ในใจหลานเสวียนหมิงคิดว่า หากเขาชนะการเดิมพัน เขาก็จะใช้โอกาสนี้กำจัดตัวปัญหาแทนท่านอ๋อง กำจัดนางปีศาจซูจิ่นซีผู้นี้ หากเขาแพ้… ไม่ เขาจะแพ้ได้อย่างไร?
ทว่าเหตุใดในใจของหลานเสวียนหมิงจึงกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูกเช่นนี้?
หลานเยวี่ยหลี บุตรสาวของเขาถูกพิษหลังจากกลับมาจากจวนสกุลซู เดิมทีเรื่องนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเกี่ยวข้องกับจวนสกุลซูอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งซูจิ่นซียังเป็นผู้ชำนาญด้านพิษ เมื่อชำนาญด้านการถอนพิษก็ย่อมเป็นผู้ชำนาญด้านการวางยาพิษ เรื่องนี้ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับจวนสกุลซู ยังเกี่ยวข้องกับซูจิ่นซีอีกด้วย
ทว่าสตรีนางนี้เอาความมั่นใจมากมายเช่นนี้มาจากที่ใดกัน? กล้าเอาศีรษะของตนเองมาเป็นเดิมพันเชียวหรือ?
หลานเสวียนหมิงยิ่งดูยิ่งรู้สึกว่า ซูจิ่นซีมีบางสิ่งที่ทำให้คนไม่กล้าดูหมิ่นศักดิ์ศรีของนาง หลายต่อหลายครั้งที่เขาคิดว่าตนเองตาฝาดมองคนผิดไป ทว่าก็หลับตาปิดกั้นความคิดของตน เมื่อมองซูจิ่นซีอีกครั้งก็ยังรู้สึกว่านางหยิ่งในศักดิ์ศรีตนเอง
สิ่งที่ซูจิ่นซีกำลังทำอยู่คือสงครามจิตวิทยา นางจงใจจ้องไปที่ดวงตาของหลานเสวียนหมิงเป็นเวลานานอย่างแฝงนัย แววตาลึกซึ้งไม่อาจหยั่งรู้ได้ ความจริงเป็นอย่างไรเป็นเรื่องของภายภาคหน้า ชิงลงมือก่อนออกรบจึงจะเป็นกลยุทธ์ทางทหารที่ดีที่สุด
“ท่านอ๋องเล่า? เชิญท่านอ๋องมาเป็นพยานเถิด! ” ซูจิ่นซีกล่าวด้วยเสียงอันดัง
เมื่อสิ้นเสียงคำพูดของซูจิ่นซี หลานเสวียนหมิงและคนอื่นๆ ก็หันไปทางซ้ายและโค้งคำนับ “ท่านอ๋อง! ”
ซูจิ่นซีหันศีรษะไป เห็นเยี่ยโยวเหยาในชุดสีดำขลับ เสื้อคลุมปกกำมะหยี่สีขาว กำลังเดินถือเตาไฟขนาดเล็กเข้ามา
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้กลับจวนโยวอ๋อง ทว่าพักผ่อนอย่างเงียบสงบในห้องหนึ่งภายในจวนสกุลหลาน ซูจิ่นซีกำลังก่อเรื่องเช่นนี้ ลูกน้องของเขาย่อมต้องนำข่าวไปรายงานแน่นอน กลับไม่คิดว่าเมื่อเขาเข้ามา ก็ได้ยินซูจิ่นซีพูดว่าจะเดิมพันด้วยศีรษะของตนเองพอดี
สตรีนางนี้ ท้าทายกับความตายอีกแล้ว
ดวงตาดำขลับทั้งคู่ กอปรกับการแสดงออกบนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยา ทำให้ซูจิ่นซีมองไม่ออกว่าในใจของเขากำลังคิดอันใด
ทว่าเมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยา ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็นึกถึงเรื่องภายในห้องก่อนหน้านี้ ตอนที่ระบบถอนพิษถูกเยี่ยโยวเหยาก่อกวน เหตุการณ์นั้น นางได้แสดงท่าทีดุดันต่อเขา
แม้การกระทำนั้นนางจะทำไปโดยไม่รู้ตัว ทว่าเมื่อเรื่องผ่านไปแล้วกลับมาคิดอีกครั้ง ภายในใจของนางกลับปรากฏความรู้สึกผิดและหวาดกลัว
อย่างไรก็ตาม นางได้ทะเลาะวิวาทกับเยี่ยโยวเหยาไปแล้ว!!!
