แลกชีวิต!
“เจ้าแน่ใจเหรอว่ามันเป็นคนของจวนเจ้าเมืองชงซัน ซ้ำยังเป็นลูกศิษย์ของฟางฮุ่ยนั่น!?”
ลูกตาหลิวฮ่วนเผยประกายสว่างวาบขึ้นมา เร่งถามเสียงเข้ม
มันไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
ฟางฮุ่ยนั้นตอนแรกก็สามารถรับตัวอัจฉริยะจากทวีปมนุษย์อย่างซูฉีมาเป็นศิษย์ได้แล้ว…ทว่าหลังจากนั้นอีกฝ่ายยังสามารถรับตัวอัจฉริยะระดับนี้มาเป็นศิษย์ได้อีก?
นี่มันโชควาสนาอะไร!?
ไฉนมันหลิวฮ่วนถึงไม่มีโชควาสนาเช่นนี้บ้าง!?
ในเมื่ออีกฝ่ายพึ่งเข้าสำนักมาได้ 2 เดือน นั่นหมายความว่าต้วนหลิงเทียนผู้นั้นยังมีอายุไม่ถึง 40 ปี!
ทว่าการที่สามารถฆ่าเฝิงฟ่านได้ นั่นก็บ่งบอกให้รับทราบว่าศักยภาพและพรสวรรค์นั้นก้าวล้ำเหนือซูฉี ศิษย์ส่วนตัวที่มันภาคภูมิใจ!
หากมันรับทราบถึงการคงอยู่ของต้วนหลิงเทียนผู้นี้ก่อนเกิดเรื่อง มันจะรีบไปรับอีกฝ่ายเป็นศิษย์และปฏิบัติต่ออีกฝ่ายด้วยดีเหมือนที่กระทำกับซูฉี
อนิจจาตอนนี้เรื่องราวเหล่านั้นไม่อาจเป็นได้อีกแล้ว
เพราะอีกฝ่ายพึ่งฆ่าเฝิงฟ่าน ศิษย์ส่วนตัวของอาวุโสจ้าว!
อาวุโสจ้าวนั้นเป็น 1 ใน 3 ตัวตนอันทรงพลังของสำนักจันทร์จรัสแสง เป็นตัวตนที่แม้กระทั่งมันหลิวฮ่วน ยังต้องประจบเอาใจ!
คนที่ลงมือสังหารเฝิงฟ่าน ศิษย์ส่วนตัวของตัวตนระดับนั้น…ต่อให้มันหลิวฮ่วนมีความกล้ามากกว่านี้อีก 100 เท่ามันก็ไม่กล้ารับมาเป็นศิษย์!!
“ท่านอาจารย์ ตอนที่ข้าไปรับตัวศิษย์น้องซูฉีเมื่อกว่าครึ่งปีที่แล้ว ข้าเองก็เห็นมันเช่นกัน…ทว่าวันนั้นข้าไม่รู้ถึงศักยภาพพรสวรรค์ของมัน หาไม่แล้วข้าคงพามันกลับมาให้ท่านอาจารย์แต่แรก…”
โจวฉีติดตามหลิวฮ่วนมานานหลายปี วาจาใดควรกล่าวและวาจาใดพึงใจอีกฝ่ายมันย่อมรู้ดี
ทว่าความในใจของมันนั้น…ครึ่งปีที่แล้วหากมันรู้แต่แรกว่าต้วนหลิงเทียนมีพรสวรรค์ขนาดนี้ มันจะฆ่าอีกฝ่ายเสียให้ตายตั้งแต่ที่จวนเจ้าเมืองชงซัน!
มันรู้สึกเสียใจทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ อนิจจาโลกหล้าไร้โอสถรักษาอาการเสียใจ
ดั่งคาด พอได้ยินวาจาประจบสอพลอของโจวฉี สีหน้าของหลิวฮ่วนก็แลดูผ่อนคลายลงไม่น้อย อย่างไรก็ตามประกายตาของมันกลับทวีความคมกล้าขึ้น “ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าฟางฮุ่ยนั่นจักมีวาสนาเลิศล้ำถึงเพียงนี้..! กลับสรรหาศิษย์มากพรสวรรค์ทั้งมีศักยภาพเด่นล้ำเช่นนี้ได้ถึง 2 คน นี่มันทำบุญด้วยอะไรกันแน่?”
