หลี่ว์ชีเอ๋อร์ตัวอ่อนระทวย เข้าไปคว้าขาอวิ๋นหว่านชิ่นไว้หมับ จากนั้นเริ่มร้องไห้เสียงดังโหวกเหวก “ชีเอ๋อร์ผิดไปแล้ว เหนียงเหนียง! ชีเอ๋อร์ไม่ควรได้คืบเอาศอก! ชีเอ๋อร์ขอถอนคำพูดเมื่อครู่นี้ ชีเอ๋อร์จะฟังคำสั่งของเหนียงเหนียงทุกอย่าง เหนียงเหนียงได้โปรดอย่าลงโทษ อย่าผลักไสชีเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ…” นางร้องไห้อย่างจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง แต่อาการตกใจน่าจะเป็นความจริง
อวิ๋นหว่านชิ่นพยุงนางขึ้นมาช้าๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้นางพลางยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน น้ำเสียงราวกับเมื่อครู่นี้เป็นการล้อเล่น “แบบนี้สิถึงจะถูก จริงๆ แล้ว ข้าเองก็ไม่อยากส่งเจ้าไปที่ไหนหรอก ตอนอยู่ที่ค่ายบัญชาการเมืองเยี่ยนหยาง เจ้าดูแลปรนนิบัติองค์ชายสามเป็นอย่างดีในทุกด้าน หนักเอาเบาสู้ แม้แต่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ยังจะแย่งทำ ตอนที่ข้าอยู่ในพระราชวัง ไม่มีใครมาบอกข้า แต่เจ้ากลับมาชงชารินน้ำที่เรือนเอกให้องค์ชายสามเป็นประจำ เจ้าเป็นคนละเอียดอ่อนถึงเพียงนี้ หากตระกูลใดได้เจ้าไปอยู่ด้วยก็เป็นบุญวาสนาของเขา แต่ว่าพี่ชายเจ้าได้ฝากฝังเอาไว้ ข้าก็คงให้เจ้าเป็นบ่าวรับใช้ตลอดชีวิตไม่ได้เช่นกัน ความตั้งใจนี้เจ้าควรเข้าใจนะ”
ทุกถ้อยคำที่กล่าว ทำให้หลี่ว์ชีเอ๋อร์ยิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งซีดขาว หัวใจก็เต้นตึกตัก ครั้งนี้คงตกใจกลัวจนร้องไห้จริงๆ ถึงกับถอยหลังไปหลายก้าว “เหนียงเหนียง ก่อนหน้านี้ชีเอ๋อร์ไม่ทราบว่าเหนียงเหนียงอยู่ที่ค่ายบัญชาการ…จากนั้น…จากนั้น…อย่างไรเสียเพราะชีเอ๋อร์ไม่เจียมตัวเอง หลังจากนี้ชีเอ๋อร์จะไม่ไปเหยียบที่เรือนเอกอีกแม้แต่ก้าวเดียว…ที่ไหนมีท่านอ๋อง ชีเอ๋อร์จะหลบและจะรอจนว่าเหนียงเหนียงจะจัดการทุกอย่างให้ข้าเสร็จ”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้ม “เป็นเด็กที่ฉลาดเสียจริง ร้องไห้หน้าตาเปรอะเปื้อนราวกับลูกแมวหมดแล้ว รีบกลับไปล้างหน้าล้างตาแล้วเข้านอนเถอะ”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์รู้สึกขโมยไก่ไม่ได้เสียข้าวสารอีกกำมือ[1] ในใจทั้งกลัวทั้งเสียใจ จะกล้าพูดอะไรได้อีก มิสู้รีบกลับไปเสียดีกว่า
ชูซย่าเห็นแผ่นหลังของหลี่ว์ชีเอ๋อร์หายไปแล้วจึงยิ้ม “ดูเหมือนว่าหลังจากนี้แม้แต่มองหน้าท่านอ๋องก็คงไม่กล้าแล้ว แต่ว่า…เหนียงเหนียงจะจัดการกับนางอย่างไรหรือเจ้าคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ค่อยดูอีกทีก็แล้วกัน ช่วงนี้ข้าก็ไม่มีเวลามาสนใจนางหรอก มาถึงก็มีเรื่องให้ต้องจัดการมากมายเพียงนี้ มิสู้ไม่ต้องลดโทษ อยู่ที่อารามฉางชิงต่อไปยังจะดีเสียกว่า…” พูดเสร็จก็เดินอย่างเหนื่อยหน่ายเข้าไปทางประตูใหญ่ของเรือนเอก
เพย เพย เพย![2] พูดเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ ชูซย่ายกโคมไฟขึ้นมาและรีบเดินตาม
ภายในตัวเรือน โคมไฟกระจกตามทางเดินและลานกว้างถูดจนสว่างทั้งหมด
ดวงดาวบนท้องฟ้า โคมไฟบนพื้นดิน ต่างส่องแสงสว่างและดูอบอุ่น
