นางยืนตะลึงอยู่หน้าประตู เหตุใดยังอยู่ที่จวนอีก วันนี้ไม่ว่าราชการหรือ
ขณะกำลังตกใจอยู่นั้นเอง ซือเหยาอันก็ยิ้มเดินเข้ามา “เหนียงเหนียงตื่นแล้วหรือ ม้าเร็วเตรียมพร้อมแล้ว ออกเดินได้เลยขอรับ ไปรับมื้อเช้าบนรถเถิด”
“ไปที่ใดหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นประหลาดใจ
“วันนี้องค์ชายสามลาหยุดหนึ่งวันเพื่อไปไท่โจวเป็นเพื่อนเหนียงเหนียงขอรับ” ซือเหยาอันยิ้มตอบ ขณะนั้นเองซย่าโหวซื่อถิงปรับลมหายใจ ลุกขึ้นเดินเข้ามารับเสื้อคลุมนกกระเรียนแล้วสวมไว้ “ไปกันเถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นตามออกจากจวนไปอย่างงุนงง เห็นบังเหียนคู่ของรถม้าคันใหญ่ ม้าตัวใหญ่สี่ตัวขายาวกีบกลม อ้วนพีแข็งแรง มองดูก็รู้ว่าเป็นม้าเร็วที่เหมาะแก่การเดินทางระยะทางที่ไม่ยาวนี้
ซือเหยาอันกับองครักษ์ของจวนสองสามนายก็ขึ้นควบขี่ม้าคนละตัว ขวบอยู่ด้านหน้ารถม้าคนหนึ่งด้านหลังคนหนึ่ง
รอเพียงขึ้นรถม้าเท่านั้น ล้อรถก็เคลื่อนเหยียบพื้นถนน อวิ๋นหว่านชิ่นเหมือนจะนึกเรื่องอันใดขึ้นมาได้ “ไปไท่โจวเพื่ออันใดหรือ ราชกิจของท่านมากมายเพียงนี้ ละทิ้งไว้เช่นนี้ได้หรือ”
เขายกมือเลิกม่านขึ้นเบาๆ ตาคมเจือด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเราก็รีบไปรีบกลับ”
เมืองหลวงอยู่ไม่ไกลจากไท่โจวเท่าใดนัก ใช้เส้นทางเล็กๆ เลือกทางลัด อีกทั้งม้าเร็วสี่ตัวจากแดนตะวันตกที่มีบังเหียนคู่ และยังมีองครักษ์คอยเปิดทางให้ ยามผ่านด่านจึงไม่ต้องหยุดตรวจ เร่งเดินทางในตอนที่ฟ้าสาง ยังมิทันจะเที่ยงก็ถึงแล้ว
เพลารถขับเคลื่อนตลอดโดยมิได้หยุด พอถึงสถานที่หนึ่งที่เงียบสงบจึงได้หยุดลง
อวิ๋นหว่านชิ่นลงรถมาก่อนอย่างอดมิได้ ตอนอยู่บนรถก็เดาได้แล้วว่าเขาจะพานางมาที่ใด แต่ยามนี้ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองกลับใจเต้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ นัยน์ตาขุ่นมัวเหมือนมีหมอกควันมาบังไว้
นี่เป็นสุสานบรรพชนของสกุลอวิ๋นที่อยู่ในไท่โจว และเป็นที่ฝังศพของมารดานาง
ซย่าโหวซื่อถิงลงรถตามมาทีหลัง ทำเพียงเอียงคอ “เอาของไหว้และธูปวางไว้ให้ฮูหยินอวิ๋น”
“พ่ะย่ะค่ะ” เหล่าองครักษ์เอาของไหว้สำหรับผู้วายชนลงมาจากรถ ถือด้วยความเคารพนอบน้อม เดินมาหยุดอยู่ข้างหลุมศพที่ได้รับการบูรณะอย่างฟุ่มเฟือย ค่อยๆ วางลงทีละอย่าง แล้วถอยไปยืนทางด้านข้าง
ท่านน้ารักท่านแม่มาก ออกค่าซ่อมบำรุงสุสานท่านแม่ให้ใหม่เอี่ยมมาจนถึงวันนี้ แต่คนในหลุมกลับกลายเป็นกระดูกไปนานแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นตื่นเต้นมาก นางเดินเข้าไปคุกเข่าลงบนเบาะนั่งทรงกลม มือถือธูป ก้มกราบลงไป พึมพำเงียบๆ สองสามประโยคก็ปักธูปลงบนกระถาง ไม่ยอมลุกขึ้นเสียทีเพราะอยากจะอยู่กับมารดาให้นานอีกสักหน่อย
