บทที่ 136 ไปทำงานนอกสถานท

อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า)

เห็นหลินจือไม่พูดเลย นานิรีบจับหน้าเธอแล้วพูด:“เธอคงไม่ได้สงสารเทาเท่หรอกใช่ไหม?”

ไม่รอให้หลินจือพูดอะไร นานิก็เตือนเธออย่างจริงจังไปอีกว่า:“ฉันบอกให้นะ เธออย่าใจอ่อนถอนฟ้องพินอินเชียวล่ะ แบบนั้นก็จะเป็นดั่งที่พวกวีนาหวัง!”

“อีกอย่าง พินอินยัยแพทศยานั่น ก็สมควรจะได้รับบทลงโทษ!”

หลินจือได้สติคืนมา ส่ายหน้าเบาๆพูดว่า:“ฉันไม่ถอนฟ้องอยู่แล้ว”

“ฉันแค่คิดไม่ถึงเลยว่า ครั้งนี้เทาเท่จะไม่ยอมแม่เขากับพินอิน”หลินจือละสายตาลงไปแล้วหัวเราะอย่างดูถูก“แม่เขาเอาความเป็นความตายมาทะเลาะกับเขาเชียว เขาก็ยังไม่แทรกแซง และยังไม่จัดการกับฉันให้ฉันถอนฟ้อง”

หากเป็นเมื่อก่อนเทาเท่ไม่เคยยืนข้างเธอเลยซึ่งเป็นปมสำหรับเธอมาก หลินจือคิดว่าเทาเท่กับวีนาและพินอินเป็นคนในครอบครัวกันอยู่แล้ว เขาก็ต้องยืนฝั่งวีนากับพินอิน

นานิส่งเสียงฮึดฮัด:“ถ้าเขากล้าช่วยคนชั่ว ฉันก็จะใช้แอคหลุมของฉันแฉเรื่องชั่วๆของพวกเขาออกมา!”

หลินจือหัวเราะ ยื่นกาแฟแก้วหนึ่งให้นานิแล้วถามว่า:“แม่เขาไม่เป็นไรใช่ไหม?”

หลินจือไม่ดูข่าวซุบซิบในเว็บพวกนี้เท่าไหร่นัก ดังนั้นเธอเลยไม่รู้ว่าเรื่องที่วีนาฆ่าตัวตายเป็นอย่างไร

นานิจิบกาแฟ ถอนหายใจอย่างสบายใจ:“คนดีมักอายุสั้นแต่คนชั่วกลับอายุยาวเป็นพันปี คนอย่างแม่เขาจะเป็นอะไรไปได้”

“ฉันว่าฆ่าตัวตายก็แค่ทำๆไป คนแบบนี้รักษาชีวิตสุดๆ พวกเขายังทรมานคนอื่นไม่พอ จะทำใจไปจากโลกใบนี้ได้ไงกัน!”

นานิปากร้ายมาตลอด ตอนนี้ก็ยิ่งไม่เกรงใจ

หลินจือไม่พูดอะไรอีก ได้แต่ก้มหน้าดื่มกาแฟ

เธอยอมรับ ตอนที่ได้ยินว่าวีนาฆ่าตัวตาย เธอก็หวั่นไหวเล็กน้อย

เธอเป็นคนจิตใจดีและใจอ่อนมาเสมอ คิดว่าไม่งั้นก็ช่างมันเถอะ ไม่ฟ้องพินอินแล้ว ทำไมต้องทำให้ครอบครัวคนอื่นกลายเป็นศัตรูกันด้วย สุดท้ายเธอก็ไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอ?

แต่ต่อมาสติก็เอาชนะความใจอ่อน ยืนหยัดให้พินอินได้รับโทษต่อไป

ถ้าเธอไม่เข้มแข็ง พินอินก็จะคิดว่าเธออ่อนแอน่ารังแก ไม่แน่อาจจะเล่นงานเธอหนักขึ้นก็เป็นได้

นานิดื่มกาแฟแล้วพูด:“เธอรู้เรื่องที่ซูซียกเลิกสัญญากับฟอเรนากรุ๊ป แล้วก่อตั้งบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์เองแล้วใช่ไหม?”