ซูจิ่นซีไม่คำนึงถึงความรู้สึกผิดและความหวาดกลัวอีกต่อไป นางนำความรู้สึกอ่อนแอเหล่านี้เก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ก่อนจะแสดงท่าทีหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีและมั่นใจในตนเอง
“ท่านอ๋องมาพอดี หม่อมฉันกับแม่ทัพหลานกำลังเดิมพันหาผู้ร้ายตัวจริงที่วางยาพิษแม่นางหลาน เชิญท่านอ๋องโปรดเป็นพยาน ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ท่านอ๋องโปรดตัดสินอย่างยุติธรรม ไม่ลำเอียง”
เมื่อพูดมาถึงประโยคสุดท้าย แววตาที่เต็มไปด้วยความดุดันของซูจิ่นซีก็มองไปทางหลานเสวียนหมิง
อย่างไรก็ตาม หลานเสวียนหมิงเป็นผู้ที่ต่อสู้ในสนามรบมาอย่างยาวนาน ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด สายตาของซูจิ่นซีจึงทำให้เขาตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
“แม่ทัพหลาน เจ้าตกใจอันใด? ” ซูจิ่นซีพูดจาสร้างความอับอายแก่หลานเสวียนหมิงทันที
หลานเสวียนหมิงคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะปากคอเราะร้ายเช่นนี้ นางใช้โอกาสนี้ตบหน้าเขาต่อหน้าผู้คนมากมาย ทั้งยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ด้านหลังจำนวนมาก ทำให้เขารู้สึกละอายใจอยู่เจ็ดส่วน ทว่ากลับถูกอารมณ์โกรธสามส่วนในตอนนั้นกดดันไม่ให้แสดงอาการออกมา
หลานเสวียนหมิงกระชากเสียงเย็นชา ยกสองมือไพล่หลัง จงใจแสดงความดูถูกเหยียดหยาม ยืนหันหลังพูดโดยไม่มองซูจิ่นซีว่า “แม่ทัพอย่างข้าจะสะดุ้งตกใจอันใด? เพียงสภาพอากาศที่หนาวเย็นทำให้รู้สึกหนาวอยู่บ้าง ท่านคิดว่าแม่ทัพอย่างข้าจะหวาดกลัวสตรีตัวเล็กๆ อย่างท่านหรือ? ”
ใบหน้าของซูจิ่นซียังคงมีท่าทียากคาดเดา นางยกยิ้มอย่างลุ่มลึก
“เช่นนั้นพวกเราก็มาเริ่มกันเถิด! ” ซูจิ่นซีพูดพลางหันไปกล่าวกับบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งที่ปรนนิบัติหลานเยวี่ยหลีว่า “เมื่อคืนวาน ตอนที่แม่นางหลานกลับมาจากจวนสกุลซู นางอยู่กับใคร? ผู้ใดเห็นนางตอนกลับมาถึงจวน? ใครคอยดูแล? ใครปรนนิบัตินาง? หลังจากแม่นางหลานออกมาจากจวนซู ทุกคนที่พบหน้านาง ให้ลุกขึ้นยืน”
ทันใดนั้น บ่าวรับใช้เจ็ดแปดคนก็ลุกขึ้นยืนอย่างทุกลักทุเล
“พูดออกมา เมื่อคืนวานพวกเจ้าทำอันใดบ้าง? ”
บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งและสาวใช้อีกสองคนยืนขึ้น สาวใช้นางหนึ่งที่มีหน้าตางดงามทั้งยังเฉลียวฉลาดเอ่ยปากพูดว่า “เมื่อคืนวานเป็นบ่าวกับเซี่ยตง ยังมีซุ้นจื่อที่ไปจวนสกุลซูพร้อมกับคุณหนูเพคะ ซุ้นจื่อขับรถม้า บ่าวกับเซี่ยตงคอยดูแลคุณหนูอยู่ด้านข้าง หลังออกมาจากจวนสกุลซู ท่าทางคุณหนูดูมีความสุขยิ่งนัก จากนั้นพวกเราก็กลับจวนพร้อมคุณหนู เมื่อกลับมาถึงจวนคุณหนูไม่ได้เข้านอนในทันที คุณหนูบอกว่าต้องการนั่งในห้องคนเดียวสักพัก ไม่ให้พวกเราเข้าไปรบกวน บ่าวกับเซี่ยตงจึงกลับไปนอนที่ห้องเพคะ”
“เมื่อคืนวานพวกเจ้าอยู่ด้วยกันตลอดใช่หรือไม่? ” ซูจิ่นซีถามสาวใช้เซี่ยตง
“เพคะพระชายา ที่ชิวเยวี่ยพูดมาเป็นความจริงเพคะ พวกบ่าวไม่กล้าพูดโกหกแม้แต่คำเดียว”
“เช่นนั้นเจ้าเล่า? ”
