ตอนที่ 899 นํ้าเน่าไปหน่อย

Elixir Supplier

899 นํ้าเน่าไปหน่อย

 

หวังเย้าให้คําแนะนํากับเขา เขาปรับเปลี่ยนท่าการเคลื่อนไหวและการหายใจให้ถูกต้อง“เอาล่ะลองดูอีกครั้งสิ

 

เฉินโจวฝึกวิชาหมัดมวยของเขาอีกครั้ง เขาจดจําสิ่งที่หวังเย้าชี้แนะและปรับไปทีละขั้นทีละ

 

ตอน เขารู้สึกได้ว่ามันราบรื่นขึ้นและสบายขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก

 

“อืม เขานับว่ามีพรสวรรค์”หวังเย้าพูด

 

เขาชี้แนะเพียงครั้งเดียว อีกฝ่ายก็จับจุดได้แล้ว เห็นได้ว่า เฉินโจวมีพรสวรรค์อย่างมาก“ขอบคุณครับเชียนเชิง”

 

“พวกคุณไปทําธุระของตัวเองเถอะครับ ผมจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”

 

“ค่ะ”

 

หวังเข้าไปที่บ้านของซูเสี่ยวซวี เขากําลังจะไปเข้าเรียนเป็นเพื่อนเธอ

 

“เฮ้ย เขามาอีกแล้ว!” มีหลายคนในมหาวิทยาลัยที่จดจําหวังเย้าได้ขึ้นใจเพราะมีผู้ชายสองคนที่อึราดกางเกงตัวเองในตอนที่พวกเขาสารภาพรักกับเทพธิดาต่อหน้าหวังเย้า และพวกเขา

 

ก็ได้กลายเป็นคนดังของมหาวิทยาลัยไปในทันที

 

เหล่านักศึกษาเรียกมันว่า เหตุการณ์สารภาพรักจนอึราดกางเกง มันได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัยอยู่ช่วงหนึ่ง

 

“โอ้พระเจ้า คงไม่มีใครทําผิดซ้ำอีกใช่ไหม?”

 

ครั้งนี้ ไม่มีใครโง่พอที่จะหาเรื่องใส่ตัวอีก ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่คิดจะเขาไปสารภาพรักต่อหน้าหวังเย้า

 

หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แสงไฟข้างถนนส่องสว่าง

 

คืนนั้น พ่อแม่ของซูเสี่ยวซวีเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงขึ้นที่บ้านเพื่อต้อนรับหวังเย้าถึงยังไง

 

เขาก็กําลังจะกลายมาเป็นลูกเขยในอนาคตของพวกเขา

 

วันต่อมาเขาไปเข้าเรียนเป็นเพื่อนเธออีกครั้งครั้งนี้หวังเย้าเข้าไปในห้องสมุดที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเยียนจิงภายในนั้นมีหนังสืออยู่มากมายเขามองหาหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์

 

แผนจีนและก็เจอหนังสือที่ตัวเองต้องการแม้แต่หนังสือเก่าๆก็ยังมี

 

“ของดี!”

 

หนังสือเหล่านี้ไม่มีขายที่ด้านนอก

 

เขาจมจ่อมอยู่กับเนื้อหาจนลืมเวลา ซูเสี่ยวซวีจึงมาตามหาเขา

 

“เขียนเชิงคะ?”

 

“โอ้ เลิกเรียนแล้วเหรอ?”

 

ซูเสี่ยวซวีเข้าเรียนวิชาหลัก เพราะเป็นห้องเรียนเล็กๆ มันจึงไม่เหมาะที่เขาจะเข้าไปเรียนด้วย“เชียนเชิงอ่านหนังสืออะไรอยู่เหรอคะ?” เธอถาม“ดูเชียนเชิงจะชอบมาก”

 

“อ่อ มันเป็นตําราแพทย์น่ะครับ อยู่ในช่วงสมัยสาธารณรัฐจีน(ค.ศ. 1912-1949) มันหายากมากด้วย” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม

 

