ในบรรดาที่พักอาศัยอันหรูหรา บ้านหลังใหญ่ที่สร้างติดทะเลสาบโดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษหลังนั้นคือเรือนอวี้สุ่ยของเฟิ่งจิ่วหลัง และเป็นบ้านที่ดีที่สุดในแหล่งรวมที่พักอาศัยอันหรูหราของถนนหลิ่วถี
เฟิ่งจิ่วหลังอาศัยความสะดวกเข้าว่า ซื้อบ้านที่ขายต่อ ซ้ำยังไม่ต้องห่วงเรื่องซ่อมแซมให้ยุ่งยาก แค่หาซื้อคนใช้สักกลุ่มจากพ่อค้านายหน้ามาจัดการดูแลก็สิ้นเรื่อง ภายในจวนเป็นระเบียบเรียบร้อยราวกับตระกูลใหญ่ที่ฝังรากลึกมาหลายสิบปีของเมืองหลวง ทั้งร่ำรวยมั่งคั่งและสงบสุข
อวิ๋นหว่านชิ่นเดินผ่านทางเดินเล็กๆ ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ตามคนใช้ที่นำทางพร้อมกับชูซย่า ทิวทัศน์รอบข้างต่างกันกับด้านนอกราวกับคนละโลก เฟิ่งจิ่วหลังผู้นี้ไม่ทำผิดต่อตัวเองโดยแท้ พักอยู่แค่คนเดียวแท้ๆ แต่กลับซื้อบ้านหลังใหญ่โต
มองแค่บ้านอย่างเดียวไหนเลยจะนึกไปถึงว่าเจ้าของเป็นเพียงคนขายเต้าหู้อยู่ที่ถนนจิ้นเป่า อาศัยแค่กำลังทรัพย์ส่วนนี้ก็ซื้อร้านใหญ่ๆ ไม่กี่แห่งในถนนหลวงมาครอบครองได้อย่างไร้ปัญหา
ด้านนอกหรูหรามีราคา ด้านในยิ่งไม่ต่างอันใดกับจวนอ๋องทั้งหลายแม้แต่น้อย หากเทียบกับจวนฉินอ๋องแล้ว นอกจากพื้นที่ที่เทียบไม่ได้แล้ว เพราะเจ้าของชื่นชอบความสง่างาม มองโลกมามากก็ยิ่งชื่นชอบที่จะชื่นชม การตกแต่งด้านในจึงชนะจวนฉินอ๋องไป
ภายในลานบ้านใต้เงาไม้หนาแน่นบนกำแพง ตั่งนุ่มหุ้มหนังเลียงผาถูกคนใช้หามออกมา ข้างๆ มีโต๊ะไม้แดงวางกำยานและถ้วยชามหยกอยู่
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งสวมขนจิ้งจอกขาวบางๆ ลืมตาครึ่งหนึ่งนั่งอยู่บนตั่งเพื่ออาบแดด มือเรียวขยับขึ้นลงเคาะจังหวะตามโน้ตเพลง มีนักดนตรีหญิงแดนใต้สองสามคนนั่งอยู่ปลายเท้าเขา ในอกกอดผีผาเอียงคอก้มหน้าลงอย่างเขินอาย
“เดิมทีข้าคิดว่าใต้เท้าเฟิ่งจะไม่ไปที่ร้านเสียแล้ว เพราะน่าจะเจ็บหนัก นึกไม่ถึงว่าจะมีชีวิตราวกับเทพเซียนเช่นนี้” เสียงฝีเท้าของสตรีดังเข้าหูเฟิ่งจิ่วหลัง ขนตาดกดำงอนยาวของเขากะพริบขึ้นลงคราหนึ่ง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า ลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อกล่าวว่า “แยกย้ายกันได้”
เหล่าสาวนักดนตรีต่างพากันหอบเครื่องดนตรีแยกย้ายกันไป
ช่างเป็นการเสพสุขชั้นเยี่ยมอย่างราชาเสียจริง อวิ๋นหว่านชิ่นแน่ใจว่าเขามิอาจสง่าผ่าเผยเช่นนี้ที่ต้าสือได้ “ยามนี้ข้าควรเรียกเจ้าว่าใต้เท้าเฟิ่งหรือเถ้าแก่เฟิ่งดี”
เฟิ่งจิ่วหลังพยักหน้าให้นางนั่งลงด้านตรงข้าม “แล้วแต่เจ้า” เขามองไปยังด้านหลังนาง “มาก็ดี เอาของกำนัลอันใดมาด้วยหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มเอ่ยว่า “ดูท่าแล้ว ของกำนัลคงจะมีมากเกินไปเสียหน่อย เกรงว่าเถ้าแก่เฟิ่งจะเห็นเพียงไม่กี่อย่างที่อยู่ในสายตา เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าได้ซื้อที่พักอาศัยที่แพงที่สุดในเยี่ยจิงมา ที่แท้ราชทูตของต้าสือเงินเดือนดีเช่นนี้เอง”