ฉิงเสวี่ยอยู่ตรงทางเดิน พอเห็นทั้งสองคนกลับมาแล้วจึงเดินเข้ามาโค้งคำนับทำความเคารพ “เหนียงเหนียงกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นในห้องดูเงียบๆ ทั้งยังไม่เห็นว่าฉิงเสวี่ยจะแจ้งเรื่องอะไร เดาได้ว่าองค์ชายสามคงยังไม่กลับมา จึงเอ่ยเสียงเรียบ “อืม”
ฉิงเสวี่ยเห็นสถานการณ์ตรงหน้า “เหนียงเหนียงเหนื่อยแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ พี่ชูซย่า เจินจูกำลังต้มชาโสมอยู่ในห้องครัว พี่ไปดูกับข้าดีไหมว่ารสชาติถูกปากเหนียงเหนียงหรือไม่”
ชูซย่ายิ้มตอบ “ได้สิ” ฉิงเสวี่ยมองพระชายาหนึ่งทีพลันอมยิ้ม จากนั้นก็ลากชูซย่าไปยังห้องครัว
อวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าไปในห้องเพียงคนเดียว วางแผนไว้ว่าจะอ่านตำราแพทย์สักหน่อยแล้วค่อยเข้านอน พอเปิดผ้าม่านออก ก็รู้สึกว่ามีไอร้อนโผเข้าหาจากด้านหลัง สองแขนเรียวยาวคู่หนึ่งโอบกอดตนไว้แน่น ได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างหูอย่างแผ่วเบาว่า “กลับมาแล้วหรือ”
นางตกใจแต่กลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจมาก ตอบอืมหนึ่งคำ
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางสั่นๆ ในอ้อมกอดคล้ายกระต่ายน้อยที่ตกใจ ก็อดขำไม่ได้ แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “เมื่อครู่นี้เจ้าไปไหนมา ข้ากลับมาตั้งนานแต่ไม่เห็นเจ้า”
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกกินปูนร้องท้อง ไม่กล้าเอ่ยคำใด
ท่านอ๋องเห็นว่านางไม่ตอบ จึงไม่อยากคาดคั้นอะไรมาก ทำได้เพียงกอดนางให้แน่นพลางจุ๊บเบาๆ ที่หลังหู แล้วจึงคลายมือออก จากนั้นคว้ามือนางเดินเข้าไปด้านใน
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าเขาถอดชุดทางการออกก็คงอาบน้ำตั้งนานแล้ว ตอนนี้เปลี่ยนเป็นชุดคลุมลำลองเลยทำให้รู้ว่าเขาน่าจะกลับมาถึงตั้งนานแล้วด้วย นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งพลางเอ่ย “ข้าเพิ่งไปที่ห้องรับแขกมาเจ้าค่ะ” ปูเรื่องไว้ก่อน ให้เขาได้เตรียมใจเสียหน่อย
ซย่าโหวซื่อถิงตอบ “อ้อ” พลางเอื้อมมือยกกาน้ำชารินลงแก้ว จากนั้นเอ่ยเสียงเรียบ “อืม”
อืม? แค่นี้หรือ อวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าไปใกล้พลางถาม “ทำไมท่านถึงไม่ถามว่าข้าไปทำอะไรที่นั่น”
เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับความรู้สึกที่ว่าเป็นคำถามไม่มีความจำเป็นต้องถามก็ได้ เขายกถ้วยน้ำชาที่เคลือบอย่างเงาวับกับการลงสีที่ดูอิ่มเอิบขึ้นมาจิบ เอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าเป็นเจ้าของจวนอ๋อง จะไปที่ไหนก็เป็นเรื่องปกติ เหตุใดข้าต้องถามด้วยเล่า”
แย่แล้ว นิ่งเกินไป อีกสักครู่หากรู้แล้วต้องอารมณ์ไม่ดีเป็นแน่ อวิ๋นหว่านชิ่นดึงแขนเสื้อของเขาไว้ “ข้าให้คนๆ หนึ่งไปอยู่ที่นั่น”
“อ่อ เป็นแขกหรือ” เขายังคงมีปฏิกิริยาที่เป็นธรรมชาติ
ในที่สุดนางก็กัดฟันพูดมันออกมา “ไม่ใช่แขก แต่เป็นจิ่นจ้ง”
มือซย่าโหวซื่อถิงค้างอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง จากนั้นก็วางลงและมองนาง
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสีหน้าของเขาดูไม่ถึงกับโกรธแต่ก็ไม่ถึงกับดีใจ นางถอนหายใจเฮือกหนึ่งออกมา “อย่าโทษที่ข้าตัดสินใจเอง ไม่บอกไม่กล่าวกันก่อน จิ่นจ้งถูกท่านพ่อตีจนบาดเจ็บไปทั้งตัว เร็วๆ นี้ก็จะต้องเข้าร่วมการสอบชิวเหวยอีก ข้ารู้สึกไม่สบายใจที่จะปล่อยให้จิ่งจ้งอยู่ที่จวนอวิ๋นต่อ หากวันนี้ข้าไม่ได้พาจิ่นจ้งกลับมาด้วย ข้าจะต้องนอนไม่หลับแน่ทั้งคืนเป็นแน่”