เรื่องนี้หลินจือกลับรู้ดี เพราะว่าไปที่ไหนก็มีแต่คนพูดถึง

หลายวันก่อนหลังจากซูซีถูกข่าวอื้อฉาวว่าสร้างกระแสรักกับเทาเท่ ก็ประกาศว่ายกเลิกสัญญากับฟอเรนากรุ๊ป ขณะเดียวกันก็ประกาศว่าจะก่อตั้งบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ของตัวเอง เหมือนจะเรียกว่าบริษัทอุตสาหกรรมภาพยนตร์ยาโอจิอะไรนั่น

ซูซีกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก ยังไงเบื้องหลังเธอก็ยังมีเงินทุนที่แข็งแกร่งของเบลซสนับสนุนอยู่

เทียบกับเป็นดาราต่อไปแล้วโดนด่า สู้เปลี่ยนไปทำเบื้องหลังดีกว่า

นานิพูดอย่างดูถูกเหยียดหยาม:“ฉันได้ยินว่าช่วงนี้เธอดึงคนไปทุกที่ ผู้กำกับนักเขียนบทศิลปินเป็นต้น ดึงคนไปส่วนหนึ่ง บริษัทที่ผู้นำไร้ยางอายแบบนี้ อาจจะกลายเป็นก้อนเนื้อร้ายของอุตสาหกรรมได้”

หลินจือพยักหน้าเห็นด้วย:“ผู้นำไม่ดีผู้ตามก็คงจะดีไม่ได้ จะไปได้ด้วยดีแค่ไหนเชียว”

ซูซีวิเคราะห์:“ครั้งนี้หนังสือเล่มใหม่ของจอร์แดนนั้น ได้ยินว่าเธอก็อยากซื้อลิขสิทธิ์ จะต้องให้นักเขียนบทร่วมแข่งขันทดลองแบบร่างแน่”

หลินจือขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไม ได้ยินว่าบริษัทของซูซีก็เข้าร่วมแข่งขันทดลองแบบร่าง เธอก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี

แต่ก็พูดไม่ออกว่าเป็นลางสังหรณ์ไม่ดีอะไร เธอได้แต่ดื่มกาแฟไปไม่กี่คำ จากนั้นระงับความไม่สบายใจเอาไว้

เพราะว่าเป็นการทดลองแบบร่าง ดังนั้นจอร์แดนจึงเลือกส่วนที่พล็อตขัดแย้งและซับซ้อนมากที่สุดของหนังสือมา ส่งให้บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ใหญ่ๆแต่ละแห่ง ให้นักเขียนบทที่พวกเขาจ้างทำการปรับส่วนนี้

หลินจือใช้เวลาแค่หนึ่งวันก็แก้เสร็จ จากนั้นเธอจึงส่งให้เจเทาวน์กับเทาเท่ทางอีเมล

เจเทาวน์ดูเสร็จก็โทรหาเธอเป็นอย่างแรก น้ำเสียงนั้นชื่นชม:“เยี่ยมมาก ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินของเนื้อเรื่องหรือว่าภาษาของตัวละครต่างยอดเยี่ยมหมด ผมกล้ารับประกันเลย ต้องผ่านแน่!”

หลินจือถูกชมก็เขินอาย:“ขอบคุณ”

เทาเท่ได้แต่ตอบวีแชทเธอไปว่า:“ดีมาก”

หลินจือตอบกลับอย่างเกรงใจ:“ขอบคุณค่ะ”

และตอนนี้ทั้งสองก็ไม่พูดอะไรกันอีก

สองวันถัดมา หลินจือได้รับสายของควีน บอกว่าจอร์แดนเลือกสองสามบริษัทจากต้นฉบับแล้ว แจ้งทุกคนว่าไปเปกก้าแล้วค่อยทำการสัมภาษณ์ครั้งสุดท้าย ดังนั้นหลินจือต้องไปเปกก้ากับเทาเท่

หลินจือได้ยินก็ไม่ต้องคิดเลยว่าปวดหัวแค่ไหน ไปทำงานนอกสถานที่กับเทาเท่ นี่ไม่ต่างอะไรกับฆ่าเธอเลย

ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเทาเท่อึดอัดสุดๆ ทั้งสองคนไปทำงานต่างจังหวัดด้วยกันแบบ ไม่อาจจินตนาการภาพได้เลย ถึงตอนนั้น ก็อึดอัดจนเหยียบเครื่องบินได้เลย

เธอถามควีนอย่างลำบากใจ:“ทำไมไม่ใช่คุณที่ไปล่ะ?”

