวิตไปได้ แต่ทว่าหากสามารถดึงเอาพวกชั่วช้านั้นตายไปด้วยได้ ก็นับว่ากำไรแล้ว
ในตอนนี้เอง เงาแสงสีขาวปรากฏขึ้นมา ตบยาเม็ดในมือของเขากระเด็นออกไปหมด “นายท่านนั้นเปลืองแรงเพื่อช่วยเจ้า เจ้ากลับหาเรื่องที่จะตาย ข้านั้นโมโหนัก!”
“เพลิงเผาสวรรค์!”
เสี่ยวหงเริ่มการโจมตีจากด้านหลังคนของหุบเขาหมอเทวดาเหล่านี้ เปลวเพลิงสีแดงเข้มทำลายกระบวนท่าของพวกเขา
มู่เฉียนซีโยนขวดจำนวนนับไม่ถ้วนให้แก่เมี่ยอวิ๋นแล้วจึงกล่าวขึ้น “นี่เป็นยาพิษของข้า และนี่เป็นเกาะของเจ้า เจ้าคงจะมีวิธีใช้ประโยชน์จากสิ่งของเหล่านี้ ทำให้พวกสุนัขของสำนักอวิ๋นเยียนนั้นมาได้แต่กลับมิได้”
“ข้าจะต้านพวกมันไว้ก่อน”
“โฮกกกก!” ทันใดนั้นอู๋ตี้แปลงตนเข้าสู่ภาวะร่างใหญ่มหึมา และพุ่งออกไปหมายจะฆ่าฟัน
“มังกรเพลิงสังหาร!” มู่เฉียนซีโบกกระบี่มังกรเพลิงอย่างแรง นางเดินฝ่าเข้าไประหว่างร่างของพวกเขาเหล่านั้นพร้อมเริ่มโจมตี
“บัดซบ! เจ้าสารเลวนั่นมีกำลังเสริมด้วยหรือนี่ ?!”
ไม่เพียงแต่เป็นกำลังเสริมธรรมดา ๆ หากแต่เป็นกำลังเสริมที่เก่งกาจเป็นพิเศษ ด้วยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัว หากต้องรับมือกับมันขึ้นมา ถือเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากทีเดียว
พลังธาตุวารีพุ่งออกมา มู่เฉียนซีตะเบ็งเสียงดัง “ผนึกมังกรวารี!” ต่อจากนั้นฝ่ามือของนางก็ได้พุ่งแตะบนพื้นพสุธา “ทักษะตี้ซวน!”
เข็มยาเองก็ได้โจมตีมาจากทั้งสี่ทิศแปดทาง ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถป้องกันได้หมด
พวกเขานั้นเพียงแค่ถ่วงเวลาให้กับเมี่ยอวิ๋นเท่านั้น ไม่นานนัก อาวุธลับของซิวหลัวบนเกาะแห่งนี้ที่ได้ถูกพังไป ก็กลับมาใช้งานได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว และครานี้อาวุธลับนั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
— ตูม! ตูม! ตูม! —
หมอกควันสีดํากลุ่มหนึ่งระเบิดออกมา และจากนั้น อาวุธลับจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งทะยานไปยังทางที่พวกคนสำนักหวิ๋นเยียนเหล่านั้นอยู่
“มันก็แค่ลูกเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ กระจอกงอกง่อยเท่านั้น กลับมากล้าทำตุกติกต่อหน้าข้า ข้าเคยทำลายมันไปได้ครั้งหนึ่งแล้ว ก็สามารถทำลายมันอีกเป็นครั้งที่สองได้!” ผู้อาวุโสที่สี่กล่าวอย่างเหยียดหยาม
“พรวดดดด!”
ไม่ทันรอให้เขาไปทำลายกลไก ก็เกิดบางอย่างที่ไม่ถูกต้องขึ้นกับคนรอบกายของเขา
พวกเขาโดนพิษเข้าให้แล้ว!
พวกเขานั้นได้เตรียมการป้องกันพิษมาแต่แรก ทว่ามาตอนนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ได้ผล
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
เข็มยาของมู่เฉียนซีบินออกไป ฉวยจังหวะในตอนที่พวกนั้นกำลังเสียทีโจมตีให้ถึงแก่ชีวิต! ขณะนี้ได้เวลาที่จะตีสุนัขที่กำลังตกน้ำอยู่ให้พ่ายแล้ว
อาวุธลับของเมี่ยอวิ๋นโจมตีอย่างไม่หยุดยั้ง พิษก็ถูกปล่อยออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนเช่นกัน ที่นี่เป็นที่ของเขา ทั้งหมดนั้นล้วนแต่อยู่ในความควบคุมโดยสมบูรณ์
“เพลิงเผาสวรรค์!”
