คิดไปเหลียนเหนียงก็ถอนหายใจไป เบะปากที่บวมออกมาเผยรอยยิ้ม…แถมยังพาคุณชายไปด้วย ทำให้ฮุ่ยหลานหมดกำลังไปหนึ่ง
เห็นท่าทางที่นายท่านโกรธกับท่าทางรักน้องชายของอวิ๋นหว่านชิ่น ยังไม่รู้ว่าคุณชายจะยังสามารถกลับจวนได้หรือไม่
โดนตบเพียงไม่กี่ฝ่ามือ ก็นับว่าคุ้มค่า
สายตายของเหลียนเหนียงพอใจมาก แต่ตงเจี่ยกลับเป็นห่วง เรื่องตั้งครรภ์ตบตาผ่านไปแล้ว นายท่านคิดว่าคำพูดของอู้เต๋อราวกับหยกจึงเชื่อสนิท แม้ว่าจะเสียใจที่สูญเสียลูกไป แต่ก็ยังคาดหวังในอนาคต อู้เต๋อพูดแล้วว่า อนุรองจะต้องตั้งครรภ์ลูกชาย ไม่ใช่เพียงแค่ท้องเดียวเท่านั้น
ตอนนี้ครรภ์ของอนุรองประมาณเดือนกว่าๆ แล้ว หลายวันก่อนนายท่านมาที่หอสกาวจันทร์เร็วกว่าปกติ คาดว่าน่าจะทำเยี่ยงนี้ไปเรื่อยๆ
เพียงแต่ว่า หากว่าหลังจากนั้นไม่ตั้งครรภ์จะทำเยี่ยงไรกัน ไม่สามารถทำเยี่ยงนี้ทุกวันได้ คิดไป สายตาของตงเจี่ยก็เศร้าใจ เอ่ยเตือนสติ “อนุรองเรื่องครั้งนี้ถือว่าจบไปแล้ว แต่ว่าท่านจะต้องรีบตั้งครรภ์นะเจ้าคะ”
ครั้งนั้นที่หมอมาตรวจเรื่องแท้งให้ที่จวน นางได้ถือโอกาสถามหมอให้รีบตรวจดูว่าตนมีปัญหาอะไรหรือไม่
แม้ว่านางจะมั่นใจว่าตนสามารถตั้งครรภ์ได้ แต่ว่าหากครั้งที่หนึ่งครั้งที่สองไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ คงจะเป็นเรื่องน่าสงสัยอยู่บ้าง ครอบครัวใหญ่มักมีเรื่องราวและวิถีที่ไม่เหมือนใคร เกรงว่าหากแต่งเข้าสกุลอวิ๋นจะมีวิธีการทำร้ายร่างกายตนได้ แต่ว่าป้าหมอกลับบอกว่าร่างกายของนางไม่ได้ถูกพิษอะไร
เป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ใช่ปัญหาของตน เกรงว่าอาจจะเป็นเพราะร่างกายของนายท่านไม่ไหวแล้ว
เหลียนเหนียงกระทืบเท้า ถอนหายใจ “ทีสตรีหลังบ้านเขาอยู่กับใครก็ตั้งครรภ์ทั้งนั้น เหตุใดไยพอถึงข้าจะต้องหมดน้ำยาด้วย เป็นข้าที่กลับต้องขึ้นราไปแปดชาติ!”