กล่าวถึงท้ายประโยค แววตาหลิวฮ่วนก็ทอประกายอำมหิตขึ้นมา “ตอนแรกที่ข้าไว้ชีวิตมันเพราะคิดว่าชั่วชีวิตนี้มันคงมิมีหนทางพลิกฟื้นคืนกลับ…แต่ดูเหมือนจะเป็นข้าที่ผิดพลาดไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนนั่นมิต่างใดกับหอกข้างแคร่แม้เพียงนิด หากปล่อยให้มันเติบโตขึ้นไปกว่านี้ มิแคล้วสักวันต้องกลายเป็นภัยต่อข้าแน่!”
“ท่านอาจารย์ เช่นนั้นท่านให้ข้ามุ่งหน้าไปเมืองชงซันแล้วฆ่าฟางฮุ่ยนั่นเลยดีหรือไม่?”
โจวฉีกล่าวถาม
“ไม่”
หลิวฮ่วนส่ายหัวไปมา “ฟางฮุ่ยนั่น…เก็บชีวิตสวะมันไว้ให้อาวุโสจ้าวระบายอารมณ์เถอะ…! หาไม่แล้วยามอาวุโสจ้าวออกจากการกักตัวฝึกตนและพบว่าศิษย์ถูกฆ่า จะให้ท่านเอาความแค้นไประบายที่ใด?”
“ส่วนต้วนหลิงเทียนอะไรนั่น…พวกเราต้องชิงฆ่ามันก่อนที่อาวุโสจ้าวจะออกจากการปิดด่าน! เพียงกระทำเช่นนี้อาวุโสจ้าวถึงจะติดหนี้บุญคุณข้า”
กล่าวถึงท้ายประโยคลูกตาของหลิวฮ่วนก็ทอประกายเรืองวูบขึ้นมา
แน่นอนว่ายังมีความนัยบางประการที่มันไม่เอ่ยออก
เหตุที่มันต้องเร่งฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายก่อนอาวุโสจ้าวจะออกจากการปิดด่านนั้น เพราะมันกังวลว่าอาวุโสจ้าวจะถูกใจพรสวรรค์และอัจฉริยภาพของต้วนหลิงเทียน! กระทั่งอาจจะทำทุกวิถีทางเพื่อรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์โดยไม่สนใจใยดีการตายของเฝิงฟ่าน!!
นั่นคือสิ่งที่มันไม่อยากเห็น!
ต้วนหลิงเทียนนั้นจะอย่างไรพื้นเพก็มาจากเมืองชงซัน หากอีกฝ่ายตกไปอยู่ในความดูแลของอาวุโสจ้าวขึ้นมาล่ะก็…นั่นสมควรเป็นหายนะของมัน หลิวฮ่วน แน่!
“ท่านอาจารย์ขอท่านโปรดวางใจ ข้าจะพยายามทำทุกทางให้ดีที่สุดเพื่อฆ่าต้วนหลิงเทียนนั่นโดยเร็ว ก่อนที่ท่านอาวุโสจ้าวจะออกจากการปิดด่านฝึกตน!”
โจวฉีกล่าว
“ไม่ใช่แค่พยายามทุกทางอย่างดีที่สุด แต่เจ้าต้องทำ และทำให้ได้! ต้วนหลิงเทียนนั่น มันต้องตายก่อนอาวุโสจ้าวออกจากการปิดด่าน! เจ้าต้องฆ่ามัน..ต่อให้เรื่องนี้จะต้องแลกด้วยชีวิตของเจ้าด้วยก็ตาม และหากเจ้าตายไปข้าก็จะจดจำความกล้าหาญของเจ้าไปชั่วชีวิต…”
หลิวฮ่วนมองโจวฉี ค่อยๆกล่าว
แม้ท้ายประโยควาจาสีหน้าของหลิวฮ่วนจะคล้ายเต็มไปด้วยความเมตตา หากทว่าโจวฉีรู้สึกเหน็บหนาวจับขั้วหัวใจ!
หลิวฮ่วน ผู้เป็นอาจารย์ของมัน กลับสั่งให้มันฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ได้ ถึงแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของมันก็ตาม!
จังหวะนี้ในใจของโจวฉีนั้น ไม่หลงเหลือความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์กับหลิวฮ่วนสืบไป…มันสะบั้นไมตรีสุดท้ายทิ้งไปทันที!
ก่อนหน้านี้มันยังกังวลและพยายามจะหาทางฆ่าต้วนหลิงเทียนให้เร็วที่สุด…ทว่าเพียงห้วงคิดเดียว ตอนนี้มันปรารถนาเหลือเกิน…ว่าขอให้ต้วนหลิงเทียนอายุยืน! ถึงขั้นสักวันย้อนกลับมาฆ่าหลิวฮ่วนให้ตาย!!