ซย่าโหวซื่อถิงยืนอยู่ด้านข้างท่ามกลางองครัก์ที่ติดตาม มองแผ่นหลังนางอย่างเงียบๆ เห็นสองแม่ลูกอยู่ตามลำพังพอแล้ว จึงได้เดินเข้าไปหา ทรุดตัวลงคุกเข่าข้างๆ นาง
“องค์ชายสาม ทำเช่นนี้มิได้นะพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นายหนึ่งไม่ทันคาดคิดจึงเอ่ยเสียงเบาออกไป
ฉินอ๋องมาไหว้หลุมศพแม่ยายด้วยองค์เองมิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด มาแล้วก็นับว่าได้ทำสุดกำลังได้หน้าได้ตาไปเต็มที่แล้ว แต่คุกเข่ากราบไหว้เช่นนี้ไม่ค่อยจะเหมาะสมนัก เกรงว่าคนตายจะรับมิได้ อีกทั้งมารดาของพระชายานางนี้จากไปเร็วนัก มิได้เสวยสุขกับสามีและลูกสาว กระทั่งบรรดาศักดิ์ยังมิทันจะได้รับการแต่งตั้งเสียด้วยซ้ำ เป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดา
ซือเหยาอันขมวดคิ้วส่งเสียงปราม “เจ้าจะเคร่งครัดเกินไปแล้ว ท่านอ๋องกำลังเรียกความเอ็นดูจากแม่ยายอยู่ เจ้ามาเหลวไหลอันใดกัน”
เรียกความเอ็นดูจากแม่ยายอันใดกัน นี่มันเรียกความเอ็นดูจากเหนียงเหนียงชัดๆ ทุกคนจึงต่างพากันเงียบ
อวิ๋นหว่านชิ่นดึงชายเสื้อเขา กลับได้ยินคนข้างๆ ที่หันไปมองด้านหน้าพึมพำกับตัวเองว่า “วันนี้มาอย่างรีบร้อนนัก ลูกเขยคนนี้จึงมิได้เอาของกำนัลใหญ่โตอันใดมาด้วย มาเพียงแต่ตัว หวังว่าแม่ยายจะยังพอใจ ไม่รังเกียจกัน”
นางอดหัวเราะออกมามิได้ เห็นเขาชอบทำท่าทางสูงส่งเย็นชาและสีหน้าเฉียบขาดอย่างไร้การประดิษฐ์กับสามัญชน ไหนเลยจะรู้ได้ว่าเขาจะเอาอกเอาใจคนเป็น
อารมณ์ขุ่นมัวก่อนหน้าถูกขจัดไปจนสิ้น นางหันไปบีบแก้มเขา “แม่ข้าชอบคนหน้าตาดีเป็นที่สุด ไม่รังเกียจท่านหรอก”
ซี้ดดด เหล่าองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังเห็นการกระทำของพระชายาก็สูดปากกันเป็นแถว ซือเหยาอันก็ตกใจยกใหญ่
ตาคมของเขาเหลือบมองนาง “อยู่ต่อหน้าแม่ยาย จะไม่ถือสาสักครั้ง” เขาเอื้อมไปจับข้อมือเรียวนุ่มของนาง ลากเบาๆ แล้วพลิกมือไปจับมือนางไว้ พานางคำนับสามครั้งพร้อมกัน
เหมือนกับนางได้แต่งงานกับเขาอีกรอบต่อหน้าหลุมศพมารดา
นางดีใจไม่น้อย ฝ่ามือมีเหงื่อซึม กลับถูกฝ่ามือของเขาจับเอาไว้รอบ
หลังจากการเดินทางมายังสุสานได้สิ้นสุดลงก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว
ก่อนจะออกเดินทาง ทั้งคู่ก็ลุกขึ้น
