เพราะว่าประโยคนี้ของเทาเท่ดูเป็นชายแท้แมนทั้งแท่ง หลินจือก้มหน้าดูโทรศัพท์และไม่อยากสนเขาอีก
ตอนนี้เอง มีเสียงส้นสูงดังชัดขึ้นมา พร้อมกับกลิ่นน้ำหอมที่น่าหลงใหล ซูซีเดินเข้าไปในห้องรับรองวีไอพีอย่างสวยงาม
หลินจือเงยหน้ามองซูซี ดูตะลึงเล็กน้อย
พอมองคนนั้นที่ซูซีพามาด้วย ก็เป็นเนมาที่เธอเคยสัมผัสด้วยอยู่หลายครั้ง
หลินจือก็ประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ ซูซีคงไม่ได้ไปเข้าร่วมการสัมภาษณ์ของจอร์แดนที่เปกก้าด้วยหรอกนะ?และยังพาเนมามาอีก?
เมื่อก่อนเนมาเป็นผู้กำกับมาตลอด แต่ทุกคนก็รู้ว่า ผู้กำกับหลายคนก็เป็นนักเขียนบทที่เก่งได้
ดังนั้น เนมาคงไม่ใช่นักเขียนบทที่ครั้งนี้ซูซีพาไปหรอกนะ?
หลินจือยังไม่ได้สติคืนมา เนมาก็เข้าไปยิ้มทักทายเทาเท่:“ประธานเทาเท่ สวัสดีครับ”
“ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”เนมาพูดแบบนี้ไปก็ยื่นนามบัตรให้เทาเท่ไปด้วย“ขอบคุณสำหรับอิทธิพลของประธานเทาเท่ ตอนนี้ผมไม่เป็นผู้กำกับแล้ว เปลี่ยนเป็นนักเขียนบทแล้วครับ ที่นามบัตรใหม่ของผม”
คำพูดประโยคนี้ของเนมาไม่น่าฟังเลย ขอบคุณสำหรับอิทธิพลของเทาเท่อะไรกัน เขาไม่เป็นผู้กำกับแล้ว?
นี่ไม่เท่ากับว่ากำลังแอบบ่นเหรอว่าตอนนั้นเทาเท่แบนเขากับผู้ช่วยผู้กำกับคนนั้น?
แต่ตอนนั้นเนมากับผู้ช่วยผู้กำกับคนนั้นถูกแบน นั่นเพราะพวกเขาไร้คุณธรรมเองไม่ใช่เหรอ?
ทำไมตอนนี้มาโทษเทาเท่ซะล่ะ?
นี่ช่างไร้ยางอายเสียจริง
เวลานี้ หลินจือรู้สึกว่าตัวเองจะสูญเสียการจัดการการแสดงออกของตัวเองไป เธอจะต้องขยะแขยงมากแน่ๆ
“ยินดีด้วย”เทาเท่กลับดูนิ่ง และยังพูดยินดีจากนั้นค่อยๆรับนามบัตรของเนมามาอีก
ไม่มีใครรู้ว่า ในแววตาที่เขาละลงไปมองนามบัตรนั้น ก็มีความเยือกเย็นแวบเข้ามาอย่างไม่ได้สังเกตเห็นง่ายๆ
เนมาก็หัวเราะร่าจะยื่นนามบัตรไปให้หลินจือ เทาเท่ชูมือขึ้นมาห้าม:“ไม่ต้องให้นามบัตรเธอ”
เนมาไม่ค่อยเข้าใจ เทาเท่จึงยกมุมปากขึ้นมาอย่างเย็นชา:“ผมกลัวจะสกปรกไปถึงมือเธอได้”
ใบหน้าเนมาก็ดูแย่สุดๆ อัดอั้นไว้สักพักก็ยังไม่สามารถตอบกลับได้สักคำเดียว
ซูซีที่อยู่ข้างๆก็โกรธตัวสั่น ตอนนี้เนมาเป็นนักเขียนบทภายใต้บริษัทเธอ เทาเท่เยาะเย้ยเนมาแบบนี้ เท่ากับตบหน้าเจ้านายอย่างเธอแรงๆ!
