หากสนมในจวนเป็นเช่นนี้ ก็ไม่นับว่าไม่ดีอันใด สำหรับพระชายาส่วนใหญ่แล้ว เกรงว่าจะชอบใจเสียด้วยซ้ำ
แต่สำหรับผู้ที่ชอบเล่นกับความรู้สึกแล้วนั้นกลับไล่ได้ยากที่สุด
คิดได้ดังนั้น นางก็ยังรู้สึกว่าหลี่ว์ชีเอ๋อร์รับมือได้ง่ายกว่า หากเห็นแก่ความรู้สึกก็ต้องฟุ่มเฟือยเงินไปมาก หากสถานการณ์มันไม่ใช่ก็เรียกให้กลับมา บนโลกนี้ใช่ว่าจะมีตระกูลมีอำนาจแค่ตระกูลของเจ้าเพียงตระกูลเดียวที่ไหน
หานเซียงเซียงรออยู่นานด้วยจิตใจหวาดกลัว ในที่สุดอวิ๋นหว่านชิ่นก็เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็รอแต่งงานอย่างสบายใจเถิด”
น้ำเสียงของอวิ๋นหว่านชิ่นยังคงดังเดิม ทั้งมิได้เสแสร้งยินดีด้วย และไม่ถึงขั้นเย็นชาหรือมีแผนการใด แต่สำหรับหานเซียงเซียงแล้วกลับเป็นพระคุณเป็นอย่างมาก เดิมทีนางคิดว่าต่อให้อีกฝ่ายไม่ไล่นางกลับก็น่าจะมีสีหน้าเปลี่ยนไปบ้าง
ฮ่องเต้อยู่เหนือเกล้า ผู้ใดบ้างจะกล้ามีใจแปรพักตร์ สุดท้ายก็ต้องยอมอะลุ่มอล่วย เพียงแต่ติดปัญหาอยู่ที่เวลาเท่านั้น นางทอดถอนใจ
ในขณะนั้นเอง คนรับใช้ก็ถือถาดเข้ามา ยกน้ำชาให้เหนียงเหนียง
ชูซย่ายกถ้วยชาขึ้น เปิดฝาออกดู เห็นเขากวางหั่นเป็นแผ่น พุทราแดงเม็ดใหญ่ นางใช้ช้อนเงินคนครู่หนึ่ง “เหนียงเหนียงเจ้าคะ วันนี้เขากวางขึ้นฟองดี พุทราแดงก็ต้มมาเต็มถ้วย ดื่มตอนร้อนๆ เถิดเจ้าค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นรับมา แต่กลับยังไม่รีบดื่ม นางเงยหน้างามขึ้นเอ่ยกับคนรับใช้ที่ยกชามาว่า “คนมาทีหลังอย่าข้าได้ชาแล้ว ชาของแขกยังไม่เติมอีก”
ชูซย่ารีบเออออสั่งสอนขึ้นว่า “กฎเกณฑ์มารยาทที่เหนียงเหนียงสอนสั่ง มิอาจละเลยเพราะเหนียงเหนียงไม่อยู่จวนไปได้ ต่อไปหากยังไม่ทำตามหลักเกณฑ์เช่นนี้อีก ถูกทำโทษขึ้นมาก็อย่ามาน้อยใจกล่าวโทษว่าไม่ยุติธรรม”
คนรับใช้รีบค้อมกายลง “เจ้าค่ะ เหนียงเหนียง บ่าวจะจำไว้ให้ขึ้นใจ” กล่าวจบก็ออกไป
หานเซียงเซียงที่เห็นนางแสดงอำนาจของนายหญิงเอ่ยปากสั่งสอนบ่าไพร่ อาการผ่อนคลายเมื่อครู่ก็พลันตึงเครียดขึ้นมา นางลนลานเอ่ยว่า “เหนียงเหนียงอย่าได้เอ่ยโทษคนรับใช้เลยเพคะ เป็นข้าที่มาเป็นครั้งแรก จึงเกรงอกเกรงใจอยู่บ้าง มิได้เรียกพวกนางให้เติมชาให้”
