ห่างจากบันไดหน้าประตูไปไม่ไกลนัก มีรถม้าสองสามคันจอดไว้ ข้างรถม้ามีผู้ติดตามที่แต่งตัวเหมือนบ่าวไพร่อีกสองสามคน
อวิ๋นหว่านชิ่นก็มิได้มองว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด คิดว่าเป็นแขกที่มาเข้าพบท่านอ๋องสามหรือไม่ก็มามอบของกำนัลเพื่อขอร้องให้ช่วยเหลือเหมือนปกติทุกวัน แต่กลับได้ยินเสียงชูซย่าดังขึ้นเบาๆ พลางชี้ไป “เหนียงเหนียง มองรถคันนั้นสิเจ้าคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองตามไปก็เห็นรถม้าคันเล็กๆ ทอด้ายลายย่นสีฟ้าคันหนึ่ง ข้างล่างมีสาวใช้คนหนึ่งยืนเขย่งเท้าบนบันไดมองประตูใหญ่ของจวนอ๋องอยู่ ราวกับกำลังรอผู้เป็นนาย
คนที่มาเยี่ยมเยือนส่วนใหญ่มักจะมีคนรับใช้ติดตามมาด้วย ไม่เคยมีใครพาสาวใช้มาด้วยเช่นนี้
สาวใช้นางนั้น อวิ๋นหว่านชิ่นเคยเจอสองสามครั้ง ไม่นับว่าแปลกหน้า
นางเป็นหนึ่งในสาวใช้ข้างกายของหานเซียงเซียง
ชูซย่าไม่เคยเจอหานเซียงเซียงมาก่อน แต่ก็มองสีหน้าที่ผิดปกติของผู้เป็นนายออก
คนรับใช้ที่เฝ้าประตูจวนอ๋องเห็นรถม้าเหนียงเหนียงกลับมาแล้วก็เปิดประตูใหญ่ มีเกาจ๋างสื่อออกมาต้อนรับแล้วเดินอ้อมกำแพงที่หันเข้าหาประตูบ้านเข้าไปด้านในด้วยกันกับเหนียงเหนียง ขณะที่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไรดี ก็ได้ยินนางถามขึ้นว่า “เหตุใดนางจึงมาที่นี่”
เกาจ๋างสื่อเห็นนางตาไวมองเห็นแล้ว ก็หมดหนทางปิดบัง จึงเอ่ยว่า “พระสนมเอกให้คุณหนูหานมามอบของบำรุงให้ที่จวนแทนขอรับ อีกทั้งยังมีจางเต๋อไห่ที่มาด้วย บ่าวก็พูดอันใดมิได้มากนัก”
“แล้วท่านอ๋องสามเล่า กำลังรับแขกอยู่หรือ” หนังตานางกระตุก
“เปล่าขอรับ ท่านอ๋องกลับมาพร้อมท่านอ๋องแปดกำลังเตรียมตัวจะไปเสวยที่ห้องบุปผา พอได้ยินว่าคุณหนูหานมา ก็ถามบ่าวว่าเหนียงเหนียงอยู่หรือไม่ บ่าวทูลไปว่าออกไปข้างนอกยังมิกลับ ท่านอ๋องสามก็พาท่านอ๋องแปดหันหลังกลับกลางคัน แล้วจึงไปที่เรือนฮั่นม่อแทน ตรัสว่ามีกิจการทหารเร่งด่วนต้องจัดการ จนถึงยามนี้ก็ยังไม่ออกมาเลยขอรับ”
ชูซย่าหลุดขำออกมา
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยถามต่อว่า “แล้วนางเล่า มอบของให้แล้วยังมิกลับไปอีกหรือ”
“เหมือนว่าพระสนมเอกจะกำชับเป็นการส่วนตัวให้คุณหนูหานมอบให้ท่านอ๋องสามด้วยตัวเองกระมัง คุณหนูนางนั้นก็ซื่อเสียเหลือเกิน ไม่เห็นท่านอ๋องก็นั่งนิ่งเป็นหินอยู่ที่ห้องบุปผา บ่าวก็มิกล้าเอ่ยปากไล่นาง”
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเบี่ยงฝีเท้าเดินนำคนรับใช้ทั้งสองไปยังห้องบุปผา
ณ ห้องบุปผา ไม่รู้ว่าจางเต๋อไห่มองไปยังประตูเป็นคราที่เท่าใดแล้ว สุดท้ายจึงเอ่ยกล่อมขึ้น “คุณหนูหาน ท่านอ๋องทรงกำลังยุ่ง ซ้ำพระชายาก็ไม่อยู่จวน ท่านก็ได้ช่วยส่งมอบของขวัญแทนพระสนมเอกเรียบร้อยแล้ว วันนี้กลับกันไปก่อนดีกว่าขอรับ”
“จางกงกง ข้าไม่ติดธุระใดอีก รอท่านอ๋องทรงงานให้เสร็จเถิด นานๆ ทีพระสนมจะมีเรื่องไหว้วานข้า ข้ามิอาจทำให้พระสนมผิดหวังได้” หานเซียงเซียงฝืนกล่าว
