พลิกลิ้น!
“ก็ไม่มีอะไรมากมายหรอก เพราะข้ามีความสุข…ทำไม? ท่านมีปัญหาอะไรรึ?”
ได้ยินเสียงตะโกนของเติ้งเหว่ยต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกล่าวด้วยสีหน้านำเสียงเฉยเมย ทำให้เติ้งเหว่ยแทบกระอักเลือดออกมาอยู่รอมร่อ!
“เจ้า…”
เติ้งเหว่ยเต็มไปด้วยโทสะล้นใจ และทำท่าคล้ายจะกล่าววาจาใดออกมา ทว่าสุดท้ายมันก็ถูกต้วนหลิงเทียนขัดคำเอาไว้อีกคน ด้านต้วนหลิงเทียนที่หยุดเติ้งเหว่ยแล้ว ก็หันไปมองฝูงชนรอบๆ “ท่านทั้งหลาย! เติ้งเหว่ยผู้นี้มันเองก็อยากให้ข้าตาย เพราะข้าดันเอาชนะหลานชายมันในวันทดสอบเข้าร่วมสำนัก!”
“และวันนั้นที่ข้าเปิดรับแทงเดิมพัน มันยังส่งเสียงผ่านปราณแท้มาซ้ำเติมข้า ยังบอกอีกว่าหากข้าตายมันจะรีบเอาข่าวดีนี้ไปบอกหลานชายมัน…! ข้าขอถามพี่น้องทุกคนในที่นี้ ว่าหากพวกท่านเป็นข้า ยังจะคืนคะแนนอุทิศให้มันหรือไม่?”
เสียงต้วนหลิงเทียนนั้นควบไปด้วยปราณแท้ ทำให้ดังชัดถนัดหูของทุกผู้คนในลานฝึกซ้อม
“ย่อมไม่แน่นอน!”
“มิน่าแปลกใจเลยว่าไฉนศิษย์พี่ต้วนถึงดูจงใจสร้างความลำบากให้ผู้ดูแลเติ้งเหว่ยนัก ที่แท้เรื่องราวกลับมีเบื้องหลังความเป็นมาเช่นนี้นี่เอง…”
“เหอะ! ผู้ดูแลเติ้งเหว่ยก็เป็นชนชั้นไร้ยางอายอีกคนแล้วหรือ? นี่ยังกล้าถามต้วนหลิงเทียนว่าไฉนไม่คืนคะแนนอุทิศ ใยมันไม่คิดถึงตอนที่มันอยากให้ต้วนหลิงเทียนตายบ้าง!!”
……
เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกหันมองเติ้งเหว่ยด้วยสายตาดูถูก ปากยังกล่าววาจาด้วยความรังเกียจ พวกมันคล้ายจะเอาโทสะที่เสียเดิมพันเพราะเฝิงฟ่านมาลงกับเติ้งเหว่ยอีกคน
ทำราวกับพวกมันลืมไปแล้ว ว่าก่อนหน้านี้พวกมันเองก็อยากให้ต้วนหลิงเทียนตาย…เพราะต่างก็แทงข้างเฝิงฟ่านเช่นกัน!
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ข้าเห็นผู้ดูแลเติ้งกล้าเดิมพันกับต้วนหลิงเทียนถึง 150,000 คะแนนอุทิศ ที่แท้กลับมีเรื่องบาดหมางดังกล่าวกับต้วนหลิงเทียนมาก่อนนี่เอง”
ผู้ดูแลฝ่ายนอกคนหนึ่งกล่าวออก
“เพ้ย! เหลวไหลยิ่งนัก! เติ้งเหว่ย หลานเจ้าแพ้พ่ายต้วนหลิงเทียนในการทดสอบ ก็ล้วนเป็นเพราะมันฝีมือไม่ถึงเองมิใช่หรือไร จึงได้ไร้วาสนาเข้าร่วมสำนักเรา…! เรื่องนี้เจ้าจะไปโทษต้วนหลิงเทียนได้อย่างไร!?”
“ถูกแล้ว! เติ้งเหว่ย..ไม่ว่าเจ้าคิดจะโอ๋หลานชายของเจ้าเพียงใด เจ้าก็ต้องหัดใช้เหตุผลด้วย!”