เกรงอกเกรงใจหรือ สตรีที่ยังไม่ทันจะออกเรือนก็วิ่งโร่มาบ้านว่าที่สามีเช่นนี้ ยังมีสิ่งใดให้เกรงอกเกรงใจได้อีก ชูซย่าไม่พอใจอยู่เงียบๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นสีหน้าอ่อนโยน “คุณหนูหานจิตใจเมตตาอารีดุจดั่งพระโพธิสัตว์ แต่บ้านมีกฎเกณฑ์ มิอาจตามใจพวกนางได้ ในเมื่อเข้าจวนมาแล้วก็ต้องทำตามกฎของผู้เป็นเจ้าของ มิอาจเปลี่ยนแปลงโดยเด็ดขาด หากทำมิได้ การรับโทษก็เป็นเรื่องที่สมควร”
หานเซียงเซียงได้ยินก็ตกใจ นี่นางใช้การสั่งสอนคนรับใช้มาตักเตือนกันว่าจวนอ๋องมิได้จะอยู่ได้ง่ายๆ หรือ ยิ่งเห็นสายตาพร่างพราวงดงามของนางที่มองมาทางตน ในใจก็ยิ่งตึงเครียดขึ้นอย่างยากจะอธิบาย
ทว่า ในเมื่อตัดสินใจจะเข้าจวนมาแล้ว เช่นนั้นก็ควรจะชินกับนิสัย อารมณ์และรูปแบบการใช้ชีวิตของนาง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเทพเซียน หรือว่าปีศาจ ตัวนางเองก็ต้องชินให้ได้
ยิ่งไปกว่านั้น หานเซียงเซียงรู้ดีว่าอวิ๋นหว่านชิ่นมิใช่คนเลวร้าย มิฉะนั้นแล้วคงไม่ช่วยนางที่อ่อนแอเอาไว้ในครานั้นแน่
ยามนี้อีกฝ่ายมองนางเป็นศัตรู ล้วนเป็นเพราะว่ายังคิดไม่ตก นางจะไม่ถือโทษ
รอวันเวลาผ่านไปเนิ่นนานกว่านี้อีกฝ่ายก็จะเข้าใจเองว่านางมิได้มาเพื่อแย่งชิงอันใดด้วย อย่างมากที่สุดก็จะยอมทำตัวด้อยกว่า เพื่อให้อีกฝ่ายพอใจ
ไม่แน่ว่าพอเอาชนะใจนางได้แล้ว จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ครั้งเก่าระหว่างกันขึ้นมาได้ ปรองดองรักใคร่กันร่วมปรนนิบัติรับใช้สามี
กลิ่นแรงของเขากวางลอยเข้าจมูก หานเซียงเซียงจึงพาเปลี่ยนเรื่องและถือโอกาสถ่วงเวลาออกไปได้อีก นางเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “เมืองเยี่ยจิงเขากวางขาดแคลน นอกจากเป็นเครื่องบรรณาการแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนมาจากร้านเต๋อซิ่ง ฝ่าบาททรงเคยมอบให้ท่านพ่อข้าอยู่ พ่อข้ามองมันว่าเป็นของล้ำค่า แช่ไว้ในไหสุราเสียแน่นสนิท มิให้ผู้ใดแตะต้อง เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลในทุกๆ ปีจึงจะเอามาจิบสักคำหนึ่ง ที่แท้เหนียงเหนียงก็ใช้มันบำรุงร่างกายด้วย”