มีไม่กี่อย่างที่สามารถดึงดูดความสนใจจากเขาได้ และตําราแพทย์ก็คือหนึ่งในนั้น “ไปกันเถอะค่ะเราไปกินข้าวกันดีกว่า”

 

“ครับ”

 

หลังจากมื้อเที่ยงและพักผ่อนครู่หนึ่ง ซูเสี่ยวซวีก็ยังมีเรียนวิชาหลักอีกหนึ่งวิชาหวังเย้าจึงกลับไปที่ห้องสมุดเพื่ออ่านตําราแพทย์ที่อ่านค้างไว้

 

ทั้งสองใช้เวลาสามวันหมดไปกับการเข้าเรียน,อ่านหนังสือ,และเดินเล่นด้วยกันมันเรียบง่ายและอ่อนหวาน

 

เต๋า

 

หลังจากวันที่สามหมดลง หวังเย้าก็จ่าต้องบอกลาซูเสี่ยวซวีและขึ้นเครื่องมุ่งหน้าไปยังเมือง

 

มีหลายเรื่องที่รอคอยให้เขากลับไปจัดการที่เหลียนชาน

 

ในหมู่บ้าน เจี๋ยจื้อจายดื่มยารสขมหมดไปหนึ่งถ้วย และถามขึ้นมาว่า “เชียนเชิงจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอ?”

 

หวังเย้าได้ทิ้งยาไว้ให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปปักกิ่ง มันมากพอสําหรับห้าวัน

 

“คงอีกไม่นาน” จงหลิวชวนตอบ

 

“นี่ ศิษย์พี่ ยาที่เชียนเชิงทิ้งไว้ให้พวกเราไม่เหมือนกับที่เราดื่มกันครั้งก่อนเลย”เจี๋ยจื้อจายพูด“หรือเขาจะเปลี่ยนสูตรยา?”

 

“เรื่องนั้นฉันไม่แน่ใจเหมือนกัน” จงหลิวชวนพูด เขาไม่รู้เรื่องยาเลย

 

เจี๋ยจื้อจายคิดถูก ครั้งนี้ หวังเย้าได้เปลี่ยนสูตรยา เขาเพิ่มต้นหลี่เฉาลงไปและยังเพิ่มปริมาณของชานจิงกับกุยหยวนที่ใส่ลงไปด้วย

 

“มันก็แปลกนะ สองสามวันมานี้ฉันรู้สึกมีแรงขึ้นเยอะเลย” เจี๋ยจื้อจายพูด

 

สองวันที่ผ่านมา เขารู้สึกเต็มไปด้วยพละกําลังและดูเหมือนมันจะไร้ขีดจํากัดมันไม่ใช่ว่าร่างกายของเขาในอดีตไม่แข็งแกร่งแต่การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นค่อนข้างกะทันหันเกินไป

 

“ฉันก็คิดเหมือนกัน” จงหลิวชวนพูด

 

“หรือจะเป็นเพราะยาที่เขียนเชิงให้พวกเรากิน?”

 

“ถึงยังไงมันก็ไม่เป็นอันตรายหรอก”จงหลิวชวนพูด

 

“ใช่ ไม่เป็นอันตราย”

 

เครื่องลงจอดที่เมืองเต๋าในตอนเย็นแทนที่จะรีบกลับหวังเย้าได้หาที่พักสําหรับคืนนี้และ

 

ตั้งใจที่จะกลับบ้านในวันพรุ่งนี้

 

เขาเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง

 

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ มันก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว

 

ในฤดูหนาว ท้องฟ้ามักมืดเร็ว ทิวทัศน์ในเมืองเต๋าดูงดงาม ถึงมันจะไม่เจริญและคึกคักเท่ากับปักกิ่งแต่ก็มีเสน่ห์อยู่ในตัวมันเอง

 

หวังเย้าออกจากโรงแรมและเดินไปตามถนนตัวโรงแรมตั้งอยู่ไม่ไกลจากทะเลหลังจากเดิน

 

ไปได้สักพัก เขาก็มาถึงที่ชายหาด

 

ในฤดูหนาว ลมทะเลค่อนข้างแรงเมื่อพัดโดนตัวจะให้ความรู้สึกหนาวเย็นอย่างมากในเวลานี้

 

ไม่มีใครอยู่ที่ชายหาดเพราะมันไม่ใช่ช่วงฤดูร้อน

 

เขายืนนิ่งอยู่ที่ชายหาดมองดูท้องทะเลในยามค่ําคืน

 

มีเสียงดังเอี๊ยดรถคันหนึ่งจอดที่บริเวณข้างชายหาด

 

“ปล่อยฉัน!”