จางเต๋อไห่จึงพูดอันใดไม่ได้มาก นานๆ ทีจะไหว้วานอันใดกัน เกรงว่าต่อไปจะมากขึ้นเรื่อยๆ น่ะสิ นี่เป็นสิ่งที่พระสนมทรงคิดหาโอกาสให้คุณหนูหานได้ไปมาหาสู่กับท่านอ๋องสาม เพื่อสร้างความรู้สึกดีๆ ในเมื่อตัวเขานั้นมาเป็นเพื่อนคุณหนูตามคำสั่งแล้ว ก็มิควรขัดนาง เขาหันไปเห็นชาในมือนางยามนี้เย็นชืด
คราที่เพิ่งจะมาถึงจวนฉินอ๋อง เหล่าคนรับใช้ต่างรู้กันดีว่าคุณหนูหานคือว่าที่สนมในจวนท่านอ๋อง จึงพากันชี้มือชี้ไม้แอบซุบซิบกันลับหลัง พอเข้าห้องบุปผามา ยกชาไปให้ ก็มิได้ซักถามอันใดอีก
เป็นที่กระจ่างแจ้งมากว่าคนในจวนฉินอ๋องนั้นจะฝักใฝ่เข้าหาหรือปฏิเสธ
คุณหนูหานยังมิได้แต่งเข้ามา พวกบ่าวไพร่ก็ต่างเลือกยืนอยู่ฝั่งพระชายาของตน แล้วเลือกเป็นปรปักษ์ต่อคุณหนูหาน ดูท่าแล้ว เมื่อคุณหนูหานเข้าจวนมาภายหน้า เกรงว่าจะมีวันคืนที่ไม่ค่อยดีนัก แต่เห็นนางหัวรั้นเช่นนี้แล้ว เกรงว่าต่อให้จวนฉินอ๋องเป็นหลุมไฟ นางก็จะโดดลงไปอยู่ดี
ให้รออยู่เช่นนี้คงมิได้ จางเต๋อไห่ตะโกนไปทางประตูว่า “ท่านอ๋องสามยังยุ่งอยู่หรือ พวกเจ้าได้ทูลหรือไม่ว่าพระสนมเอกทรงรับสั่งให้คุณหนูหานมาแทน”
บ่าวในจวนฉินอ๋องเอ่ยตอบไปด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “เรียนจางกงกง ทูลไปแล้วขอรับ แต่ท่านอ๋องทรงติดราชกิจ พวกเราจึงมิกล้ากล่าวอันใดมาก”
จางเต๋อไห่ขมวดคิ้วอย่างทนไม่ไหว “เอาล่ะ เอาล่ะ ชาของคุณหนูหานเย็นหมดแล้ว ยังไม่…”
“ยังไม่เติมชาให้คุณหนูหานอีก ไม่รู้ว่าที่สั่งสอนพวกเจ้าไปนั้นเป็นอย่างไร จึงได้ละเลยแขกเช่นนี้” เสียงกังวานใสของสตรีดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่ง
จางเต๋อไห่ตกใจ รีบเข้าไปค้อมคำนับ “เหนียงเหนียงกลับมาแล้ว”
คนรับใช้ด้านนอกเห็นเหนียงเหนียงเอ่ยขึ้นก็รีบกลับมากระตือรือร้นอีกครั้ง “ขอรับ!” แล้วเข้ามาเอาถ้วยชาที่เย็นชืดของหานเซียงเซียงไปเติมน้ำ
ชูซย่าเอ่ยเสริมขึ้นว่า “เขากวางพุทราแดงของเหนียงเหนียงวันนี้ต้มเสร็จหรือยัง หากเสร็จแล้วก็เอามาพร้อมกันเลย”
คนรับใช้หนึ่งในนั้นเอ่ยรับคำขึ้น
วันนี้หานเซียงเซียงได้รับการไหว้วานจากพระสนมเอกให้มาส่งยาบำรุงของวังให้กับจวนฉินอ๋อง ในใจทั้งดีใจทั้งทุกข์ใจ ซ้ำยังหวาดกลัวอีกเล็กน้อย พอเข้ามาได้ยินว่าพระชายาไม่อยู่ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก มายามนี้เห็นนางกลับมาแล้ว สีหน้าก็ชะงักค้างจนลืมลุกขึ้นทำความเคารพ นางเอ่ยด้วยความตระหนกว่า “รบกวนพระชายาเสด็จมาแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นให้นางนั่งลง ส่วนตัวเองนั่งลงบนที่นั่งตำแหน่งสูงกว่า อมยิ้มเอ่ยว่า “พูดอันใดกัน ท่านอ๋องติดธุระมาพบแขกมิได้ ข้ากลับมาพอดี มารับแขกแทนท่านอ๋องเช่นนี้เป็นสิ่งที่สมควรกระทำ”
หานเซียงเซียงนิ่งอึ้ง จริงด้วย พระชายาเป็นนายหญิงของที่นี่ ตัวนางเองจะพูดเช่นนั้นเพื่ออันใดกัน ในขณะที่ไม่รู้ว่าจะต่อประโยคอีกฝ่ายเช่นไรดีอยู่นั้น ก็เห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้น “ได้ยินว่านอกจากที่เสด็จแม่ทรงให้คุณหนูหานมาส่งของแล้ว ยังฝากคำมาบอกอีกด้วยหรือ เสด็จแม่รับสั่งว่าอย่างไรก็บอกกับข้าไว้เถิด”
