“พี่สะใภ้เจ้ามาหรือ” คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะลุกพรวดขึ้น
“พี่สามก็จำได้แต่พี่สะใภ้นั่นแหละ รีบมาดูนี่”
พอซย่าโหวซื่อถิงได้ยินว่ามิใช่นาง ความสนใจก็ลดลงไปกึ่งหนึ่ง ทิ้งสาส์นลงแล้วเดินไปยังริมหน้าต่าง มองไปตามสายตาของน้องแปด เห็นชายกระโปรงสีชมพูของสตรีนางหนึ่งโผล่ออกมาตรงประตูวงพระจันทร์ แม้จะหลบได้ไว แต่ก็ยังเดาได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
“คุณหนูตระกูลหานนางนี้ดูๆ แล้วบอบบางเหมือนพอลมพัดก็จะปลิวล้มเอาได้ แต่กลับใจกล้าบ้าบิ่นนัก นึกไม่ถึงว่าจะแอบมาถ้ำมองเยี่ยงนี้” เยี่ยนอ๋องตำหนิ พอหันกลับไปก็เห็นพี่สามกลับไปนั่งบนเก้าอี้แล้ว สีหน้าราวกับกำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่าง จึงเอ่ยขึ้นอย่างสบายๆ ว่า “อยากให้ข้าช่วยไล่ตะเพิดว่าที่สนมของพี่สามออกไปหรือไม่”
ซย่าโหวซื่อถิงเงียบไปครู่หนึ่งแววตาก็ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้ม “อยากให้เจ้าช่วย แต่มิใช่ไล่ตะเพิดไป”
“หืม?” เยี่ยนอ๋องมิเคยเห็นอีกฝ่ายยิ้มแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน ก็รู้สึกคอไม่ค่อยดี
“เจ้าช่วยข้าเอานางไป” กล่าวอย่างฉะฉาน
เยี่ยนอ๋องครุ่นคิดอยู่นานจึงได้เข้าใจความหมายในที่สุด เอ่ยเลี่ยงๆ ว่า “นั่นเป็นสนมของพี่ เสด็จพ่อทรงออกราชโองการมาแล้ว หากมิใช่เพราะกำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ป่านนี้คงได้เข้าจวนท่านมาแล้ว ข้าเป็นน้อง จะไปสวมหมวกเขียว[1]ให้พี่ชายได้อย่างได้! มิได้เด็ดขาด ข้าไม่ทำเรื่องไร้คุณธรรมเช่นนั้นแน่!”
รอยยิ้มจางหาย ฉินอ๋องสีหน้าเฉียบขาด “ข้ามิได้ปรึกษาเจ้า นี่เป็นคำสั่ง”
เยี่ยนอ๋องหาข้ออ้างมาเอ่ยอีกว่า “ผู้ใดไม่รู้บ้างว่านางจะเป็นจะตายเพราะท่าน ถึงขนาดไม่ยอมดูตัวกับใครหน้าไหนทั้งนั้น ซ้ำยังมาล้มป่วยลงอีก ในใจนางมีพี่สามอยู่เต็มอก ข้าจะไปสั่นคลอนตำแหน่งประดุจเทพของพี่ในใจนางได้อย่างไรกันเล่า”
“อนุญาตให้เจ้าทำชื่อเสียงข้าแปดเปื้อนต่อหน้านางได้”
เยี่ยนอ๋องสูดหายใจเข้าลึก “พี่สาม ท่านมันคนไร้หัวใจ! เพื่อความสบายใจของพี่สะใภ้ กระทั่งน้องชายของท่านก็ต้องมาพลีชีพเช่นนี้ ลำเอียงนัก!”