 

“เสี่ยวเฟย ฟังฉันก่อน”

 

“ถ้าไม่ปล่อย ฉันจะร้องให้คนช่วย!”

 

“เสี่ยวเฟย ผมรักคุณจริงๆนะ”

 

หม?

 

หวังเย้ามองไปทางรถที่จอดอยู่ไม่ไกล

 

เสียงเปิดประตูรถดังปังหญิงสาวในชุดหรูลงจากรถและวิ่งออกไป ชายคนหนึ่งวิ่งตามเธอไปไม่นานเขาก็ตามเธอทัน

 

“ปล่อยฉัน! ถ้ายังทําแบบนี้ ฉันจะโทรเรียกตํารวจ!”

 

พวกเขาหลังทะเลาะกัน

 

เพราะเสียงดังจากพวกเขาทําให้หวังเย้าหมดอารมณ์ที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปเขาหมุนตัวเตรียมกลับ

โรงแรม

 

“ปล่อยฉัน!”

 

ทั้งสองฉุกกระชากลากถูกันไปมา

 

ชิง! เกิดแสงวาบขึ้นมาอยู่ๆชายคนนั้นก็ถือมีดเอาไว้ในมือ

 

“คุณคิดจะทําอะไร?”

 

“เสี่ยวเฟย ผมรักคุณมากนะ คุณจะทิ้งผมไปไม่ได้ คุณทิ้งผมไปไม่ได้เด็ดขาด”นี่มันเรื่องอะไรกัน?ทำไมเขาต้องถือมีดไว้ด้วย?เมื่อเห็นแบบนี้หวังเย้าก็หยุดเดินและมองดูชายที่อยู่ในอาการบ้าคลั่ง ชายคนนั้นถือมีดด้วยมือที่สั่นไหว

 

“คุณ! คุณมันบ้าไปแล้ว!” หญิงสาวตื่นตระหนกเมื่อเห็นว่าสถานการณ์พลิกผันมาถึงจุดนี้เธอต้องการเลิกรากับชายหนุ่มในคืนนี้เธอไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยึดติดกับเธอเธอทนไม่ไหวจนใช้น้ำเสียงดุดันกับเขาเธอไม่คิดว่าเขาจะอ่อนแอและรับเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจใดๆไม่ได้เลยในตอนที่เธอนั่งอยู่ภายในตัวรถเธอก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเธอจึงรีบลงจากรถและคิดจะหนีไปจากเขาให้ได้เธอไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

 

กริ๊ง! กริ๊ง! มือถือของหวังเย้าส่งเสียงดังขึ้น

 

“เสี่ยวซวี”

 

“เชียนเชิงอยู่ที่ไหนเหรอคะ?”

 

“ผมอยู่ที่เมืองเต๋าผมเพิ่งกินข้าวเสร็จแล้วก็ออกมาเดินเล่นข้างนอกเธอล่?ถึงบ้านรึยัง?”

 

“ฉันอยู่ที่บ้านค่ะเพิ่งกินข้าวเย็นเสร็จ”

 

ในขณะที่ทั้งสองคุยโทรศัพท์กันอยู่นั้นแววตาของชายคนนั้นก็ดูร้ายขึ้นเขาใกล้จะสูญเสียการ

 

ควบคุมตัวเองแล้ว

 

“เสี่ยวเฟย ถ้าผมไม่ได้ คนอื่นก็ต้องไม่ได้เหมือนกัน”

 

“นี่มันออกจะน้ำเน่าไปสักหน่อยนะ” หวังเย้าพูด

 

“เชียนเชิง มีใครอยู่แถวนั้นด้วยเหรอคะ?”