และตอนนี้ ในใจมันก็คล้ายตัดสินใจเรื่องราวบางอย่างขั้นเด็ดขาดไปแล้ว
ยังเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต เพื่ออนาคตของมัน
“ขอท่านอาจารย์อย่าได้กังวล ข้าจะไม่ทำให้ทานผิดหวัง”
ต่อหน้าใบหน้าอ่อนโยนของหลิวฮ่วน โจวฉีได้แต่กล่าวตอบไปอย่างสุภาพ แม้จะขยะแขยงชิงชังรังเกียจเพียงใดก็ตาม
“ประเสริฐ!!”
เมื่อเห็นว่าโจวฉีเชื่อฟัง หลิวฮ่วนก็หัวเราะออกมาเบาๆ “โจวฉีอย่างไรเจ้าก็เป็นศิษย์คนแรกของข้า ในใจข้ามีเจ้าอยู่เสมอ อีกทั้งข้ายังหวังกับเจ้าไว้มิน้อย…ขอเจ้าอย่าได้เป็นกังวลอันใด ใจข้าไม่มีวันลืมเจ้า…! และแม้เจ้าจะต้องถูกสำนักตัดสินโทษตายหลังเจ้าฆ่าต้วนหลิงเทียน…”
“แต่ข้าก็จักนำป้ายวิญญาณของเจ้ามาไว้ที่ลานด้านหลังที่ข้ามักใช้ฝึกซ้อม…เช่นนี้ก็เสมือนเจ้าได้อยู่กับข้าอาจารย์ตลอดไปแล้ว…”
หลิวฮ่วนกล่าวด้วยน้ำเสียงแววตาเอ็นดู แต่วาจาสละละทิ้งออกมาอย่างหน้าด้านๆ…
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์”
ใจโจวฉีเย็นเยียบปานจมหล่มน้ำแข็ง แต่แน่นอนว่าเปลือกนอกก็ไม่อาจแสดงอันใด ได้แต่ประสานมือคารวะด้วยความซาบซึ้ง
“ภายใน 3 วัน ข้าต้องได้ยินข่าวการตายของมัน…เจ้าคงมิทำให้อาจารย์ผิดหวังใช่หรือไม่?”
หลิวฮ่วนมองโจวฉีอีกครั้ง ทั้งยังขีดเส้นตายให้อีกฝ่าย
3 วัน!
ได้ยินวาจานี้ ใจโจวฉีจะท้านไปไม่น้อย มันพยักหน้ารับคำเบาๆ
“ดี! เจ้าไปได้แล้ว…รีบไปเตรียมตัวเสียให้พร้อม”
หลิวฮ่วนกล่าว
“ศิษย์ ขอลา!”
โจวฉีก้าวถอยหลังไปไม่กี่ก้าวก็หันหลังจากไป และทันทีที่มันหันหลังแววตาของมันก็เต็มไปด้วยความเย็นชาถึงที่สุด ‘หลิวฮ่วนเจ้ากลับเลือกที่จะทิ้งข้าอย่างไร้เยื่อไยถึงเพียงนี้…ในเมื่อเจ้าทำเหมือนชีวิตข้ามันไม่นับเป็นอะไรนัก ข้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างเจ้าสืบไป…ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปความสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์อาจารย์ของพวกเรา ขาดกัน!’
หลังจากที่โจวฉีหันหลังเดินจากไป สีหน้าหลิวฮ่วนที่เต็มไปด้วยความเมตตาอาลัยก่อนหน้า ก็กลายเป็นเฉยเมยไร้แยแส มองแผ่นหลังที่หายลับไปของโจวฉีอย่างไร้อารมณ์
หลังจากนั้นมันก็ไปหาซูฉี
ทันทีที่มันได้พบซูฉี สีหน้าเย็นชืดเมื่อครู่ ก็แปรเปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มเต็มไปด้วยความพึงใจ
“ท่านอาจารย์ ดึกดื่นป่านนี้ไฉนถึงมาหาข้าได้?”
ใบหน้าซูฉีเผยความงุนงงไม่น้อย
“ซูฉี ก่อนที่เจ้าจะออกจากจวนเจ้าเมืองชงซัน เจ้ารู้เรื่องศิษย์ของฟางฮุ่ยที่ชื่อว่าต้วนหลิงเทียนบ้างหรือไม่?”