สาส์นม้วนหนึ่งกระแทกเข้ากลางอกเยี่ยนอ๋องอย่างจัง ซย่าโหวซื่อถิงกลับไม่ปฏิเสธ “รู้แล้วก็ดี”
เยี่ยนอ๋องโมโหโกรธา หยิบสาส์นนั้นขึ้นมา ยังคงอืดอาดอยู่ แต่กลับเห็นสีหน้าของเขาหนักแน่น “ยังจะนั่งทำอันใดอยู่อีก พักราชกิจของเจ้าไว้ก่อน เริ่มได้แล้ว ตอนนี้เลย”
บอกจะให้ทำก็ให้ทำเลยหรือ เยี่ยนอ๋องโยนสาส์นลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้น “ถึงเวลานั้นแม่นางหานตอแยจะอยู่กับข้า พี่สามก็อย่ามาว่าข้าไร้ยางอายก็แล้วกัน” กล่าวจบก็เชิดหน้าเดินออกไป
ทางด้านหานเซียงเซียงที่อยู่นอกประตูเรือน เห็นเงาเลือนรางสองร่างเดินมาใกล้หน้าต่างก็รีบหลบ รอจนเสียงเงียบไปจึงค่อยๆ เยี่ยมหน้าออกมา กำลังคิดจะมองไปทางหน้าต่างว่ายังมีคนอยู่หรือไม่ ก็ยืดคอชะเง้อจากประตู ตรงหน้ากลับเห็นเงาร่างหนึ่งขยับไหว คุณชายหล่อเหลาในอาภรณ์ม่วงมงกุฎทองยืนอยู่ตรงหน้า พินิจดูนางอยู่
แม้คุณชายท่านนั้นจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับตน แต่เพราะแขนขายืดยาว รูปร่างก็สูงกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันมาก
เป็นเยี่ยนอ๋อง หานเซียงเซียงเคยเห็นเขาในงานล่าสัตว์ คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้ ตกอกตกใจแทบแย่ นางถอยหลังไปสองสามก้าว เกรงว่าที่นางแอบดูคนข้างในคงเห็นได้อย่างชัดเจนแล้วเป็นแน่ ใบหน้านางขึ้นสีแดงกล่ำ อยากจะแก้ตัวแต่ก็ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวเช่นไรดี ตะกุกตะกักอยู่ครู่หนึ่ง กลัวว่าจะถูกฉินอ๋องมองว่านางทำท่าทำทางไม่เหมาะสม ขอบตาจึงพลันแดงกล่ำ
เยี่ยนอ๋องกลัดกลุ้มอยู่เล็กน้อย เอานางมาอย่างนั้นหรือ ยังมิทันจะได้พูดคุยอันใดก็ทำนางตกใจจนร้องไห้เสียแล้ว
เขาถอนหายใจ อย่างไรเสียก็ต้องเสร็จสิ้นภารกิจที่ได้รับมอบหมายมา จึงล้วงผ้าเช็ดหน้ายื่นให้นาง “เจ้าอย่าร้อง เป็นพี่สามที่รังแกเจ้าแท้ๆ ใครมาเห็นเข้าจะนึกว่าข้าเป็นคนรังแกเอาได้”
หานเซียงเซียงที่รักษามารยาทของสตรีอย่างเคร่งครัดมาแทบตลอด แม้จะทราบดีว่ามิควรรับผ้าเช็ดหน้าจากบุรุษ แต่แอบดูบุรุษที่ชอบก็ทำมาแล้ว ยังจะมาถือเรื่องอันใดอื่นอีก ถูกเยี่ยนอ๋องเห็นเรื่องหน้าอายเข้าแล้วจึงมิกล้าไม่รับไว้ คงต้องรับมันมา นางกลั้นน้ำตาไว้แล้วเอ่ยว่า “ฉินอ๋องมิได้รังแกหม่อมฉันเพคะ”