เสี่ยวหงเองก็ตามต่อตีพวกเขาอย่างไม่ลดละ ขณะที่อู๋ตี้ตะโกนกึกก้อง “พวกเจ้ามิใช่ว่าอหังการนักรึ ? ไปตายซะ!”
เมื่ออู๋ตี้ระเบิดความรุนแรงออกมา มันช่างน่ากลัวอย่างแท้จริง!
— ตูม! ตูม! ตูม! —
หลังจากการต่อสู้ที่ชุลมุนวุ่นวายนี้จบลง กลุ่มคนของสำนักอวิ๋นเยียนเหล่านี้ที่บุกเข้ามาหมายจะฆ่านั้นได้โดนพิษไป ต่างก็บาดเจ็บสาหัสและไม่มีพลังในการต่อสู้หลงเหลืออีกแล้ว
เมื่อเห็นฉากนี้ เมี่ยอวิ๋นเองก็ตะลึงงัน เขากล่าวขึ้น “แม่นางมู่ ข้าขอบคุณเจ้าเป็นอย่างมาก”
ความเกลียดแค้นที่ฝังอยู่ในใจนั้น เขาได้แต่ทนมันอยู่เรื่อยมา เขาไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสได้ล้างแค้นอย่างสุขสมดั่งใจหมายเช่นนี้
สะใจดีแท้!
“พรวด!” ผู้อาวุโสที่สี่แห่งสํานักอวิ๋นเยียนกระอักเลือดระลอกใหญ่ เขากล่าวเสียงเย็น “ข้านั้นเป็นคนของสำนักนิกายระดับหนึ่ง สำนักอวิ๋นเยียน! เจ้าฆ่าพวกข้ามิได้”
มู่เฉียนซี “ผิดแล้ว เพราะเจ้าเป็นคนของสำนักอวิ๋นเยียนก็ยิ่งสมควรตาย เจ้ายังกล้าที่จะเตือนข้าเรื่องนี้อีกรึ ? หึ ๆ แต่ความกล้าของเจ้าก็นับว่าน่าชื่นชม”
ผู้อาวุโสที่สี่รู้สึกเพียงว่าสาวน้อยผู้นี้บ้าไปแล้ว แม้แต่สํานักนิกายระดับหนึ่ง สำนักอวิ๋นเยียน นางก็ยังมิขลาดกลัว
ผู้อาวุโสที่สี่มองไปทางเมี่ยอวิ๋นก่อนจะกล่าว “ปล่อยข้าไป ขอเพียงเจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะไปพูดดี ๆ กับท่านเจ้าสำนักสักสองสามประโยค ให้เจ้าได้กลับเข้าสำนักอวิ๋นเยียนดีหรือไม่ ?”
ดวงตาของเมี่ยอวิ๋นนั้นเย็นยะเยือกอย่างหาที่เปรียบมิได้ “เจ้าคิดว่าข้าต้องการที่จะกลับไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยผีห่าน่ารังเกียจแห่งนั้นอีกรึ ?”
ทั้งสองคนนั้นล้วนขยาดสำนักอวิ๋นเยียนแทบตาย ทั้งยังเกลียดจนแทบตายด้วยเช่นกัน
มู่เฉียนซีถามขึ้น “พวกเจ้ามาหาเมี่ยอวิ๋น คงเพื่อที่จะถามว่าเมี่ยอวิ๋นนั้นต้องการหาสิ่งใด”
ผู้อาวุโสที่สี่ยิ้ม กล่าวว่า “หากใช่แล้วอย่างไร ? และหากไม่ใช่แล้วอย่างไร ? ฮ่า ๆ ๆ เขานั้นตั้งชื่อให้ตนเองว่า เมี่ยอวิ๋น ซึ่งหมายถึงผู้พิฆาตข้าอวิ๋นเยียน เหอะ! คิดที่จะล้างสำนักอวิ๋นเยียนของข้า เป็นไปไม่ได้!”
— ฉึก! —
เข็มยาเข็มหนึ่งแทงเข้าไปตรงระหว่างไหล่และคอของผู้อาวุโสที่สี่อย่างไม่ทันที่เขาจะได้ตั้งตัว
ขณะที่เขากําลังจะตาย มู่เฉียนซีกระซิบว่า “เขานั้นไม่สามารถทำลายสำนักอวิ๋นเยียนได้ ด้วยเพราะสำนักอวิ๋นเยียนจะถูกข้าทำลายแล้ว”
“เจ้า… เจ้า…”
ผู้อาวุโสขาดใจตายทั้งที่ไม่เต็มใจ ส่วนเมี่ยอวิ๋นเองก็ได้ถูกคำกล่าวประโยคนั้นของนางทำให้ตกตะลึง “เจ้าอยากที่จะทำลายสำนักอวิ๋นเยียน เจ้าเองก็มีความแค้นฝังลึกกับสำนักอวิ๋นเยียนเหมือนกันหรือ ?”