หลิวฮ่วนเปิดประตูเห็นภูผากล่าวถาม
“ข้าพอรู้อยู่บ้าง”
ซูฉีพยักหน้า “อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนผู้นั้นหยิ่งยโสนัก! เพียงเรียกหาฟางฮุ่ยว่าครู แต่ไม่นับถือเป็นอาจารย์…ทว่าอย่างไรเสียมันก็เป็นอัจฉริยะจากทวีปมนุษย์เหมือนกันกับข้า แน่นอนว่าศักยภาพและพรสวรรค์ของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเลย”
“หืม? มันมาจากทวีปมนุษย์ด้วยอย่างงั้นรึ?”
หลิวฮ่วนหยีตากล่าวถามออกมาทันที “ซูฉี แล้วมันมาจากทวีปเดียวกับเจ้าหรือไม่?”
“ไม่”
ซูฉีส่ายหัวไปมา “พวกเรามาจากทวีปมนุษย์คนละทวีป”
“ดูเหมือนว่าข่าวลือจักเป็นจริง…ยอดฝีมือจากทวีปมนุษย์ล้วนมีอัจฉริยภาพเหนือผู้คนธรรมดาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า อีกทั้งพรสวรรค์ที่มียังน่ากลัวดั่งฟ้าประทาน…”
หลิวฮ่วนกล่าวพึมพำ
“ท่านอาจารย์มีเรื่องอะไรหรือ ไฉนอยู่ดีๆถึงได้ถามถึงมันเล่า?”
ซูฉีกล่าวถามด้วยสงสัย
“เจ้านั่น มันพึ่งฆ่าเฝิงฟ่านมาน่ะสิ…”
หลิวฮ่วนไม่ได้ปิดบังอะไร กล่าวบอกเรื่องราวที่ได้รับทราบมาจากโจวฉีออกไปตรงๆ
“อะไรนะ?!”
ทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้หน้าซูฉีก็เปลี่ยนไปทันใด “เป็นไปได้อย่างไร…เฝิงฟ่าน ไม่ใช่ว่าเป็นถึงยอดฝีมือที่ติดอันดับในรายนามปฐพีหรือไร ต้วนหลิงเทียนไปฆ่าคนระดับนั้นได้ยังไง?”
พอเห็นหน้าซูฉีเปลี่ยนสีไปไม่น้อย หลิวฮ่วนก็ตระหนักได้ทันทีว่ากระทั่งซูฉียังไม่ล่วงรู้ถึงพรสวรรค์และพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน
“เรื่องนี้เป็นความจริง และพึ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆวันนี้ ตอนนี้ฝ่ายนอกคงล่วงรู้กันทั่ว ฝ่ายในเองอีกไม่นานก็คงได้ทราบความนี้กันทั่วเช่นกัน”
หลิวฮ่วนกล่าว
พอได้ยินคำยืนยันจากหลิวฮ่วน สีหน้าซูฉีเผยความซับซ้อนออกมาไม่น้อย ตอนนี้มันรู้สึกเหมือนต้วนหลิงเทียนจะก้าวเดินนำมันห่างออกไปอีกไกล…
ณ พื้นที่อันเงียบสงบแห่งหนึ่งของฝ่ายนอก ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ไร้ผู้ใดเฉียดกราย
“ท่านผู้อาวุโส…เฝิงฟ่านตายแล้ว”
ชายร่างใหญ่กลบ่าวรายงานออกมาด้วยความตกใจเต็มใบหน้า แววตายังคงเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้าหนุ่มนั่นนับว่าน่าสนใจยิ่งนัก…”
ชายชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในศาลาชมบุปผายิ้มกล่าวออกมาบางๆ ค่อยละเลียดละไมจิบชาหอมจรุงควันฉุยอย่างไม่ยี่หระ คล้ายข่าวเรื่องนี้ไม่ได้สร้างความประหลาดใจอันใดให้มันแม้แต่น้อย
“ท่านอาวุโส…เรื่องนี้ท่านไม่แปลกใจบ้างหรือ?”
