แดนนิรมิตเทพ บทที่ 489
เมื่อมองมู่หรงยานเอ๋อร์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และสายตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส เมื่อก่อนอานเข่อเยว่คิดว่ามู่หรงยานเอ๋อร์เป็นคนโง่เขลา แต่ตอนนี้เธอรู้สึกริษยาเล็กน้อย คนที่โง่เขลาที่สุดคือตัวเธอเอง

จากนั้นเฉินโม่ลุกขึ้นและเดินไปหามู่หรงยานเอ๋อร์ เมื่อเขาเดินผ่านศพของเหรินเทียนหยู่ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ผมเคยบอกว่าถ้านายสามารถบังคับให้ผมลุกจากเก้าอี้ได้ ผมก็จะไม่ยุ่งเรื่องของตระกูลมู่หรงอีกต่อไป แต่น่าเสียดายที่นายเป็นคนไร้ประโยชน์”

เมื่อมองมู่หรงยานเอ๋อร์ เฉินโม่ยิ้มด้วยความอ่อนโยน “เป็นไรไหม?”

มู่หรงยานเอ๋อร์ส่ายศีรษะและยิ้มอย่างมีความสุข “ไม่ มีนายอยู่ ฉันก็ไม่กลัวอะไร!”

เฉินโม่พยักหน้า แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจว่ามู่หรงยานเอ๋อร์หมายถึงอะไร และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “จัดงานเลี้ยงวันเกิดต่อเถอะ อย่าปล่อยให้ขยะพวกนี้มาทำลายอารมณ์”

มู่หรงยานเอ๋อร์พยักหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความเชื่อฟัง “ค่ะ!”

มู่หรงยานเอ๋อร์คล้องแขนเฉินโม่ แล้วเดินไปอยู่ตรงเวทีที่อยู่ด้านหน้าของห้องโถง

เฉินโม่มองเธอด้วยสายตาให้กำลังใจและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ขึ้นไปเถอะ!”

มู่หรงยานเอ๋อร์พยักหน้า ใช้มือเล็กขาวนวลยกกระโปรงยาวสีขาวขึ้น แล้วเดินขึ้นไปบนเวทีอย่างสง่างาม

เฉินโม่มองเธอ จากนั้นก็หันกลับมา แล้วสายตาของเขาก็มองไปที่ชายหนุ่มสองคนที่เหรินเทียนหยู่พามาด้วย

ชายหนุ่มทั้งสองคุกเข่าด้วยความตกใจ “ไต้ซือ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเรา พวกเรามาที่นี่ตามคำสั่งเท่านั้น ขอไต้ซือได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถอะ!”

เฉินโม่มองพวกเขาสองคนและไม่พูดอะไร ทำให้สองคนนั้นตกใจจนตัวสั่น เหงื่อเย็นไหลออกมาจากหน้าผาก กลัวว่าเฉินโม่จะฆ่าพวกเขาอย่างกะทันหัน

ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ได้!”

ชายหนุ่มสองคนรู้สึกราวกับได้รับการนิรโทษกรรม และกล่าวขอบคุณเฉินโม่

“ตอนนี้พวกเราไปได้หรือยังครับ?” ชายหนุ่มอีกคนถามด้วยความระแวดระวัง

เฉินโม่พยักหน้า สีหน้าราบเรียบ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “พาพวกเขาไปด้วย ต่อไปอย่ามาเหยียบย่ำแผ่นดินของหัวเซี่ยอีก มิเช่นนั้น ฆ่าไม่เว้น!”

สองหนุ่มตกใจแต่ไม่กล้าละเมิดแม้แต่น้อย “ครับ!”

เมื่อมองชายหนุ่มสองคนแบกร่างของเหรินเทียนหยู่ไว้บนหลัง แล้วยังมีชายชราที่หมดสติอยู่บนพื้นเหมือนสุนัขที่ตายไปแล้ว สายตาของกลุ่มคนดังของมณฑลเจียงหนานที่ มองเฉินโม่ยิ่งเกรงกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ

เฉินโม่กวาดสายตาไปทั่วฝูงชน เหล่าคนดังที่ยโสโอหังของมณฑลเจียงหนาน ก้มหน้าลงทีละคน ไม่มีใครกล้าสบตาเฉินโม่ เพราะเมื่อสักครู่พวกเขาหัวเราะเยาะเฉินโม่ตอนนี้พวกเขากังวลว่าเฉินโม่จะคิดบัญชีแค้นกับพวกเขา

สุดท้ายสายตาของเฉินโม่ก็หยุดอยู่ที่บุคคลหนึ่ง บุคคลนั้นคือโจวเทียนวั่ง

เมื่อเห็นการจ้องมองของเฉินโม่แล้ว โจวเทียนวั่งรู้สึกตกใจ เขารู้สึกว่าดูเหมือนหัวใจของตนเองจะเต้นผิดจังหวะ เขารีบก้มหน้าลงและดวงตาสั่นไหว

“เมื่อสักครู่นายอยากจะฆ่าผม”

น้ำเสียงของเฉินโม่ราบเรียบ เหมือนไม่ได้ถาม แต่ดูเหมือนกำลังระบุข้อเท็จจริง

โจวเทียนวั่งตกใจจนคุกเข่าลง และกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ไต้ซือ ผมมีตาแต่หามีแววไม่ ไม่รู้จักคนที่แข็งแกร่งอย่างคุณ จึงได้ไปล่วงเกินคุณ ขอร้องคุณโปรดอภัยให้ผมด้วย!”

โจวเทียนวั่งรู้สึกหวาดกลัวมาก ร่างกายสั่นไปทั้งตัว เขาเป็นวีรบุรุษชายแดนของมณฑลเจียงหนาน สถานะของเขาเป็นอันดับสองรองจากตระกูลมู่หรง และตอนนี้เขามองออกว่าเฉินโม่มีเจตนาฆ่าจริง ๆ

“ถ้านายแค่ล่วงเกินผม มันก็ไม่เป็นไร แต่ก่อนหน้านั้นสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่านายอยากจะฆ่าผม คนอย่างผมมีความชัดเจนเรื่องบุญคุณและความแค้นเสมอมา ในเมื่อนายคิดจะฆ่าผม ถ้าเช่นนั้นผมก็จะไม่เกรงใจนาย”

โจวเทียนวั่งตกใจจนทรุดลงบนพื้น ร่างกายสั่นไปทั้งตัว อยู่ต่อหน้าคนที่ไม่ธรรมดาอย่างเฉินโม่แล้ว เขาไม่กล้าแม้แต่จะหลบหนี

“ไต้ซือ ผมรู้ตัวว่าผิดแล้ว ขอร้องไต้ซือได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย!”

สีหน้าของเฉินโม่ราบเรียบ เขายื่นมือออกและโบกมือ พลังทิพย์ถูกปลดปล่อยออกไป

โจวเทียนวั่งผู้ทรงอิทธิพลชายแดนของมณฑลเจียงหนานเสียชีวิต!