มู่เฉียนซี “เจ้าเองก็เช่นกัน ดูเหมือนว่าสํานักอวิ๋นเยียนจะก่อกรรมทำบาปมามากเกินไปจริง ๆ ส่วนคนอื่น ๆ นั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บไว้แล้ว”
เมื่อดาบในมือถูกเงื้อขึ้นและฟาดลงมา เมี่ยอวิ๋นก็จัดการคนพวกนี้เสียจนหมดสิ้นไป เขามองตามเงาด้านหลังของมู่เฉียนซีไปและกล่าวขึ้น “ถ้าหากว่าเจ้าสามารถทำลายสำนักอวิ๋นเยียนได้ ข้าผู้นี้สามารถทำเรื่องอะไรให้เจ้าก็ได้”
“เจ้ามีความแค้นเคืองอันใดกับสำนักอวิ๋นเยียนรึ ?”
เมื่อถูกถามเช่นนี้ เขาจำต้องกล่าวถึงเรื่องที่เขาไม่อยากนึกถึงออกมา
เดิมทีเมี่ยอวิ๋นนั้นสกุลอวิ๋น เขาเป็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นเยียน มีพรสวรรค์ที่ทำให้ผู้อื่นต้องตกตะลึงตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งเขายังขยันอดทน ทำให้พรสวรรค์ของเขาไม่ด้อยไปกว่าคุณหนูใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นเยียน ผู้ที่ถูกยกย่องว่ามีคุณสมบัติจากสวรรค์และหาผู้ใดเทียบไม่ได้บนพื้นปฐพีนี้เลย
ทว่าคุณสมบัติจากสวรรค์เช่นนี้กลับไม่ได้นำพาความโชคดีมาให้ แต่กลับทำให้ผู้ที่เป็นสายเลือดโดยตรงในสำนักอวิ๋นเยียนอิจฉา ท้ายที่สุดครอบครัวของเขาจึงถูกฆ่ายกครัว และที่ร้ายกาจไปกว่านั้นคือเส้นลมปราณของเขาถูกทำลาย บนร่างของเขาต้องแบกรับคมมีดไว้ไม่รู้กี่แผล ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ถูกนำไปทิ้งไว้กลางหุบเขาลึกของสำนักอวิ๋นเยียน
เขานั้นถูกชายชราบ้าคลั่งผู้หนึ่งเก็บไปเลี้ยงที่บนเกาะกลางทะเล ชายชราบ้าคลั่งผู้นั้นสอนสิ่งต่าง ๆ ให้แก่เขามากมาย อีกทั้งยังได้มอบยาเม็ดที่สามารถทำให้มีพลังความสามารถให้แก่เขาด้วย แต่ว่าเพียงไม่กี่ปี ชายชราก็ตายจากไป
ต่อมาเมี่ยอวิ๋นใช้ชีวิตอยู่โดยอาศัยสิ่งของที่ชายชราบ้าคลั่งผู้นั้นทิ้งไว้ให้เพื่อมีชีวิตต่อไปบนเกาะอั้นเจียวจนทำอะไรได้เรื่องขึ้นมาบ้าง ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่เขาก็รู้ดีว่าการแก้แค้นคงจะเป็นเรื่องสิ้นหวัง
ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในหมื่น เขาก็ต้องอดทนมีชีวิตต่อไป เพื่อที่จะหาโอกาสแก้แค้นพวกชั่วช้าอวิ๋นเยียน
ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถทำลายสำนักอวิ๋นเยียนได้ หากได้ฆ่าคนของสำนักอวิ๋นเยียนสักจำนวนหนึ่งให้ตายไปด้วยได้บ้าง เขาก็ยังนับว่าคุ้มค่า
มู่เฉียนซีกล่าวถูกต้อง สํานักอวิ๋นเยียนทําบาปทำกรรมไว้มากเกินไป และชื่อของอัจฉริยะอันดับหนึ่งอย่างอวิ๋นเฟิ้งนั้นก็จอมปลอมและก็ไม่รู้ว่าได้เหยียบย่ำศพของอัจฉริยะตัวจริงไปตั้งเท่าไร ถึงได้คำว่า ‘อัจฉริยะ’ มา
เมี่ยอวิ๋นถามขึ้น “แล้วเจ้าล่ะ เจ้ามีความสามารถไม่เลว มีทักษะทางด้านหมอยาที่ดี อีกทั้งยังไม่ใช่บุคคลของสำนักอวิ๋นเยียน สรุปแล้วเจ้าไปมีความแค้นอะไรกับพวกสำนักอวิ๋นเยียนหรือ ?”
.