ซูจิ่นซีถามบ่าวรับใช้ที่ขับม้าให้หลานเยวี่ยหลีเมื่อคืนวาน
“ทูลพระชายา เมื่อคืนวาน หลังกลับจากจวนสกุลซู บ่าวก็ไปยังเรือนด้านหลังเพื่อเก็บรถม้า ผูกม้า ให้อาหารม้า จากนั้นก็กลับไปนอนที่ห้องของบ่าว จนกระทั่งเช้าวันนี้เพิ่งตื่นขอรับ”
ซูจิ่นซีจับจุดสำคัญได้อย่างเฉียบแหลม พูดว่า “จนกระทั่งเช้าวันนี้เพิ่งตื่นหรือ? คุณหนูของพวกเจ้าถูกพิษ เรื่องราวใหญ่โตถึงเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่รู้เรื่อง? ”
“พระชายา บ่าวไม่กล้าพูดโกหกแม้แต่คำเดียว” บ่าวรับใช้ผู้นั้นพูดอย่างร้อนรน “ปกติบ่าวเป็นคนหลับลึก อีกทั้งเรือนของคุณหนูอยู่ค่อนข้างไกลจากเรือนของบ่าว บ่าวจึงไม่รู้สึกตัวเลยขอรับ”
ซูจิ่นซีราวกับกำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่าง
ทันใดนั้น หลานเสวียนหมิงก็ตะคอกเสียงดังอย่างดูถูกเหยียดหยามว่า “เพียงบ่าวรับใช้คนหนึ่ง ถามคำถามเหล่านี้มีประโยชน์อันใด? เมื่อคืนวานตอนที่เยวี่ยหลีถูกพิษ ข้าได้ออกคำสั่งให้คนในจวนอย่าได้ตื่นตระหนก หากบ่าวผู้หนึ่งไม่รู้เรื่องก็เป็นเรื่องปกติ”
ซูจิ่นซียิ้มเยาะเย้ยเย็นชาโดยไม่สนใจการดูถูกเหยียดหยามของหลานเสวียนหมิง นางไม่สนใจพูดตอบโต้เขา ทั้งยังถามคนอื่นๆ ต่อ
“บ่าวเป็นคนปรนนิบัติคุณหนูอยู่ในห้อง เมื่อคืนวานนี้ หลังจากคุณหนูกลับมาแล้ว ก็สั่งให้บ่าว เซี่ยตง และชิวเยวี่ยออกไปด้วยกัน บ่าว เซี่ยตง และชิวเยวี่ย ทั้งหมดต่างกลับไปที่ห้องนอนเพคะ”
……
“บ่าวเป็นแม่นมที่ปรนนิบัติคุณหนู เมื่อคืนวานคุณหนูนอนดึกสักหน่อย บ่าวตื่นไปถ่ายเบาตอนกลางคืน เห็นว่าคุณหนูยังไม่นอน จึงเข้าไปเตือนคุณหนูสองสามคำ ตอนนั้นคุณหนูก็กลับเข้าไปนอนแล้วเพคะ”
“บ่าวเป็นบ่าวรับใช้ขั้นสามที่ปรนนิบัติคุณหนูในเรือน เมื่อคืนวานหลังจากคุณหนูกลับมาก็มองเห็นอยู่ไกลๆ พระชายา เรื่องคุณหนูได้รับพิษไม่เกี่ยวข้องกับบ่าวนะเพคะ”
“บ่าวก็เช่นกันเพคะ พวกเราเป็นบ่าวรับใช้ขั้นสาม ไม่มีทางเข้าใกล้ชิดคุณหนู แม้มองเห็นอยู่ไกลๆ ก็ยังต้องหลบเลี่ยง เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะมีโอกาสวางยาพิษคุณหนูเพคะ”
บ่าวรับใช้ทั้งแปดคนพูดต่อเนื่องจนจบ ซูจิ่นซียังไม่พบผู้ต้องสงสัยที่อาจวางยาพิษหลานเยวี่ยหลีมากที่สุด
หลานเสวียนหมิงพูดอย่างเหยียดหยาม “เป็นเช่นไร? พระชายา ท่านถามได้ความอันใดแล้วหรือไม่? พวกเขาไม่กี่คนนี้ ผู้ใดเหมือนคนที่ลงมือวางยาพิษ? ผู้ใดเหมือนฆาตกร ท่านต้องดูอย่างละเอียด และต้องซักถามอย่างรอบคอบนะพ่ะย่ะค่ะ! ”
ซูจิ่นซีทำราวกับหลานเสวียนหมิงเป็นอากาศธาตุ นางมองว่าปากของบุรุษร้ายกาจยิ่งกว่าสตรีเสียอีก ความจริงนี้ไม่ใช่เรื่องดีเสียเลย
หลังจากสิ้นเสียงคำพูดของหลานเสวียนหมิง สายตาดุดันเยือกเย็นของเยี่ยโยวเหยาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็มองมาทางเขา หลานเสวียนหมิงสามารถรับรู้ได้ในทันที จึงหุบปากเงียบกริบ
“เมื่อคืนวาน ผู้ใดที่พบว่าแม่นางหลานถูกพิษ? เหตุใดไม่ยืนขึ้น? ”
แปดคนที่ยืนขึ้นล้วนเป็นคนที่พบกับหลานเยวี่ยหลีเมื่อคืนวานนี้ ทว่าไม่มีผู้ใดที่พบหลานเยวี่ยหลีตอนถูกพิษ
เหตุใดเขาจึงไม่ยืนขึ้น?
ฆาตกรที่วางยาพิษคือผู้ใดกันแน่?