แดนนิรมิตเทพ บทที่ 490
ทุกคนหายใจติดขัดอย่างกะทันหัน

เขาคือโจวเทียนวั่ง เป็นผู้ทรงอิทธิพลของตระกูลโจวที่สถานะรองจากตระกูลมู่หรงเท่านั้น เฉินโม่บอกว่าฆ่าก็ฆ่าทันที นับประสาอะไรกับพวกเขาเหล่านี้?

โดยเฉพาะคนที่ล่วงเกินเฉินโม่ตามโจวเทียนวั่ง ตอนนี้พวกเขาตกใจกลัวและสั่นไปทั้งตัว

สีหน้าของมู่หรงเค่ออึดอัดเล็กน้อย ความแข็งแกร่งของตระกูลโจวไม่ธรรมดา ถึงแม้ว่าเฉินโม่จะมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก แต่ถ้าเขาพุ่งเป้าไปที่คนที่ไม่ใช่คนของโลกฝึกบู๊ บอกฆ่าก็ฆ่าทันที เกรงว่าจะทำให้ทางการไม่พอใจ เว้นเสียแต่เฉินโม่จะไม่ได้อยู่ในหัวเซี่ย มิเช่นนั้นมันเป็นการยากที่เขาจะหลุดพ้นจากพันธนาการจากกฎหมายของหัวเซี่ย

ขณะที่มู่หรงเค่อคิดจะห้ามปราม ลุงสุ่ยที่อยู่ด้านข้างหยุดเขาไว้ ส่ายหน้าไปทางมู่หรงเค่อด้วยสีหน้าจริงจัง

ทันใดนั้นมู่หรงเค่อกลืนคำพูดที่เขากำลังจะพูดออกมา แล้วมองลุงสุ่ยด้วยความสงสัย

ลุงสุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ปรมาจารย์ ไม่อาจดูหมิ่นได้!”

โจวเทียนวั่งเป็นฝ่ายยั่วยุเฉินโม่ก่อน จากนั้นเฉินโม่ถึงได้ฆ่าเขาตาย แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ของหัวเซี่ยก็ยังไม่อาจเข้ามาแทรกแซงได้ โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับปรมาจารย์บู๊

และปรมาจารย์หนุ่มที่อายุสิบแปดปีอย่างเฉินโม่ ขอเพียงแค่ที่เฉินโม่ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อประเทศและประชาชน เจ้าหน้าที่ก็จะไม่ยั่วยุเขาง่าย ๆ กระทั่งพวกเขาจะคิดหาวิธีดึงเฉินโม่มาเป็นพวก ตัวอย่างเช่นหยางติ่งเทียนเทพสงครามแห่งยานจิง

ต้องรู้ว่าปรมาจารย์บู๊ที่ทรงพลัง ถ้ามารับใช้ประเทศชาติ จะมีความสำคัญพอ ๆ กับอาวุธนิวเคลียร์ ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงประเมินปรมาจารย์บู๊เป็นเหมือนอาวุธนิวเคลียร์ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์

ถ้าตอนนี้มู่หรงเค่อห้ามปรามเฉินโม่ มันเป็นเรื่องที่เกินความจำเป็น และอาจจะทำให้เฉินโม่ไม่พอใจด้วยซ้ำ

ถึงแม้ว่ามู่หรงเค่อจะไม่รู้จักกฎเหล่านั้นของโลกฝึกบู๊ แต่ในเมื่อลุงสุ่ยเป็นคนขวางเขาไว้ เขาก็จะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องพวกนี้อีก

หลังจากเฉินโม่ฆ่าโจวเทียนวั่งตาย เขาเหลือบมองกลุ่มคนดังของมณฑลเจียงหนานด้วยสายตาเย็นชา และสุดท้ายสายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่สองพี่น้องหยู่เหวินเฉิง