“นี่เป็นที่พักที่แพงที่สุดในเยี่ยจิงหรือ” เฟิ่งจิ่วหลังมองไปรอบๆ ถอนใจอย่างสัตย์จริง “แต่อากาศสู้บ้านที่เฟิงโจวของข้ามิได้ กว้างไม่เท่าบ้านที่ต้าตู การสัญจรไปมาก็ไม่สะดวกสบายเท่าบ้านที่ซานหยางของข้า”
ที่เขาพูดมาล้วนเป็นเมืองหลวงรอบๆ ต้าเซวียนทั้งสิ้น ต้าตูเป็นเมืองหลวงของเหมิงหนู อวิ๋นหว่านชิ่นพลันวางใจลง กำลังทรัพย์ของเขาจะเอามาจากเงินเดือนขุนนางทางเดียวได้อย่างไร เกรงว่าทุกเมืองที่มีบ้านเขาอยู่ก็คงจะเปิดกิจการค้าขายด้วยกระมัง นางเอ่ยถามว่า “เถ้าแก่เฟิ่งอยู่ที่เยี่ยจิงนานหรือไม่ เหตุใดไม่บอกกันก่อน ซ้ำยังขายร้านที่ถนนจิ้นเป่าไปแล้ว”
เฟิ่งจิ่วหลังยิ้มบาง “วันนั้นข้าเอาของขวัญไปให้ที่จวนอ๋อง ทีแรกว่าจะเชิญเหนียงเหนียงหาเวลาว่างมาช่วยข้าเลือกร้านค้าสักที่ในเยี่ยจิงเสียหน่อย แล้วค่อยเลือกที่พักอาศัย ข้าเพิ่งจะมาเป็นคราแรกจึงไม่คุ้นที่คุ้นทางนัก ซ้ำยังไม่รู้ว่าที่ใดดีไม่ดี ทำได้เพียงรบกวนเหนียงเหนียงแล้ว คิดไม่ถึงว่าไม่ทันไรเหนียงเหนียงก็ไปเยี่ยนหยางเสียแล้ว ข้าทำได้เพียงเป็นแมวตาบอดเจอหนูตาย[1]เสี่ยงโชคดูสักตั้ง ไม่มีเหนียงเหนียงช่วยหา ข้าก็มิกล้าซี้ซั้วหาเอง พอรู้ว่าร้านเซยงอิ๋งซิ่วของเหนียงเหนียงอยู่ที่ถนนจิ้นเป่า ในเมื่อเหนียงเหนียงถูกใจที่นั่น ย่อมเป็นที่ที่ฮวงจุ้ยดีมีราคา ข้าจึงตามรอยเหนียงเหนียงเลือกซื้อที่นั่นไว้ อย่าได้หัวเราะข้านะ”
ที่แท้วันที่เขาส่งของขวัญให้ถึงที่ก็ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าจะอยู่ที่ต้าเซวียน จึงให้นางช่วยเลือกร้านรวงกับที่พักอาศัย อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกถึงรอยยิ้มมีเลศนัยของเขาแต่ก็มิได้คิดมาก พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็กล่าวอย่างกังวลว่า “ใต้เท้าเฟิ่งบาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง”
เฟิ่งจิ่วหลังยกข้อมือขึ้นหมุนไปมา พอแขนเสื้อเลื่อนลงก็เห็นรอยช้ำเล็กน้อย “ไม่มีอันใดหรอก วันนั้นตอนที่ข้าไปขวาง ชนเข้ากับโต๊ะพอดี”
อวิ๋นหว่านชิ่นจิบคำหนึ่ง ทำให้เฟิ่งจิ่วหลังสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย “พวกไม่สนใจชีวิตตัวเองพวกนี้นี่ สมควรตายนัก!” แล้วสอบถามว่า “พวกที่มาบุกร้าน…หาเจอหรือยัง”
เฟิ่งจิ่วหลังแววตาสั่นไหวเล็กน้อย ยกไวน์ในจอกหยกจากแดนตะวันตกขึ้นจิบคำหนึ่ง “จิงจ้าวอิ่งกำลังจัดการ ดูแล้วเหมือนกับเขาไม่อยากจะสืบสักเท่าใดนัก เพียงแต่บ้านเมืองที่ใดล้วนมีขื่อมีแป ข้ายังไม่เชื่อว่าจะหาผู้บงการมามิได้”
อวิ๋นหว่านชิ่นกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าไม่บาดเจ็บมากก็แล้วๆ ไปเถิด อย่างไรเสียเจ้าก็ยังต้องอยู่ที่เยี่ยจิงต่อ อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตเลย เกิดอีกฝ่ายมิใช่คนที่จะรับมือด้วยง่ายๆ ขึ้นมา…เหตุใดต้องทำเรื่องให้บาดเจ็บเสียหายกันทั้งสองฝ่ายด้วย”
เฟิ่งจิ่วหลังเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “บาดเจ็บเสียหายกันทั้งคู่หรือ ยามนี้มีเพียงข้าที่บาดเจ็บ คนผู้นั้นคงจะนั่งกระดิกเท้าแอบหัวเราะเยาะอยู่เบื้องหลัง รับมือยากแล้วอย่างไร ต่อให้อำนาจสูงล้นมือ ต่อให้ศาลที่เยี่ยจิงจัดการมิได้ ข้าจะคอยดูว่าเขาจะห่วงชื่อเสียงหน้าตาหรือไม่ ป่าวประกาศออกไป ค่าชดใช้ที่ทำเขาเสื่อมเสียชื่อเสียง ข้าก็มีปัญญาจ่าย”
อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งอึ้ง “แต่ว่า…”
“นี่ไม่เหมือนพระชายาฉินอ๋องที่ข้าเคยรู้จักเลย ข้าคิดว่าต่อให้เหนียงเหนียงไม่ช่วยข้า อย่างน้อยๆ ก็จะต้องสนับสนุนข้าอย่างเต็มที่แน่” เฟิ่งจิ่วหลังขมวดคิ้วแน่น
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่าทางเฉียบขาดของเขาก็ไม่กล้าพูดอันใด กลับเห็นเขาจ้องนางนิ่ง เงียบไปนาน ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้น “…แต่ว่า ในเมื่อเหนียงเหนียงอยากให้ข้าล้มเลิกที่จะสืบ เช่นนั้นข้าก็จะรามือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองสีหน้าของเขาก็พลันเข้าใจว่าเขาน่าจะรู้ตั้งนานแล้ว นางจึงถอนใจเอ่ยว่า “เถ้าแก่เฟิ่งช่างใจกว้างยิ่ง”
“แต่หลังจากนี้น่ะ หลังจากนี้คงไม่แน่แล้ว” เฟิ่งจิ่วหลังค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน
เหตุใดบุรุษทั้งสองคนนี้จึงชอบพูดแบบเดียวกันนัก อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดพลันจำเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางไม่สงสัยนานก็เอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณเถ้าแก่เฟิ่งมาก”
“ต่อให้ข้าไม่สืบหา ก็ไม่ต้องขอบคุณข้าเป็นพิเศษหรอก” เฟิ่งจิ่วหลังยิ้ม
“ข้ามิได้ขอบคุณเรื่องนี้” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ย “ที่ร้านเซียงอิ๋งซิ่วได้รับคำชื่นชมจากชนชั้นสูงของต้าสือที่นอกเมือง เป็นเพราะการช่วยเหลือจากเถ้าแก่”
เฟิ่งจิ่วหลังมีรอยยิ้มประดับบนริมฝีปาก “หากสินค้าไม่ดี จะชมอย่างไรก็ชมไม่ขึ้น”
เขากล่าวเช่นนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยิ่งละอายแก่ใจต่อเขานัก เขาช่วยเหลือนางแต่กลับถูกทำร้าย สุดท้ายยังไม่สืบความ ต้องโทษคนผู้นั้น มันน่า…นางเห็นเขาหันไปจึงยิ้ม “หลังเรือนมีสระเลี้ยงปลาคาร์ฟไว้ จะไปดูหรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นมีความลุแก่โทษ “ในเมื่อเถ้าแก่เฟิ่งไม่เป็นอันใดข้าก็เบาใจแล้ว ข้าควรกลับได้แล้ว ฟ้าเริ่มมืดแล้ว”
เฟิ่งจิ่วหลังรู้ดีว่าฐานะนางมีขอบเขต วันนี้นางมาเยี่ยมเขาได้เพียงลำพังก็นับว่าไม่เลวแล้ว คาดว่าคงปิดบังคนผู้นั้นที่จวนเอาไว้ เขาจึงมิได้รั้งให้นางลำบากใจ เอ่ยขึ้นว่า “ส่งแขก”
เงาของนางที่พาสาวใช้เดินออกไปค่อยๆ เลือนหาย เฟิ่งจิ่วหลังจึงค่อยดึงสายตาที่มองส่งกลับมา แล้วหันหลังเดินจากไป
เพราะเมื่อคืนวานท่านอ๋องมิได้กลับบ้าน เกรงว่าวันนี้จะกลับมาแต่เช้า อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่อยู่ข้างนอกนาน รีบกลับเมืองหลวงโดยไว
พอใกล้จะถึงประตูจวน อวิ๋นหว่านชิ่นเลิกม่านบนรถขึ้น สอดส่ายสายตามองไป เห็นม้าของซือเหยาอันถูกมัดไว้บนรูปปั้นสัตว์ที่ใช้มัดม้าหน้าประตู คนใช้ของจวนกำลังป้อนน้ำให้อยู่ ท่านอ๋องสามน่าจะกลับจากวังมาแล้ว
[1] แมวตาบอดเจอหนูตาย เปรียบเทียบตัวเองไม่มั่นใจ แต่โชคดีหรือบังเอิญจึงประสบความสำเร็จ