ชายร่างใหญ่แลดูแข็งแกร่งอดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม
“ยังต้องแปลกใจอันใด แต่แรกเจ้าหนุ่มคนนั้นก็มิคล้ายคนสิ้นคิดหาที่ตายอะไร…”
ชายชรานั้นอยู่ในชุดสีขาวกระจ่าง ขนคิ้วเส้นผมของมันก็ขาวโพลนตัดกับผิวสีทองแดงของมันอยู่บ้าง ท่วงท่าของมันแลดูสงบราวนักปราชญ์ สภาวะร่างคล้ายจะหลอมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและศาลาชมบุปผา ไม่มีความรู้สึกผิดแผกแตกต่างระหว่างมันกับสรรพสิ่งโดยรอบ
“ผู้อาวุโส…เฝิงฟ่านจะอย่างไรก็เป็นศิษย์ของอาวุโสจ้าว…หากอาวุโสจ้าวออกจากการปิดด่านฝึกตนมา ข้าเกรงว่าเจ้าหนุ่มนั่นคงยากจะรอดพ้นหายนะไปได้”
ชายร่างใหญ่กล่าวอีกรอบ
“อ่านั่นนับว่ามีปัญหาอยู่บ้าง”
ชายชุดขาวพยักหน้ารับคำ กล่าวรำพันเบาๆอยู่พักหนึ่ง ก็คลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง “มิรู้ทำไม แต่ข้ารู้สึกเชื่อมั่นในตัวของเจ้าหนุ่มนั่นนัก…ข้ายังอยากจะรอดูว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะจัดการเรื่องราวกับจ้าวเฟิงอย่างไร”
จ้าวเฟิงนั้น คือผู้อาวุโสฝ่ายในที่ทรงพลังคนหนึ่งของสำนักจันทร์จรัสแสง และยังเป็นอาจารย์ของเฝิงฟ่าน
ฝ่ายในของสำนักจันทร์จรัสแสงมีอาวุโสอยู่เกือบๆ 20 คน
ทว่าพลังฝีมือของจ้าวเฟิงผู้นี้กลับติด 1 ใน 3 ของผู้ที่เข้มแข็งที่สุด ย่อมจินตนาการออกได้ว่าพลังฝีมือของมันร้ายกาจปานใด
“ท่านอาวุโส…ท่านไม่กลัวเจ้าหนุ่มนั่นถูกฆ่าหรือ?”
ชายร่างใหญ่กล่าวถาม
“ข้ากล่าวไปแล้วมิใช่หรือว่าข้าเชื่อในตัวเขา…เจ้ากลับไปได้แล้ว”
ชายชราชุดขาวกล่าว
“ทราบ”
แม้ชายร่างใหญ่จะไม่ทราบว่าไฉนชายชราในชุดขาวถึงได้มั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียน ศิษย์ฝ่ายนอกที่พึ่งเคยพบกันครั้งเดียวนั่นนัก แต่มันก็ได้แต่ล่าถอยจากไป ด้วยไม่กล้าขัดคำของชายชรา
หลังจากชายร่างใหญ่กลับไป ชายชราชุดขาวที่นั่งในศาลาชมบุปผา ก็สะบัดมือคราหนึ่งปรากฏหินเซียนขึ้นในมือ ด้วยแสงพลังที่เรืองรองจากหินเซียนดังกล่าว ไม่คล้ายว่าจะเป็นหินเซียนระดับต่ำแม้แต่น้อย
“ผู้ที่สามารถนำหินเซียนระดับ 4 ออกมาได้เช่นนี้ จักเป็นคนธรรมดาสามัญไปได้อย่างไร? ข้าล่ะอยากรู้ยิ่ง..ว่าสหายน้อยผู้นั้น ที่แท้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ถึงกับหยิบควักหินเซียนระดับ 4 ออกมาได้อย่างง่ายดายแบบนี้! อย่างไรก็ดี…ด้วยความช่วยเหลือของหินเซียนระดับ 4 ข้าสามารถปิดด่านฝึกฝนได้อย่างสบายใจ มิต้องคอยกังวลเรื่องเสียสมาธิจากการเปลี่ยนหินเซียนบ่อยๆ…”
ชายชร่ากล่าวพึมพำขณะคลึงหินเซียนระดับ 4 ในมือเล่น
ตูมมมม!!
ตกดึก ในขณะต้วนหลิงเทียนที่นอนหลับอยู่ดีๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับความปวดร้าวไปทั่วทั้งร่างกาย! และพริบตาต่อมาพอเขาตื่นขึ้น เขาก็พบว่าตัวเขาถูกขับออกจากชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเสียแล้ว!!
“นั่นใคร!?”
หลังจากได้นอนหลับพักผ่อนไปครึ่งวัน พลังวิญญาณต้วนหลิงเทียนก็พอได้ฟื้นฟูขึ้นมาบ้าง จึงเร่งแผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจ สองตามองเขม็งไปยังประตูหน้า ตะโกนถามเสียงดัง!!