และก็ เทาเท่พูดอีกว่ากลัวจะสกปรกไปถึงมือของหลินจือได้ แบบนี้เป็นการเลือกปฏิบัติปกป้องหลินจืออย่างชัดเจน และยังเป็นการบาดลึกในใจของซูซีอีก
เทาเท่เคยไม่แยแสหลินจือ หลินจือมีเสน่ห์มาจากไหน ถึงทำให้เทาเท่ทำให้เธอได้ทุกอย่างโดยไม่แคร์อะไร!
ซูซีกัดฟันอยู่ในใจ
หลินจือก็พูดไม่ออกเล็กน้อย เธอคิดไม่ถึงว่าเทาเท่จะหยาบคายง่ายๆแบบนี้
ตอนแรกเทาเท่รับนามบัตรของเนมามา เธอยังคิดว่าเทาเท่ตั้งใจจะรักษาความเป็นมิตรที่ใบหน้ากับพวกเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะไร้เดียงสาไป เพราะเขากำลังรอประโยคนั้นในตอนท้าย
เทาเท่สร้างความเจ็บใจให้เนมาเสร็จ ก็พูดกับหลินจือด้วยสีหน้าเหมือนเดิม:“ไปกินอะไรกับผมหน่อยสิ”
จากนั้นลุกขึ้นแล้วก้าวเท้ายาวๆออกไป หลินจือเข็นกระเป๋าเดินทางตัวเองตามไปติดๆอย่างงงงวย
เทียบกับอยู่กับซูซีและเนมาแล้ว เธอขออยู่กับเทาเท่ดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกอึดอัดขนาดนั้น
แต่ว่า เขาพูดดีๆไม่ได้เหรอ?
ไปกินอะไรกับเขาหน่อยอะไรนั่น?พูดอย่างกับพวกเธอสนิทกันมาก พวกเขาก็แค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้นแหละ
ทั้งสองออกไปจากห้องรับรอง หลินจือถามเขาอย่างไม่เข้าใจ:“นี่คุณจะทานข้าวเที่ยงหรือข้าวเย็น?”
เทาเท่เหลือบมองเธอ แต่ไม่พูดอะไร หันหน้าเข็นกระเป๋าเดินทางเดินไปข้างหน้าต่อ
หลินจือกลับยืนไม่ขยับ เพราะว่าข้อความจากสายตาเขาคู่นั้น กำลังเย้ยหยันว่าเธอโง่
ชัดเจนมากว่า เขาแค่หาข้ออ้างออกไปจากห้องรับรอง
หลินจือโกรธจนกัดฟัน แต่สุดท้ายก็ได้แต่ก้าวตามไป
ทั้งสองนั่งอยู่ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ต่างสั่งกาแฟคนละแก้ว
เทาเท่ดื่มไปคำหนึ่งแล้วพูด:“แย่กว่าที่คุณทำเยอะเลย”
หลินจือปวดหัวเล็กน้อย เขานั่งอยู่ในร้านกาแฟของพวกเขา พอเข้ามาก็วิจารณ์ว่ากาแฟที่พวกเขาทำน่ะไม่อร่อย ใช้ได้เหรอ?
แต่เธอก็ยังขอบคุณเขาไปอย่างมีมารยาท และหยิบโน้ตบุ๊กออกมาทำงาน
ซึ่งถือเป็นวิธีย้ายความสนใจอย่างหนึ่ง เพราะสายตาเทาเท่ที่อยู่ตรงข้ามเหมือนจะมองไปที่หน้าเธอตลอด
เธอจงใจจ้องโน้ตบุ๊กอย่างใจเย็นไปสักพัก แล้วก็ทนไม่ไหวจริงๆ จึงเงยมองเขาแล้วถาม:“หน้าฉันมีอะไรเหรอ?”