 

“อ่อ ผมอยู่ที่ชายหาดน่ะ” หวังเย้าพูด “มีคู่รักอยู่แถวนี้คู่หนึ่งดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ฝั่งผู้ชายดูเหมือนจะคลั่งและเขายังถือมีดเอาไว้ในมือด้วย”

 

“หา เชียนเชิงระวังตัวด้วยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูดอย่างกังวล

 

“ไม่เป็นอะไรหรอก” หวังเย้าพูด

 

หญิงสาวหน้าตางดงามมีใบหน้าซีดเผือดจากความกลัว ในเวลานี้ เธอไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับ

 

สถานการณ์นี้ยังไงดี เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ เธอก็รีบหมุนตัวออกวิ่ง

 

“อย่างหนีสิ!” ชายที่สูญเสียสติสัมปชัญญะวิ่งตามหลังเธอไป

 

หลังจากวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็สะดุดล้มเกิดเสียงดังตุบและเคร้ง มีดกระเด็นออกจากมือของเขาไปไกลหญิงสาวได้ยินเสียงก็มีอาการตระหนกตกใจเธอหันกลับไปมองแล้วก็รีบวิ่งออกไป“เสี่ยวเฟย!เสี่ยวเฟย!อย่าหนีนะ!”ชายที่สะดุดล้มลงพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นเพื่อวิ่งไล่

 

ตามเธอ ไม่นานเขาก็ล้มลงไปที่พื้นอีกครั้ง “เชียนเชิงไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?”ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ไม่เป็นไร จัดการปัญหาเรียบร้อยแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด

 

“อ๋อ ดีแล้วค่ะ”

 

เมื่อเห็นว่าหญิงสาววิ่งไปไกลแล้ว ชายที่ล้มอยู่ที่พื้นก็นอนลงและมองดูท้องฟ้าสายตาของเขาว่างเปล่าราวกับว่าจิตวิญญาณในร่างของเขาถูกสูบออกไปจนหมดแล้ว “มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก” หวังเย้ายิ้มและส่ายหน้า

 

ชายหนุ่มดูเหมือนจะเป็นคนลุ่มหลงงมงาย แต่การใช้มีดขู่คนอื่นก็ออกจะเกินไป

 

ความรักจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างยินดี เมล่อนที่ถูกเด็ดก่อนที่มันจะสุกมันไม่หวาน

 

หวังเย้ามองไปที่ชายหนุ่มที่นอนอยู่ที่พื้น เขาไม่ได้พูดอะไร และทําเพียงเดินผ่านอีกฝ่ายไป

 

เท่านั้น เขาเป็นคนแปลกหน้าที่ใช้มีดข่มขู่คนอื่นเพราะอารมณ์ที่อ่อนไหวของตนเองคนแบบนี้ไม่คุ้มค่าที่จะเข้าไปปลอบโยนเมื่อเขาเดินผ่านมีดที่ตกอยู่ที่พื้นเขาใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบมีดเล่ม

 

นั้น จนเกิดเสียงดังแกร๊ก

 

ชายคนนั้นนอนอยู่ที่พื้นเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะลุกขึ้นเขาดูไร้จิตวิญญาณเขามองไปรอบๆและเห็นมีดที่กระเด็นหลุดจากมือเขาไปเขาใช้ความคิดก่อนจะเดินไปทางมีดเล่มนั้นแล้วก้มลง

 

เพื่อเก็บมันขึ้นมาแต่แล้วเขาก็พบว่ามีดได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

 

อะไรกัน?

 

ชายหนุ่มตกตะลึง

 

ทําไมแค่ตกลงพื้นครั้งเดียวก็กลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ?หรือมันจะไม่ใช่เหล็ก?ทําไมถึงได้

 

แตกง่ายขนาดนี้? แล้วในที่สุดเขาก็ได้สติกลับมา