ควีนหัวเราะ:“คุณอย่ามองฉันสูงไปขนาดนั้นเลย ฉันไม่มีความสามารถในการต่อรองที่จะเอาโครงการใหญ่นี้มาได้ ต้องเป็นประธานเทาเท่ออกโรงเองสิ”

หลินจือได้แต่ตกลง:“โอเค”

เธอถามอย่างไม่เต็มใจอีกครั้ง:“เดินทางเมื่อไหร่?”

ควีนได้ยินน้ำเสียงเธอก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุข:“ที่จริงตอนนี้ประธานเทาเท่เปลี่ยนไปเยอะมาก ไม่ต้องกังวล”

หลินจือคิดในใจ เธอไม่ได้กังวลและกลัว เธอแค่อึดอัด

ถ้าเทาเท่ไม่ได้พูดจาหยาบคายรักเธออะไรที่โกดังรกๆนั่น เธอยังเผชิญหน้ากับเขาได้อย่างสงบนิ่ง

ควีนแจ้งเธออีกครั้ง:“ประธานเทาเท่กำหนดว่าบ่ายวันนี้บินไปเปกก้า พอถึงแล้วพักผ่อนเล็กน้อย พรุ่งนี้เช้าไปพบจอร์แดน先生”

“คุณเก็บกระเป๋าเดินทางก่อน เดี๋ยวจะมีคนขับรถรับคุณไปส่งที่สนามบิน”

“โอเค”หลินจือวางสายแล้วเริ่มเก็บของ

สี่สิบนาทีต่อมาเธอนั่งรถที่เทาเท่จัดการให้มาถึงสนามบิน เทาเท่ยังไม่ปรากฏตัว และไม่ได้ติดต่อเธอ

ในใจหลินจืออธิษฐานเงียบๆ ทางที่ดีขอให้เทาเท่มีธุระต้องไปช้า เธอบินไปก่อนเอง แบบนี้ก็ไม่ต้องไปกับเขาแล้ว

อย่างไรก็ตาม หลังจากเธอเช็กอินเสร็จแล้วมาถึงห้องรับรองวีไอพี พอมองไปก็เห็นผู้ชายด้านในทันที

เทาเท่สวมสูทสีดำ ยืนคุยโทรศัพท์ตรงนั้นด้วยรูปร่างที่ดูดี

ความหวังทั้งหมดของหลินจือก็ถูกทำลายลง ได้แต่ลากกระเป๋าเดินทางฝืนเดินเข้าไป

เห็นเธอมา เทาเท่เหลือบมองเธอแล้วคุยโทรศัพท์ต่อ

แน่นอนว่าหลินจือไม่เลือกที่จะนั่งข้างเทาเท่ แต่เลือกที่นั่งที่อยู่ไกลเขาที่สุด

ใครจะไปรู้ว่า เธอเพิ่งลงแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลา ตรงหน้าก็มีเงามืดๆผ่าน

เธอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเทาเท่นั่งลงที่โซฟาข้างเธออย่างไม่เกรงใจ

หลินจือ:“……”

เธอฝืนยิ้มออกไปทักทายเขา:“ประธานเทาเท่”

“อือ”เทาเท่ตอบกลับนิ่งๆ

หลินจือเพิ่งโล่งอก ก็ได้ยินเขาพูดอีก:“มานั่งซะไกลแบบนี้ เห็นผมเป็นภัยพิบัติใหญ่หลวงอะไรเหรอ?”

หลินจือพยายามรักษารอยยิ้ม:“แน่นอนว่าไม่ใช่ ฉันแค่ไม่อยากรบกวนคุณคุยโทรศัพท์”

เทาเท่ส่งเสียงเหอะๆ:“พูดเรื่องเหลวไหลได้ดีเชียวนี่”

หลินจือ:“……”

เขาต้องแฉด้วยเหรอไง?

ต่างฝ่ายพยายามรักษาความสัมพันธ์ให้ดีต่อกันไม่ได้เหรอไง?