น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบ “จิ่งจ้งเป็นบุตรชายของตระกูลอวิ๋น ตามหลักแล้วก็ควรอยู่ที่จวนอวิ๋น อีกอย่าง ไม่ว่าจะอยู่นานแค่ไหน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องกลับไปที่จวนอวิ๋นอยู่ดี ถ้าไม่เช่นนั้นมันก็จะไม่ดีกับตัวจิ่นจ้งเอง เรื่องพวกนี้เจ้าคิดไว้บ้างหรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกว่าเขาไม่เห็นด้วย ก็รู้สึกผิดหวัง “ข้าคิดไตร่ตรองหมดแล้ว แต่ว่าตอนนี้ข้าไม่สามารถให้จิ่นจ้งอยู่ที่จวนอวิ๋น ทำไมหรือ องค์ชายสามอยากให้ข้าส่งเขากลับไปหรือเจ้าคะ”
แววตาของซย่าโหวซื่อถิงดูมีความหมายมากมาย “หากว่าข้าหมายความว่าเช่นนั้น เจ้าจะทำอย่างไร”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะพาจิ่นจ้งไปรักษาตัวที่หมู่บ้าน ท่านจะได้ไม่พูดสิ่งใดอีก” อวิ๋นหว่านชิ่นเริ่มโกรธ
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นสีหน้านางเริ่มโกรธ เขาก็ยิ้ม “แล้วเจ้าจะให้ข้าพูดอะไรอีกล่ะ”
หืม อวิ๋นหว่านชิ่นมองเขาด้วยความงงงวย
ซย่าโหวซื่อถิงยกแก้วขึ้นจิบพลางเอ่ย “บ่าวรับใช้ที่ส่งไปรับใช้จิ่นจ้งน้อยเกินไป ให้เพิ่มอีกสองคน แล้วส่งองค์รักษ์ไปอีกหนึ่งชุด จะได้คอยปกป้องดูแลเวลาเขาออกไปซื้อหนังสือข้างนอก หรือว่าหลังจากที่อาการหายดีแล้วตอนกลับไปที่กั๋วจื่อเจี้ยน แล้วก็ข้าเปลี่ยนหมอให้จิ่นจ้งแล้ว นี่ข้าไม่เคยบอกเจ้าหรอกหรือว่า หมออิงคือหมอกระดูกที่เก่งอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง”
อวิ๋นหว่านชิ่นตะลึงงันไปพักหนึ่ง ที่แท้…เขารู้ตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งยังเตรียมการไว้ให้เสร็จสรรพ! ถึงว่ารู้สึกแปลกๆ หลังจากที่เขากลับเข้าจวนจะไม่มีคนบอกเขาได้อย่างไรกัน! นี่ยังแสร้งทำเหมือนไม่รู้เรื่องอีก
เรื่องน่ายินดีมาถึงอย่างไม่ทันตั้งตัว นางไม่คิดอะไรมาก เดินเข้าไปกอดคอเขาไว้ จากนั้นโน้มตัวจุมพิตหนึ่งที
การถูกนางจุมพิตนับว่าเป็นเรื่องที่ได้มายากพอควร จึงต้องรีบคว้าเอวนางไว้ขวับ
นางนั่งลงตรงขาตามแรงดึงของเขา มือยังคงกอดคอเขาไว้แน่นพลางทำปากยู่ “แล้วท่านอนุญาตให้อยู่นานแค่ไหน หากท่านพ่อมาขอพาจิ่นจ้งกลับ จะทำให้ท่านลำบากใจหรือไม่ ข้าไม่สนหรอกนะ ถึงตอนนั้นข้าไม่ยอมให้นำตัวกลับไปแน่”
“เจ้าอยากให้อยู่นานแค่ไหนก็แค่นั้น” นัยน์ตาของเขาส่องประกายวิบวับ ได้คืบเอาศอกเสียจริงๆ ทั้งยังเริ่มขู่อีกด้วย “การรับมือกับพ่อของเจ้า ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนี่”
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกสบายใจขึ้นมาก เขาเห็นว่านางสบายใจแล้ว ในหัวก็เริ่มคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็ช้อนตัวนางขึ้นและดับไฟทุกดวงตลอดทางเดิน
ทั้งสองคนเดินจนถึงห้องนอนข้างในสุด ภายในห้องเต็มไปด้วยความมืด แต่อบอุ่น
[1] ขโมยไก่ไม่ได้เสียข้าวสารอีกกำมือ หมายความว่า เดิมทีคิดจะเอาเปรียบผู้อื่น แต่กลับเสียเปรียบเอง
[2] เพยเพยเพย คือ คำอุทาน เสมือนเป็นการปัดเป่าคำพูดที่ไม่ดีออกไป