……
ผู้ดูแลคนอื่นๆก็เร่งกล่าวเข้าข้างต้วนหลิงเทียนออกมาทันที ทำให้สีหน้าเติ้งเหว่ยยิ่งมายิ่งหมองคล้ำ
สุดท้ายเติ้งเหว่ยก็ตระหนักได้ว่า อยู่ที่นี่ต่อไปก็รังแต่จะอับอายขายขี้หน้า มันแค่นคำเย็นชาทั้งถลีงตามองต้วนหลิงเทียนอย่างคับแค้นอีกรอบ ก่อนที่จะรีบวิ่งจากไปไม่ต่างใดกับโจวฉีและหวงเฉิงก่อนหน้า…
“ศิษย์พี่น้องทั้งหลาย พรุ่งนี้ค่อยพบกันใหม่”
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับคนรอบๆพร้อมยกมือขึ้นมาประสานเขย่าไม่กี่ที เขาก็เดินกลับบ้านทันที
ตอนนี้เหล่าผู้คนที่อยู่ในลานฝึกซ้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์ฝ่ายนอกและผู้ดูแลที่แทงเดิมพันกับต้วนหลิงเทียน ล้วนมองแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนที่กำลังเดินจากไปด้วยสายตาชื่นชม
“ต้วนหลิงเทียน!”
เมื่อเห็นซึ้งถึงความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน สีหน้าเยี่ยหมานก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก!
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนมีสามารถสูงถึงขั้นสังหารเฝิงฟ่านที่มีศาสตราพร้อมอาคมเซียน 2 ชนิดนั่นลงได้ เยี่ยหมานก็รู้สึกคล้ายต้วนหลิงเทียนกลับกลายเป็นขุนเขาสูงชันที่มันไม่มีวันข้ามไปได้…
“ดูเหมือนว่าที่ข้าแพ้มันเมื่อ 2 เดือนก่อน จะไม่น่าอับอายแล้ว…”
‘เซี่ยวชุย’ ที่มาจากจวนเจ้าเมืองหลัวเจี้ยนเผยยิ้มขื่นขมออกมา ตอนนี้มันยอมรับนับถือต้วนหลิงเทียนนัก ไม่กล้าคิดแค้นอะไรสืบไป…
หลังจากที่กลับมาถึงบ้านเดี่ยวพร้อมลานว่าง ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมาพร้อมยิ้มแหยๆ “นี่ข้าใจกว้างไปรึเปล่านะ?”
เดิมทีจำนวนคะแนนอุทิศจากการเดิมพันคราวนี้เขาต้องได้รับถึง 3,000,000 แต้ม
ในบรรดาคะแนนอุทิศเหล่านั้น มีของหวงเฉิง 360,000 แต้ม กับของเติ้งเหว่ย 150,000 แต้ม ที่ไม่นับรวมอยู่ในยอดที่เขาจะคืนพรุ่งนี้
เมื่อหักลบกับยอดที่ไม่ต้องคืนส่วนนี้แล้ว เท่ากับเขาจะมีคะแนนอุทิศเหลืออยู่ 2,490,000 แต้ม
คะแนนอุทิศที่เหลือนั้นต้วนหลิงเทียนออกปากไว้แล้วว่าจะคืนไปครึ่งหนึ่ง…นั่นหมายความว่าสุดท้ายเขาจะเหลือคะแนนอุทิศอยู่ 1,250,000 แต้ม และเมื่อเอาไปรวมกับยอดของหวงเฉิงและเติ้งเหว่ย พอตีเป็นเลขกลมๆก็จะเป็น 1,750,000แต้ม
“ถึงแม้ว่าจะไม่รวมที่ต้องส่งคืนให้หวงเฉิงกับเติ้งเหว่ยนั่น ข้าก็ยังต้องคืนอีก 1,250,000 คะแนนอุทิศกลับไป…”
หลังจากคำนวณอย่างละเอียดแล้ว คิดอีกทีต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกว่าตัวเองหน้าใหญ่ใจกว้างเกินไปอยู่บ้าง
“ช่างเถอะ ยังไงก็มีอยู่อีกตั้ง 1,750,000 คะแนนอุทิศ จำนวนนี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้จ่ายได้ตามใจแล้ว…ยังไงเสียคะแนนอุทิศอะไรนี่มันก็ใช้ได้แค่ในสำนักจันทร์จรัสแสงกับอีก 18 เมืองใต้อาณัติเท่านั้น พอไปที่อื่นก็ไร้ประโยชน์…”
และด้วยเหตุผลข้อนี้ ต้วนหลิงเทียนถึงได้ตัดสินใจที่จะคืนคะแนนอุทิศไปครึ่งหนึ่ง
ถึงแม้ว่าจะเป็นคะแนนอุทิศแค่ครึ่งเดียว แต่มันก็มากพอจะซื้อใจผู้คน! และเรื่องนี้ทำให้ผู้ประสงค์ร้ายลงมือกับเขายากขึ้นมาอีกส่วน..