ตงเจี่ยได้ยินเช่นนั้นก็อกสั่นขวัญแขวน ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหลียนเหนียงหรือนายท่าน หากไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ล่ะก็ ความเอ็นดูคงตกมาไม่ถึงอนุรองแน่ เผลอๆ อาจจะลดลงไปครึ่งหนึ่ง
ผ่านไปครู่ใหญ่ ได้ยินเสียงเหลียนเหนียงดึงสติกลับมานางคว้าตงเจี่ยไว้ เอ่ยกระซิบข้างหู “เจ้าช่วยข้าส่งข้อความหน่อยสิ”
“อ่า? ส่งข้อความไปไหนหรือเจ้าคะ”
เหลียนเหนียงเอ่ยเสียงเบา “หอหย่าจื้อ”
นั่นไม่ใช่ม้าผอมที่เหลียนเหนียงและฮุ่ยหลานเคยอยู่มาก่อนหรือ
ตั้งแต่เข้ามาสกุลอวิ๋น อนุรองก็สลัดคราบทิ้ง กลัวว่าหากคนอื่นรู้ว่าตนมาจากม้าผอม ไม่ต้องพูดถึงประวัติที่ผ่านมาเลย
ตงเจี่ยสงสัย “ให้ใครเจ้าคะ”
เหลียนเหนียงเอ่ยข้างหูเบาๆ
ใบหน้าตงเจี่ยซีดเผือด คล้ายเดาออกว่าจะทำอะไร
ไม่ไกลกันนัก นอกประตูพระจันทร์ สตรีผอมสะอาดสวมใส่ชุดธรรมดา หยุดอยู่ตรงกำแพง สีหน้าราบเรียบ ยกยิ้มมุมปาก
อวิ๋นหว่านชิ่นพาอวิ๋นจิ่นจ้งและคนอื่นๆ ขึ้นรถม้า ขณะนั้นเวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว
รถม้าออกวิ่งไปอีกครั้ง อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ย “เกาจ๋างสื่อ อีกประเดี๋ยวไปหาเหยาย่วนพั่นที่สำนักแพทย์หลวง ให้เขามาไปจวนรองเจ้ากรมกับข้าหน่อย ให้ไปตรวจสตรีแท้งคนหนึ่ง ยิ่งเร็วยิ่งดี”
วิชาแพทย์ของเหยากวางเย่าเป็นที่เลื่องลือ ทั้งแผนกเกี่ยวกับสตรีและการมีครรภ์ ทั้งยังเป็นหมอหลวง ทั้งยังเคยไปตรวจย่าถงที่สกุลอวิ๋นด้วย หากว่าเขามา ท่านพ่อต้องเชื่อเป็นแน่
เกาจ๋างสื่อเข้าใจความหมายของนาง พยักหน้า “หม่อมฉันจะไปส่งเหนียงเหนียง คุณหนูและคุณชายอวิ๋นกลับจวนแล้วจะไปจัดการให้พ่ะย่ะค่ะ”
พอพูดถึงคุณชายอวิ๋น สีหน้าของอวิ๋นหว่านชิ่นก็ทุกข์ขึ้นมา ลังเลอยู่สักพัก เอียงตัวเอ่ยถามเสียงเบา “ข้าพาจิ่นจ้งกลับจวนกะทันหันเช่นนี้ องค์ชายสามคงไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่” ยามโกรธ พูดว่าทำก็ต้องทำให้ได้
เกาจ๋างสื่อยิ้มขึ้นมา “เหนียงเหนียงรู้สึกผิดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
รู้สึกผิด? เป็นไปไม่ได้ก็แค่ถามเท่านั้น นึกถึงน้องชายอยู่บ้านอวิ๋นด้วยสภาพเช่นนี้ ตนคงนอนไม่หลับแน่
อวิ๋นจิ่นจ้งนั่งข้างๆ มีชุยอินหลัวดูเฝือกแขนข้างขวาอยู่ พอได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ ก็เงยหน้าขึ้นมา “พี่ใหญ่ ท่านอ๋องไม่ต้อนรับข้าหรือ”
เขารู้ดีว่าตนเองเป็นลูกชายของสกุลอวิ๋น บ้านยังมี ท่านพ่อก็ยังไม่ตาย มาอยู่บ้านพี่เขยเยี่ยงนี้ ค่อนข้างไร้เหตุผล ไม่กล้าเอ่ยคำใด ยิ่งกว่านั้นพี่เขยตอนนี้เป็นถึงผู้สำเร็จราชการแทนฝ่าบาท ต้องรับผิดชอบทั่วหล้า ทุกการกระทำทุกคำพูดถูกจับจ้องจากคนเป็นหมื่นๆ คนไม่สามารถทำผิดหรือโดนประณามได้แม้แต่น้อย
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นใบหน้าขาวอันหล่อเหลาเครียดเป็นอย่างมาก ส่งสายตามองมาที่ตน เหมือนกับลูกสุนัขที่เพิ่งเก็บมาเลี้ยง กำลังจะเอ่ยปลอบใจน้องชาย แต่กลับได้ยินชุยอินหลัวเอ่ยอย่างเด็ดขาด “หากพี่ฉินไม่ให้เจ้าอยู่ เจ้าก็มานอนห้องข้า!”