หานเซียงเซียงจึงทำได้เพียงบอกไป “มิใช่เรื่องใหญ่อันใดเพคะ พระสนมเอกทรงได้ยินว่าหว่างนี้ท่านอ๋องทรงงานหนัก จึงอยากกำชับให้ฉินอ๋องดูแลร่างกาย อย่าทรงหักโหมให้มาก”
เรื่องใหญ่เพียงใด ให้จางเต๋อไห่มาบอกแทนก็มิได้ ต้องให้หานเซียงเซียงมาบอกแทน อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยเสียงเรียบว่า “ลำบากเสด็จแม่ทรงเป็นห่วงแล้ว หากคุณหนูหานได้เจอเสด็จแม่อีกก็รบกวนทูลด้วยว่า หม่อมฉันจะกำชับท่านอ๋องให้เป็นอย่างดีเพคะ ไม่ว่าเรื่องน้อยใหญ่ใดในจวนล้วนจะระวังให้ดี” หยุดครู่หนึ่งแล้วยิ้มบางเอ่ยว่า “เช่นนั้น น่าจะไม่มีเรื่องอื่นอีกแล้วกระมัง”
นางถามเสียหานเซียงเซียงสันหลังตั้งตรง นี่กำลังบอกนางเป็นนัยๆ ว่าหมดธุระแล้วก็กลับไปได้แล้วใช่หรือไม่
หานเซียงเซียงเหลือบมองไปทางประตูด้วยความหวังว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้น แล้วครู่ต่อมาค่อยลุกขึ้นกล่าวลา แต่ก็ยังอาลัยอาวรณ์ราวกับถูกสิ่งใดดึงรั้งตนไว้ ให้ตัวนางมิอาจขยับไหว
คนหนึ่งรอนางเอ่ยปากกล่าวลาเองโดยไม่บังคับด้วยท่าทางสบายๆ สงบและเป็นธรรมชาติ
ส่วนอีกคนกำลังขัดแย้งกับตัวเองไม่หยุด เฝ้าคอยให้เงาคนปรากฏขึ้นหน้าประตูอย่างร้อนรนอยู่นาน แล้วคาดหวังให้สตรีที่นั่งอยู่บนตำแหน่งที่สูงกว่าอนุญาตให้นางรั้งอยู่ต่ออีกสักสองเค่อ[1]
หานเซียงเซียงคิดว่าหากไม่หาเหตุผลมาก็จะไม่มีเหตุผลมาอ้างให้อยู่ต่อได้แล้ว จึงเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “เมื่อเช้าเหยากงกงประกาศพระราชโองการที่พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนว่า ฝ่าบาททรงรับสั่งพระราชทานสมรสกับท่านอ๋องแก่ท่านพ่อข้า” เสียงเบาเหมือนยุง แต่ทุกคนในห้องกลับได้ยินอย่างชัดเจน
ไม่แปลกใจ พระสนมเอกเฮ่อเหลียนเคยบอกว่าพระราชโองการฉบับนี้น่าจะถูกประกาศในเร็ววันนี้แล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นหันหน้าไปมองจางเต๋อไห่คราหนึ่ง
จางเต๋อไห่พยักหน้า
หานเซียงเซียงกล่าวจบก็เหมือนได้ผ่านด่านอันท้าทายไปได้ด่านหนึ่ง นางเงยหน้าขึ้น เหงื่อเย็นเยียบเต็มแผ่นหลัง กัดปากมองสตรีตรงหน้า
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ดีว่าประโยคนี้ของนางมิใช่ยั่วยุหรือข่มกัน นางเพียงบอกเป็นนัยว่ายามนี้ไม้ได้กลายเป็นเรือ[2]แล้ว ไม่ช้าก็เร็วต้องได้เป็นครอบครัวเดียวกัน เหตุใดต้องตาต่อตา ฟันต่อฟันใส่กันเช่นนี้
ไม่เพียงไม่ยั่วยุ ซ้ำยังแสดงท่าทีว่าเป็นมิตรอยู่กรายๆ ด้วย
สตรีเช่นนาง เป็นสนมแบบที่ค่อนข้างจะได้รับการต้อนรับจากพระชายา จิตใจสงบนิ่งดั่งสายน้ำ ความรู้สึกเพิ่มพูน หวังเพียงน้ำใต้ศอกเพียงน้อยนิดเท่านั้น สิ่งอื่นๆ ล้วนไม่สนใจอยากจะได้
[1] สองเค่อ ครึ่งชั่วโมง
[2] ไม้กลายเป็นเรือ เรื่องราวดำเนินไปถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้อีก ต้องปล่อยให้เลยตามเลย