“เจ้าเป็นถึงธิดาของขุนน้ำขุนนาง เพื่อเขาแล้ว ละทิ้งภาพลักษณ์ทุกอย่าง แต่เขากลับไม่ออกมาทักทายเจ้าสักคำ นี่ยังไม่เรียกว่ารังแกอีกหรือ”
หานเซียงเซียงถูกพูดจนเจ็บปวดใจ “ฉินอ๋องทรงยังมิทราบถึงความดีงามของหม่อมฉันเพคะ”
เยี่ยนอ๋องหัวเราะออกมา “เจ้าจะบอกว่ารอเจ้าแต่งเข้าจวนอ๋องก่อน เขาก็จะทราบถึงความดีงามของเจ้าได้อย่างนั้นหรือ”
หานเซียงเซียงลังเลเล็กน้อย แต่กลับกลั้นน้ำตาไว้ “ต่อให้เวลาเพียงช่วงหนึ่งมิอาจทำได้ หม่อมฉันก็ยินดีรอ หนึ่งปีไม่ได้ หม่อมฉันก็จะรอสามปี สามปีห้าปียังไม่ได้ แปดปีสิบปีก็ยังจะมิได้รับน้ำจิตน้ำใจจากเขาอีกหรือ หัวใจคนทำดด้วยเลือดเนื้อ กาลเวลาเนิ่นนานเข้า ต่อให้เห็นหมาตัวเดียวก็รักใคร่เอ็นดูขึ้นมาได้ หม่อมฉันเป็นถึงสนมของพระองค์ ฉินอ๋องปฏิบัติต่อหม่อมฉันอย่างไรก็ไม่ถึงขนาดใจร้ายใจดำเพียงนั้น จะต้องค่อยๆ รู้ถึงข้อดีของหม่อมฉันได้แน่”
เยี่ยนอ๋องยกมือไพล่หลัง พยักหน้าเห็นด้วย “อืม รอฉินอ๋องคิดได้ว่ามีเจ้าอยู่ ยอมสมัครรักใคร่กับเจ้าแล้ว เจ้าก็คงกลายเป็นสนมเฒ่าตาฟางไปแล้ว แน่นอนว่านี่อยู่ในกรณีที่เจ้าแต่งเข้ามาแล้วมิได้มีสนมนางอื่นแต่งเข้าจวนมาเพิ่มอีก มิเช่นนั้นล่ะก็ พี่สามไหนเลยจะมีเวลาว่างมาหาเจ้า”
หานเซียงเซียงตกใจ ตัวเองจมอยู่ในห้วงฝันมาโดยตลอด คิดเพียงว่าขอแค่อดทนรอ เฝ้าทุ่มเทให้อยู่เงียบๆ อย่างไรก็ต้องเปลี่ยนใจให้เขามาโปรดปรานตนได้แน่ เยี่ยนอ๋องกลับพูดถึงความจริงอันน่าเวทนาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ภายในประโยคเดียว
นางรู้ดีว่ายามนี้ตัวนางไปแทรกกลางระหว่างฉินอ๋องกับอวิ๋นหว่านชิ่น บางทีนางอาจมีอนาคตที่โดดเดี่ยวและเงียบเหงาอย่างยาวไกล ประคับประคองให้นางเดินไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล ขอเพียงสักวันที่ฉินอ๋องจะโปรดปรานตน ทว่าคำพูดของเยี่ยนอ๋องกลับเอ่ยถึงสิ่งที่นางไม่เคยคิดถึงมาก่อน และมิกล้าไตร่ตรองถึงจุดบอดนั้น
สีหน้าเหม่อลอย ผ้าเช็ดหน้าเกือบจะร่วงลงจากมือ นานทีเดียว นางจึงตัวสั่นค้อมกายเล็กน้อย “ขอบพระทัยเยี่ยนอ๋องที่ตักเตือน แต่หม่อมฉันยังเชื่อว่าสวรรค์ต้องตอบแทนแก่ผู้ที่มีความเพียร วันนี้ทำเยี่ยนอ๋องได้ชมเรื่องตลกเข้าเสียแล้ว หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
ว่าอย่างไรนะ สวรรค์ต้องตอบแทนแก่ผู้ที่มีความเพียร คำคำนี้ใช้อย่างไรน่ะ เยี่ยนอ๋องคิดไม่ถึงว่าเพียงประโยคเดียวก็จะทำให้นางลามือไปได้ จึงโบกมือเบาๆ “อืม ไปเถิด”