“เปล่า”เทาเท่ปฏิเสธคำพูดเธอ ขณะเดียวกันก็ละสายตาออก
เทาเท่ไม่อยากยอมรับว่า เมื่อกี๊เขาเอาแต่จ้องเธอ นั่นเพราะว่าไม่ได้เห็นเธอมาหลายวันแล้ว จึงอยากมองสักหน่อย
หลังจากวันแรกที่เธอเข้าโรงพยาบาลแล้วเขาไปตีกับเจเทาวน์ เขาก็ยังไม่เจอเธอเลยจนกระทั่งวันนี้
เขารู้ว่าเจเทาวน์กลับบ้านเกิดไม่ได้อยู่กับเธอ แต่ก็ยังไม่ไปหาเธอ กลัวว่าเธอจะทำตัวขยะแขยงและปฏิเสธเขาเพราะเรื่องของพินอิน
ช่วงนี้เขารู้สึกซึ้งถึงความรู้สึกนั้นแล้ว เข้าใจถึงสาเหตุที่ตอนนั้นเธอยืนหยัดในความสัมพันธ์กับเขาต่อไปไม่อยู่แล้ว
คนๆหนึ่งที่มักโดนเย็นชาใส่ พอเวลาผ่านไปมากๆก็เหนื่อยได้
แค่เทาเท่คิดไม่ถึงว่า การมองนี้จะไม่มีอุปสรรค มองแล้วไม่อาจละสายตาออกได้
ที่จริงเมื่อก่อนเขาก็รู้ว่า หลินจือหน้าตาสวยมาก
ถ้าไม่สวย เขาก็ไม่ทนอยู่ข้างเธอมานานหลายปีหรอก
กินกาม สัญชาตญาณปกติ
ผู้ชายก็เหมือนๆกันหมด มองหน้าเป็นอย่างแรก
หลินจือเห็นเขาละสายตาออก จึงโล่งอก ตามองหน้าจอโน้ตบุ๊กเขียนบทของ “The Legend of Concubine Rong ” ต่อไป
เธอทำได้ไวมาก เขียนไปได้มากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
แต่เธอรู้ว่างานนั้นยังหนักหนา ดังนั้นจึงใช้เวลารีบทำ
เทาเท่ที่นั่งตรงข้ามเอาสายตามองไปที่หน้าเธออีกครั้ง จากมุมที่เขามองไป มองเห็นสันจมูกเธอที่โด่งพอดี ขนตาที่เรียวยาว รูปร่างใบหน้าเธอที่มีออร่าออกมา ก็ทำให้คนรู้สึกถึงความสงบสุขอย่างอธิบายไม่ถูก
เทาเท่คอยมองหญิงสาวตรงหน้าตลอด ดื่มกาแฟแก้วหนึ่งเสร็จเงียบๆ
วันนี้เขารู้แล้วอะไรที่เรียกว่าสวยจนอยากกลืนกิน
หลังจากประกาศขึ้นเครื่องบินดังขึ้น หลินจือจึงรีบเก็บโน้ตบุ๊ก เข็นกระเป๋าเดินทางตามเทาเท่ออกไปจากร้านกาแฟเพื่อขึ้นเครื่องบิน
เพิ่งออกมาจากร้านกาแฟ จู่ๆของในมือหลินจือก็เบาไป ที่แท้เทาเท่ก็รับกระเป๋าที่เธอถือไว้ในมือไป
เธอออกจากบ้านชอบใช้กระเป๋าใบใหญ่ เพราะว่าใส่โน้ตบุ๊กไปได้ และยัดของเล็กๆที่ใช้ประจำไปอีกเล็กน้อย น้ำหนักของกระเป๋าก็จะเพิ่มขึ้น สะพายข้างเดียวก็จะหนักมาก
ก็แค่หลินจือคิดไม่ถึงว่าเทาเท่จะช่วยเธอถือกระเป๋า ตะลึงไปสักพัก เทาเท่ก็รับกระเป๋าเดินทางในมือเธอไปอีก
ดังนั้นมือสองข้างของหลินจือก็เลยว่าง ส่วนเทาเท่มือข้างหนึ่งลากกระเป๋าเดินทางของพวกเขาสองคน มืออีกข้างถือกระเป๋าที่เธอใส่โน้ตบุ๊กไว้
หลินจือได้สติคืนมาก็รีบตามไป:“เอ่อ ฉันถือ……”
คนสูงส่งอย่างเทาเท่ช่วยเธอถือกระเป๋าและเข็นกระเป๋า เธอกลัวว่าจะอายุสั้นลงเพราะมีความสุขมากไปน่ะสิ