หลังจากปิดประตูหน้าต่างห้องหับดีแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างเข้าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที
เขายังไม่ได้เริ่มฝึกฝนบ่มเพาะอะไร เพียงหยิบดาบใหญ่ไร้คมของเฝิงฟ่านขึ้นมาสำรวจดูอย่างละเอียด
กล่าวให้ชัดคือเขากำลังพยายามตรวจสอบ อาคมเซียน ที่จารึกอยู่บนตัวดาบ…
ลวดลายและอักขระจากการจารึกอาคมเซียนบนดาบใหญ่นั้น เป็นถึงอาคมเซียนระดับ 2 ดาวที่เรียกว่า พันทวี เมื่อถูกเปิดใช้งานจะทำให้น้ำหนักของตัวดาบเพิ่มขึ้นพันเท่า นี่ส่งผลให้บังเกิดเป็นอานุภาพจู่โจมมหาศาล…!
ต้วนหลิงเทียนที่โดนมากับตัวย่อมตระหนักถึงพลังอำนาจที่น่ากลัวนั่นชัดดี!
“โชคดีนักที่ข้ามีม่านตาพิสดาร ไม่งั้นวันนี้ข้าได้ตายแน่…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวรำพัน
หลังจากพยายามศึกษาอยู่พักหนึ่งต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเวียนหัวตาลาย ง่วงนอนไม่น้อย
เพราะในขณะศึกษาอาคมเซียนที่จารึกนั้น พลังวิญญาณที่พึ่งฟื้นฟูมาได้ไม่เท่าไร ก็หมดลงอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าต้องรอให้พลังวิญญาณฟื้นฟูกลับมาเต็มที่ซะก่อน…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสียงอ่อน
หลังจากที่ตัดสินใจแล้ว เขาก็ฝืนร่างเดินขึ้นไปยังชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแล้วทิ้งตัวลงนอนทันที…
สำนักจันทร์จรัสแสง ฝ่ายใน…
“ท่านอาจารย์!”
เข้าคฤหาสน์มาไม่ทันไร โจวฉีก็รีบแจ้นไปหาอาวุโสหลิวฮ่วนอาจารย์ของมันทันที
“มีอันใด ไฉนสีหน้าเจ้าถึงได้เป็นกังวลนัก?”
หลิวฮ่วนเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างหน้าตาแลดูธรรมดาทั่วไป หากแต่แววตาของมันกลับให้ความรู้สึกพร่ามัวคล้ายมีหมอกควันปกคลุม และใต้ดวงตาก็มีรอยดำคล้ำคล้ายคนอดนอน เพียงยืนอยู่เฉยๆ ก็ให้ความรู้สึกเสมือนมีไอแห่งความชั่วร้ายแผ่ออกมาทั่วกาย
เมื่อเห็นโจวฉีเร่งรีบเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นกังวล หลิวฮ่วนก็ขมวดคิ้ว “เจ้าต้องหัดเอาอย่างศิษย์น้องของเจ้าบ้าง อายุก็มิใช่น้อยๆแล้วยังไม่รู้จักสำรวมเสียบ้าง!”
“ท่านอาจารย์มิใช่ว่าข้ารีบร้อนมาโดยไม่มีเหตุ แต่ข้ามีเรื่องด่วนต้องแจ้งต่อท่านจริงๆ!”
โจวฉีกล่าวออกมาพร้อมคลี่ยิ้มขื่นขม
“ว่ามา”
หลิวฮ่วนกล่าวเสียงเรียบ
“ท่านอาจารย์…ศิษย์น้องเฝิงฟ่านตายแล้ว…”
โจวฉีกล่าว
“ว่าอะไร!?”
พอได้ยินคำกล่าวนี้ของโจวฉี หลิวฮ่วนก็ขมวดคิ้วยู่ย่น สีหน้าเผยความประหลาดใจไม่น้อย “เกิดอะไรขึ้น?’
“ท่านอาจารย์ เฝิงฟ่านส่งสารท้าประลองเป็นตายให้กับศิษย์ใหม่ฝ่ายนอกที่พึ่งเข้าสำนักเรามาได้ 2 เดือน และอีกฝ่ายก็ตอบรับจนเกิดการประลอง…สุดท้ายเฝิงฟ่านกลับไม่ใช่คู่มือของศิษย์ใหม่คนนั้น”
หลังจากที่โจวฉีกล่าวจบ มันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ฟ้าริษยาอัจฉริยะนัก…”
“ศิษย์ฝ่ายนอกคนใหม่ที่พึ่งเข้าสำนักมาได้ 2 เดือน?”