พอคำพูดออกมาเช่นนี้ ทุกคนหัวเราะ ยกเว้นก็แต่อวิ๋นจิ่นจ้งที่หน้าแดงก่ำ
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มเอ่ย “อาหลัว เจ้าเป็นสตรี ไยถึงให้คุณชายไปนอนห้องเจ้าเล่า องค์ชายคนอื่นได้ยินเข้าก็ไม่กล้ามาสู่ขอเจ้าแล้ว”
ชุยอินหลัวเอ่ยถาม “เยี่ยงนั้นหากคุณชายนอนห้องข้าแล้วถึงต้องการข้าใช่หรือไม่”
เกาจ๋างสื่อหัวเราะเสียงดัง ชุยอินหลัวยังไม่รู้อะไรมากนัก เข้าใจแบงงๆ ไม่กล้าพูดอะไร แต่ทว่าอวิ๋นจิ่นจ้งไม่ใช้เด็กแล้ว เข้าใจเรื่องระหว่างชายหญิงมาบ้าง ใบหน้าแดงผ่าว
รถม้าวิ่งไปสักพัก ไม่ไกลนักก็กลับไปที่เมืองทางเหนือ
ด้านนอกจวนชูซย่า เจินจูและฉิงเสวี่ยสั่งให้บ่าวรับใช้มารอหน้าประตูครึ่งค่อนวันแล้ว พอเห็นรถม้าที่คุ้นตามาถึงก็รีบออกไปรับ ต้อนรับชายาอย่างอบอุ่น
ชูซย่าเห็นว่าคุณชายก็กลับมาด้วย ตกใจมากพอมองดีๆ กอปรกับได้ยินที่เกาจ๋างสื่อพูด ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพระชายาถึงได้กลับมาช้านัก
หลายคนห้อมล้อมอวิ๋นหว่านชิ่นไว้ นางพูดอยู่หน้าประตูสองสามประโยค จากนั้นบ่าวรับใช้ก็หลบให้มีทางเดิน อวิ๋นหว่านชิ่นจับมือชุยอินหลัว กำลังจะพาน้องชายเข้าจวน พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เจอเงาที่คุ้นเคยยืนอยู่ท่ามกลางบ่าวรับใช้
ไม่ได้เจอมานานหนึ่งถึงสองเดือน กลิ่นดินบนตัวของหลี่ว์ชีเอ๋อร์หายไปแล้ว เปียทั้งสองข้างก็ถูกมวยขึ้นปักด้วยปิ่นมุก ไม่ว่าจะเป็นทรงผม การแต่งหน้า ล้วนเป็นรสนิยมของสตรีเมืองหลวง ทั้งร่างกายเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และความซื่อสัตย์ แต่ความสวยก็ไม่น้อยหน้า เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นเสื้อผ้าของสาวรับใช้ลำดับสอง พอเห็นชายามองมาก็รีบโค้งตัวคำนับ “เหนียงเหนียงกลับมาแล้ว” สำเหนียงที่พูดเป็นสำเหนียงเยี่ยจิงโดยแท้
อวิ๋นหว่าชิ่นมองสำรวจนาง รู้มานานแล้วว่าหลี่ว์ชีเอ๋อร์จะต้องเป็นคนของตน ยิ่งตอนนี้ยิ่งเชื่อมั่น
เห็นว่าสองสามเดือนมานี้หลี่ว์ชีเอ๋อร์ต้องลำบากมามาก แต่ว่าไม่ศูนย์เปล่า นางเปลี่ยนรูปลักษณ์ ทำตัวสะอาดสะอ้าน เป็นสุภาพสตรีเมืองหลวง ไม่มีภาพจำเก่าๆ อีกต่อไป
หากว่าไม่บอก ก็ไม่มีใครรู้ว่ามาจากเมืองที่เกิดภัยพิบัติ และพี่ชายแท้ๆ ยังเป็นผู้เข้าร่วมจลาจลอีก
เดิมทีที่บอกกับนางไว้ว่าจะพานางมาที่เมืองหลวงจะหาบ้านให้อยู่ ถือซะว่าตอบแทนที่หลี่ว์ปาเคยช่วยชีวิตตนไว้หลายครั้ง แต่พอกลับเข้าเมือง แม้แต่จวนอ๋องก็ยังไม่ทันได้กลับมา ตนเองถูกกักบริเวณที่อาราม และก็ไม่ทันที่จะพานางมาฝากไว้ที่จวนอ๋อง แต่ตอนนี้นางคงได้ตำแหน่งชั่วคราวแล้วล่ะ