ชูซย่ายกนิ้วให้ “คุณหนูหานสมกับเป็นคุณหนูในตระกูลขุนน้ำขุนนางเสียจริง จึงได้รู้จักและพบเห็นมันมาก่อน เขากวางนี้เป็นเหล่าหลินร้านเต๋อซิงที่รวบรวมมาจากทางเหนือแล้วส่งมาที่เมืองหลวงภายในคืนนั้น เหนียงเหนียงของข้ายังหนุ่มยังสาว เดิมทีมิได้มีความคิดอยากบำรุงร่างกายอันใด แต่ว่าท่านอ๋องเห็นว่าเหนียงเหนียงของข้ามิค่อยสบายอยู่ทุกๆ เดือน บังคับเอาให้นางดื่มให้ได้ เดิมทีใช้เขากวางผสมกับม้าน้ำตุ๋นให้เป็นน้ำแกง เหนียงเหนียงมิชอบกลิ่นคาวของเขากวาง จึงไม่อยากดื่ม ท่านอ๋องเห็นท่าทางเหนียงเหนียงเหมือนคนกินยาอย่างไรอย่างนั้น จึงเปลี่ยนเป็นชาหูกวางเก๋าจี้[1]ใส่น้ำตาลแทน หมู่นี้ก็เปลี่ยนอีก ให้คนใช้พุทราแดงของทางชวนตงมาตุ๋นเป็นชา ความหวานของพุทราช่วยลดความคาวไปได้…อย่างไรเสียก็เปลี่ยนวิธีทำใหม่เพื่อให้เหนียงเหนียงไม่เบื่อ”
“ชูซย่า” อวิ๋นหว่านชิ่นปรามเสียงเบา
ห้ามไม่ทันเสียแล้ว หานเซียงเซียงสีหน้าค่อยๆ เปลี่ยน บิดผ้าเช็ดหน้าในมือแทบยุ่ย พอปล่อยมือก็ลุกขึ้น “มาเสียนานแล้ว เซียงเซียงขอตัวลาก่อนเพคะ”
“เกาจ๋างสื่อ ส่งคุณหนูหานและจางกงกงด้วย” อวิ๋นหว่านชิ่นก็ลุกขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
หานเซียงเซียงและจางเต๋อไห่เดินห่างกันไม่กี่ก้าวออกจากห้องบุปผา ตามเกาจ๋างสื่อที่นำอยู่เดินเลียบไปกับทางเดินเล็กๆ ไปยังประตูใหญ่
จางเต๋อไห่เห็นสตรีที่อยู่ข้างๆ เดินเชื่องช้า เดินไปได้สามก้าวก็หันกลับมาคราหนึ่ง รู้ดีว่าโอกาสที่จะได้มาที่นี่นั้นไม่ง่าย ซ้ำยังมิได้พบคนที่อยากเจอ จึงยังไม่ยอมตัดใจ พอเดินใกล้จะถึงประตูใหญ่ ก็ได้ยินเสียงสตรีร้อง ‘อ๊ะ’ ดังขึ้น
เสียงนี้ทำเอาเกาจ๋างสื่อหันมามอง
“เป็นอันใดหรือคุณหนูหาน” จางเต๋อไห่หยุดฝีเท้าแล้วหันมาถาม
หานเซียงเซียงกำมือไว้ในแขนเสื้อ สีหน้าเขินอายเล็กน้อย “ข้าทำผ้าเช็ดหน้าหล่นที่ห้องบุปผา”
เกาจ๋างสื่อคิดว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง กำลังจะเรียกคนไปหยิบให้ กลับเห็นหานเซียงเซียงเอ่ยห้ามขึ้นเบาๆ เสียก่อน “ช่างเถิด ข้าไปหยิบเอง”
เกาจ๋างสื่อคิดว่านางไม่อยากให้คนอื่นหยิบจับของใช้ส่วนตัวของนาง จึงมิได้คิดอันใดมาก “คุณหนูหานรีบไปรีบมาเถิด”
หานเซียงเซียงมาถึงห้องบุปผา ทั้งห้องก็ไร้ผู้คนแล้ว เหลือเพียงคนใช้สองคนเฝ้าไว้หน้าประตู นางบอกสองสามคำก็เข้าไปหยิบผ้ามา แล้วหันหลังเดินกลับมาทางเดิม เดินไปได้ครึ่งทางกลับเปลี่ยนทิศทางไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือแทน
เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในห้องบุปผาได้ยินเกาจ๋างสื่อบอกว่าฉินอ๋องกำลังหารือกับเยี่ยนอ๋องอยู่ที่เรือนฮั่นม่อ นางเอ่ยถามจางเต๋อไห่คล้ายตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจว่าเรือนฮั่นม่ออยู่ทางใด จางเต๋อไห่มาที่จวนนี้อยู่บ่อยๆ จึงบอกนางไป
นางเดินเหมือนเหาะ คอระหงกลับเหงื่อไหลย้อย ทำเอาเสื้อนางเปียกไปหมด
ในที่สุด ณ ริมน้ำที่ไร้คนอาศัยอยู่ หลังคาเรือนใหญ่ก็เข้ามาสู่สายตา มีคำว่าเรือนฮั่นม่อเขียนไว้อยู่บนประตู
มองอยู่ไกลๆ หน้าต่างบานใหญ่ของห้องหนังสือแง้มไว้เล็กน้อย เผยให้เห็นเงาคนอยู่ด้านใน
จมูกโด่งคมสัน ขนงคมเข้มดั่งหมึก หล่อเหลาสูงส่งเช่นนั้น เทียบกับก่อนแต่งงานแล้ว เหมือนว่ามีกลิ่นอายบางอย่างเพิ่มเข้ามาอย่างอธิบายไม่ถูก
ยามนี้บุรุษผู้นั้นกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังตู้หนังสือ ก้มหน้าลงจ้องมองสาส์นของขุนนางในมือ ท่าทางตั้งอกตั้งใจ ตัดขาดจากโลกภายนอก ทำหานเซียงเซียงหายใจติดขัด
วันนี้ได้มาจวนอ๋อง มาหาถึงที่พักของเขาก็ตื่นเต้นมากอยู่แล้ว ยามนี้ขาดเพียงแค่ไม่กี่ก้าวก็จะได้พบสบตากับเขาแล้ว หานเซียงเซียงใจเต้นระส่ำ ร่างบางที่แอบซ่อนอยู่ตรงประตูวงพระจันทร์ก็สั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย
นางไม่คิดเลยว่าตัวเองจะใจกล้าทำเรื่องน่าอับอายอย่างการแอบมองบุรุษเช่นนี้ได้ ซ้ำยังอยู่ที่จวนของเจ้าตัว นางกำลังคิดว่าแอบดูครู่หนึ่งแล้วก็ไป แต่เหมือนฝ่าเท้านางมีรากงอกออกมาอย่างไรอย่างนั้น ขยับอย่างไรก็ขยับมิได้ จึงส่งเสริมตัวเองอยู่ดูเขาต่ออีกสักหน่อย
ครั้งเดียว ครั้งเดียวก็พอ…
ครั้งเดียวไปเรื่อยๆ จนติดใจ
ภายในห้องหนังสือ
เยี่ยนอ๋องเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ อากาศกลับมาอบอุ่นอีกครา เตาผิงภายในห้องลุกโชติช่วงนัก อายุยังน้อยจึงใจร้อนอยู่มาก เขาเริ่มจะทนไม่ไหว ลุกขึ้นพึมพำว่า “อากาศนี่ พอบอกว่าร้อนก็ร้อนโดยพลัน…” เขาเดินไปริมหน้าต่าง ง้างไม้ค้ำให้สูงขึ้น แต่มือกลับชะงักกลางอากาศ เอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “พี่สาม ท่านดูสิว่าผู้ใดอยู่ด้านนอก”
[1] เก๋าจี้ โกจิเบอร์รี่