ลูกตาหลิวฮ่วนหดเล็กลงทันใด “มันเป็นใครกัน ไฉนถึงได้มีสามารถถึงขั้นฆ่าเฝิงฟ่านได้!?”
เฝิงฟ่านนั้นนับเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในฝ่ายนอก ซ้ำยังติดอันดับในรายนามปฐพี แม้อันดับในรายนามปฐพีของมันจะนับเป็นอันดับล่างท้ายตาราง แต่อย่างไรก็นับเป็นชนชั้นกล้าแข็งในบรรดา 9 พันธมิตรแล้ว
ทว่าตัวตนเช่นนั้นยังถูกฆ่าตาย!
แถมผู้สังหารยังเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกที่พึ่งเข้าร่วมสำนักจันทร์จรัสแสงได้แค่ 2 เดือน!
“มันเป็นยอดฝีมือในรายนามปฐพีด้วยหรือไร?”
หลิวฮ่วนกล่าวถามเสียงเข้ม
“หาไม่”
โจวฉีส่ายหัว “มันมิใช่ยอดฝีมือในรายนามปฐพีแต่อย่างไร และก่อนที่มันจะเข้าสำนักจันทร์จรัสแสงก็เป็นแค่มดตัวกระจ้อยไร้ชื่อเสียงเรียงนาม”
“ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไร แต่อายุมันก็นับว่าอายุสั้นแล้วที่หาญกล้าฆ่าเฝิงฟ่าน!”
หลิวฮ่วนกล่าวออกมาเสียงเย็นท่าทางครุ่นคิด ไม่นานมันก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆค่อยกล่าวพึมพำ “อาวุโสจ้าวยังปิดด่านฝึกตนอยู่ เช่นนั้นเป็นไปได้สูงที่จักยังมิออกมาเร็วๆนี้ หากพวกเรากำจัดคนที่ฆ่าเฝิงฟ่านได้…นับว่าทำให้อาวุโสจ้าวติดค้างเราเรื่องหนึ่ง”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นท่านอาจารย์”
โจวฉีพยักหน้า
“เฮอะ! นอกจากชักช้าไม่ทันกาลได้แต่เออออแล้วเจ้ายังทำอันใดได้อีก?”
หลิวฮ่วนหัวเราะเยาะ ด้วยไม่คิดว่าโจวฉีจะมีปัญญาทำอะไรได้
“ท่านอาจารย์คราวนี้ข้ามิได้ชักช้านะ…จริงๆแล้วคราวนี้ถึงแม้ศิษย์น้องเฝิงฟ่านจะไม่ถูกมันฆ่าตาย ข้าก็จะทำทุกอย่างเพื่อฆ่ามันอยู่ดี! แต่ไม่คิดเลยว่าก่อนที่ข้าจะฆ่ามันได้สำเร็จ ศิษย์น้องกลับถูกมันฆ่าตายเสียก่อน…”
โจวฉีเผยยิ้มขื่นขมออกมา ทว่าครู่ต่อมาในลูกตามันก็เผยประกายเย็นเยียบขุมหนึ่ง
“อะไร? หรือเจ้ามีความแค้นกับคนผู้นั้นมาก่อนแล้ว?”
หลิวฮ่วนขมวดคิ้ว ทันใดนั้นคล้ายมันนึกอะไรได้ออก สีหน้ามันเปลี่ยนไปทันใด “โจวฉี…เฝิงฟ่านส่งสารท้าประลองเป็นตายให้คนผู้นั้นคราวนี้…มิใช่เจ้ามีเอี่ยวด้วยหรอกนะ?”
“ไม่ๆ!”
โจวฉีรีบส่ายหัวปฏิเสธทันที
มันรู้ดีแก่ใจว่าหากยอมรับเรื่องนี้ คงฉิบหายมากกว่าดี…
แน่นอนว่าในใจของมันลอบกล่าวเย้ยเยาะอยู่ ‘ข้ามิได้แค่มีเอี่ยวธรรมดา แต่ข้านี่ล่ะที่ส่งมันไปฆ่าต้วนหลิงเทียน! เสียดายก็แต่เฝิงฟ่านนั่นมันไร้ประโยชน์ยิ่งนัก กลับตกตายคามือต้วนหลิงเทียนเสียได้!’