หยู่เหวินฟางเฟยตกใจจนหน้าขาวซีด เมื่อเธอเห็นเฉินโม่มองมา เธอรู้สึกหวาดกลัวและทรุดตัวอยู่บนพื้น เอามือปิดหน้าตนเองแล้วร้องไห้เสียงดัง คุณหนูที่ดื้อรั้นของตระกูลใหญ่ ถ้าชีวิตราบรื่นก็ไม่มีอะไร แต่เมื่อประสบปัญหาก็จะสติแตกได้ง่าย

สีหน้าของหยู่เหวินเฉิงเต็มไปด้วยความประหม่าเช่นกัน เขากลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว เขาประสานมือทั้งสองข้างแล้วคำนับไปทางเฉินโม่ “ไต้ซือ ผมหยู่เหวินเฉิงเด็กตระกูลหยู่เหวินล่วงเกินคุณโดยไม่ตั้งใจ ขอไต้ซือโปรดยกโทษให้ผมด้วย!”

เฉินโม่ไม่ตอบ มองเขาเงียบ ๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบ

หยู่เหวินเฉิงถูกเฉินโม่มองจนขนลุกขนพอง หลังของเขาเปียกไปด้วยเหงื่อเย็น สุดท้ายเขาก็กัดฟันและคุกเข่าลงบนพื้นแล้วก้มกราบ “ผู้น้อยหยู่เหวินเฉิงคุกเข่าขอร้องไต้ซือโปรดให้อภัยด้วย!”

เฉินโม่ถึงได้กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นไม่อาจละเว้น วันนี้ผมจะทำลายพลังบำเพ็ญของคุณ”

หลังจากพูดจบ เฉินโม่โบกมือเบา ๆ หยู่เหวินเฉิงรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่พุ่งเข้ามาที่ตันเถียน ทันใดนั้นตันเถียนของเขาก็แตกเป็นเสี่ยง ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดทรมานแทบตาย

“โอ๊ย!”

หยู่เหวินเฉิงจับท้องของตนเองเอาไว้ กลิ้งอยู่บนพื้น และกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“นายยอมจำนนไหม?” เฉินโม่ถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและไร้ความปรานี

หยู่เหวินเฉิงกัดฟัน และไม่กล้าที่จะไม่พอใจแม้แต่น้อย ทนความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ท้องของตนเอง และกล่าวว่า “ยอมจำนน!”

สุดท้ายสายตาของเฉินโม่มองไปที่หยูเจียหาว ทำให้หยูเจียหาวตกใจจนขาทั้งคู่สั่น แล้วกระแสอุ่นไหลลงมาจากขากางเกงลงบนพื้น

เขาตกใจจนไม่สามารถควบคุมปัสสาวะและอุจจาระได้!

ทุกคนรอบตัวปิดจมูก และสีหน้าเต็มไปด้วยความขยะแขยง และแยกตัวออกไปจากหยูเจียหาว

เฉินโม่ส่ายศีรษะ เขาขี้เกียจเกินกว่าจะถือสาคนแบบนี้

จากนั้น ดวงตาของเฉินโม่ก็จับจ้องไปที่มู่หรงเค่อ

มู่หรงเค่อโค้งคำนับอย่างรวดเร็วและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “มู่หรงเค่อในนามตระกูลมู่หรง ขอบคุณเฉินไต้ซือสำหรับบุญคุณที่ช่วยชีวิต! ตระกูลมู่หรงจะไม่มีวันลืมบุญคุณที่ยิ่งใหญ่นี้!”

เฉินโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่จำเป็น ผมช่วยคุณฆ่าคน คุณจ่ายค่าตอบแทนให้ผม พวกเราไม่มีอะไรติดค้างกัน!”

“โอนเงินหนึ่งร้อยล้านเข้าไปในบัญชีของผม ผมยังมีธุระต้องทำ ขอตัวก่อน”

มู่หรงเค่อโค้งคำนับและปฏิบัติต่อเขาด้วยความสุภาพเหมือนตนเองเป็นคนรุ่นหลัง และกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ครับ”