หานเซียงเซียงกำลังจะหันกลับไปก็นึกอันใดขึ้นมาได้เสียก่อน สีหน้าพลันแดงกล่ำ ยื่นผ้าเช็ดหน้าในมือกลับไป “ขอบพระทัยเยี่ยนอ๋อง”
เยี่ยนอ๋องมองผ้าเช็ดหน้าแวบหนึ่ง “เจ้าจะคืนข้าทั้งอย่างนี้หรือ ทั้งน้ำมูกน้ำตา สรุปแล้วผ้าเช็ดหน้าข้าต้องคืนหรือไม่”
หานเซียงเซียงหน้ายิ่งแดง ทำมือเหมือนกำลังจับเผือกร้อน จะทิ้งก็มิใช่ ไม่ทิ้งก็มิใช่อีก ผ้าเช็ดหน้าขององค์ชายเป็นผ้าไหมปัดลายมังกรทองที่กรมสิ่งทอทำถวาย คงจะไม่บอกให้นางใช้เสร็จก็ทิ้งกระมัง จึงได้แต่แบกหน้าเอ่ยว่า “เพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันซักจนสะอาดแล้วจะนำมาคืนเยี่ยนอ๋อง” นางม้วนผ้าเช็ดนั้นผืนนั้น สอดไว้ในแขนเสื้อ เพราะเกรงว่าใครจะมาเห็นเข้า
เยี่ยนอ๋องจึงได้พอใจ “อืม”
พอหานเซียงเซียงจากไป เยี่ยนอ๋องก็เข้าไปในเรือนฮั่นม่ออีกครั้ง
มิไกลจากประตูวงพระจันทร์นัก มีเงาคนร่างหนึ่ง หลี่ว์ชีเอ๋อร์เดินออกมาจากหลังกำแพง วันนี้เห็นเยี่ยนอ๋องเสด็จมา นางจึงมารออยู่ที่ประตูเพื่อหาโอกาส คิดไม่ถึงว่าจะได้มาเห็นฉากนี้เข้าพอดี จนถึงตอนนี้ก็ยังเรียกสติกลับมาได้ไม่ครบ นางคงมิได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่ หานซื่อที่ใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก วิ่งมาแอบดูคนในใจนั่นก็พอจะให้อภัยได้อยู่หรอก แต่เหตุใดเยี่ยนอ๋องจึงได้ออกมาพูดคุยท่าทางสนิทสนมกับนางอยู่เสียนานสองนาน นึกไม่ถึงว่ายัง...มอบผ้าเช็ดหน้าให้นางด้วย
ผ้าเช็ดหน้าเป็นของที่บุรุษพกติดตัว ไม่ต่างอันใดกับของใช้ส่วนตัวของสตรี หากมิได้ปักใจด้วย จะมาให้สุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้ได้อย่างไร
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ใจเต้นดังกลองรัว ครุ่นคิดพลางเดินห่างจากเรือนฮั่นม่อมาไกล
ณ เรือนหลัก ชูซย่าวิ่งเหยาะๆ กลับไปเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนอกเรือนฮั่นม่อให้แก่อวิ๋นหว่านชิ่นฟัง
[1] สวมหมวกเขียว ผู้ชายคนหนึ่งที่ผู้หญิงของตัวเองนอกใจไปคบชู้กับผู้ชายคนอื่น ถ้าเป็นเช่นนั้นชายคนนี้ก็จะถูกเรียกว่า ถูกสวมหมวกสีเขียวให้ ซึ่งการที่ถูกคนสวมหมวกสีเขียวให้ถือเป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้า