คำเหล่านี้มันกล้าแค่พูดในใจเท่านั้น ไม่มีทางปริปากพ่นคำออกมาเด็ดขาด
“ไม่มีใดแน่นะ?”
หลิวฮ่วนกล่าวจี้ถามออกมาเสียงเข้ม
“ท่านอาจารย์ข้ามิมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยจริงๆ! หากท่านมิเชื่อข้ากล่าวคำสาบานก็ได้!”
โจวฉียืนกรานปฏิเสธ ยังเสนอเรื่องสาบาน ด้วยรู้ดีว่าหลิวฮ่วนต้องไม่ให้มันกล่าวสาบานแน่!
ต้องบอกว่าโจวฉีคนนี้รู้จัก ‘ถอยคือการเดินหน้า’ เป็นอย่างดี และนั่นทำให้หลิวฮ่วนไม่สงสัยอะไรมันสืบไป “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่าอยู่ดีๆ ไฉนเฝิงฟ่านถึงได้ไปเป็นศัตรูกับคนผู้นั้นได้?”
“เรื่องนี้ข้าเคยได้ยินศิษย์น้องเฝิงฟ่านกล่าวอยู่บ้าง”
โจวฉีกล่าวเล่า “ดูเหมือนว่าหลังจากที่เจ้านั่นมันสามารถเอาชนะศิษย์ฝ่ายนอก 100 อันดับแรกมาได้ติดๆกันถึง 2 คน มันก็หยิ่งผยองถือดี ไม่เห็นหัวผู้ใด…กระทั่งพอได้ยินชื่อเสียงศิษย์น้องเฝิงฟ่าน มันก็กล่าวดูถูกศิษย์น้องเฝิงฟ่านออกมาว่าก็ไม่ได้นับเป็นตัวอะไร ด้วยปากร้ายวาจาเชือดเฉือนเช่นนี้จึงทำให้ศิษย์น้องเฝิงฟ่านมีโมโหนักที่ถูกลูบคม”
“สุดท้ายศิษย์น้องเฝิงฟ่านก็เลือกส่งสารท้าประลองเป็นตายให้มันด้วยโทสะ”
โจวฉีตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จออกไปอย่างฉะฉาน
แน่นอนว่าเรื่องนี้มันคิดไว้ตั้งแต่ก่อนมาแล้ว
ในเมื่อเฝิงฟ่านก็ตายไปแล้ว มันจะปั้นน้ำเป็นตัวอันใดก็ย่อมได้…
“แล้วเจ้าเล่า ไฉนไปมีเรื่องบาดหมางกับมันได้?”
หลิวฮ่วนขมวดคิ้วกล่าวถาม
“ท่านอาจารย์ ท่านเข้าใจผิดแล้ว…ข้ามิได้มีเรื่องบาดหมางกับมัน”
โจวฉีเผยยิ้มขื่นขมออกมา
“หืม? แล้วเจ้าหมายความว่าอะไรกันแน่?”
หลิวฮ่วนกล่าวถามด้วยความหงุดหงิด
“ท่านอาจารย์เหตุผลที่ข้าบอกว่าแม้ศิษย์น้องเฝิงฟ่านจะไม่ลงมือกับมัน ข้าก็จะหาทางฆ่ามันให้ได้นั้น…ล้วนเป็นเพราะความเป็นมาของมัน! และความเป็นมาของมัน…นับได้ว่าเป็นศัตรูกับพวกเรา ถึงขั้นยากที่จะอยู่ร่วมโลกเดียวกันกับพวกเราได้!!”
โจวฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ความเป็นมาของมันเป็นศัตรูกับพวกเรา? หรือมันยังมีอันใดเกี่ยวของกับข้าด้วย?”
หลิวฮ่วนยังไม่เข้าใจเรื่องราว
“ท่านอาจารย์ คนผู้นั้นมันเรียกว่าต้วนหลิงเทียน…เช่นเดียวกับศิษย์น้องซูฉี มันมาจากจวนเจ้าเมืองชงซัน…ทั้งดูเหมือนว่าจะเป็นศิษย์ของฟางฮุ่ยเช่นกัน!”
ถึงช่วงเวลาสำคัญ โจวฉีก็ปล่อยเหยื่อล่อตัวใหญ่ออกไปทันที
“จวนเจ้าเมืองชงซัน? ฟางฮุ่ย!?”
ไม่ผิดเพี้ยน สีหน้าหลิวฮ่วนมืดคล้ำดำลงทันใด!