อวิ๋นหว่านชิ่นมองป้ายหลุมศพหยกขาวที่เย็นเยียบ ใจเต้นตึกตัก โชคดีที่ตัวเองยังรู้จักกตัญญู นี่เรียกว่าลูกสาวกตัญญูหรือไม่ สนเพียงแต่ได้ระบายอารมณ์แทนมารดา ให้บิดากับสกุลไป๋นั่นมีชีวิตไม่สงบสุข แต่เพราะเหตุผลเหล่านี้จึงมิได้มาเยี่ยมมารดาเสียนานเพียงนี้
ทว่าบุรุษผู้นี้ที่นางคิดว่าเป็นคนทื่อๆ เย็นชาและไร้ความรู้สึกมาโดยตลอดจะเป็นคนพานางมาเอง
“แม่ ไว้ข้าจะมาใหม่นะเจ้าคะ” นางอาลัยอาวรณ์ ปลายจมูกเหมือนจะร้องไห้
เขาที่เดิมทีหนังตาเริ่มหย่อน ได้ยินนางพูดขึ้นจึงเอ่ยเสียงหนักแน่นว่า “อืม ใช่แล้ว”
นางที่เกือบจะร้องไห้ถูกท่าทางจริงจังของเขาทำเอาขำออกมา
ระหว่างทางกลับ ใกล้จะถึงเวลาห้ามออกจากเคหะสถานเข้ามาทุกที ม้าเร็วยิ่งควบขี่ไวขึ้นราวกับจะเหาะเพื่อผ่านเข้าประตูเมืองโดยไม่หยุดพักแม้แต่น้อย
อวิ๋นหว่านชิ่นเริ่มจะเหนื่อยล้า แต่อารมณ์กลับพออกพอใจเป็นพิเศษราวกับว่าเบาสบายไปทั่วทั้งร่าง
เดินทางกลับเยี่ยจิงด้วยความเร็วรี่ พอเข้าประตูเมืองมา ราตรีก็คืบคลานมาแล้ว
เมื่อรถหยุดลงหน้าประตูจวน เกาจ๋างสื่อและคนอื่นๆ ที่ทราบข่าวแล้วก็กำลังยืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตู
พอเห็นท่านอ๋องกับพระชายากลับมา เกาจ๋างสื่อก็เข้าไปหา “องค์ชายสามกับพระชายาลำบากแล้ว” สายตาไปตกอยู่ที่อวิ๋นหว่านชิ่น “เหนียงเหนียง คุณชายสวีมาขอรับ”
พี่ชายหรือ สวีมู่เจินเพราะได้ผูกมิตรกับไท่จื่อเอาไว้ หลังจากงานแต่งของนางก็มิได้มาที่จวนอีกเลย จะได้เจอหน้ากันสักคราก็ที่ร้านเซีงอิ๋งซิ่ว
“ท่านพี่มีธุระกับข้าหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยถาม
“คงเป็นเช่นนั้น มารอเหนียงเหนียงทั้งคืนเลยขอรับ” เกาจ๋างสื่อตอบ
ซย่าโหวซื่อถิงที่อยู่บนรถม้าได้ยินทั้งคู่คุยกันก็เอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าเข้าไปกันก่อนเถิด ข้าจะเข้าวังไปสะสางงานวันนี้”
อวิ๋นหว่านชิ่นหันไปมอง เงาด้านข้างของบุรุษในหน้าต่างรถม้าตระหง่านโดดเด่น น้ำเสียงเรียบนิ่ง
แต่นางรู้ว่าเขาหลบฉากไปเพื่อมิให้คนสงสัย เพราะพี่ชายไปมาหาสู่กับไท่จื่อมาโดยตลอด
ม่านปิดลง ล้อรถก็เคลื่อน รถม้ามุ่งตรงไปยังพระราชวัง อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก็หันหลังเดินเขาจวนไปอย่างรีบร้อน
ณ จวนอวิ๋น
ฉินอ๋องเห็นแก่ภรรยาจึงได้เก็บฎีการายงานเอาไว้ มิได้ทูลบอกฝ่าบาท เขาช่วยแก้ปัญหาเร่งด่วนนี้แก่อวิ๋นเสวียนฉั่ง แม้ว่าจะเบาใจลงได้บ้างแล้ว แต่ขั้นตอนต่อไป เงินก้อนใหญ่จะเติมให้เต็มได้อย่างไร นี่ทำให้เขาปวดหัวไม่น้อย
หากจะพูดถึงเงินที่เก็บสะสมมาในหลายปีมานี้ก็ยังพอจะได้อยู่บ้าง แต่สำหรับอวิ๋นเสวียนฉั่งนี่เป็นความเจ็บปวดเหมือนขูดเลือดขูดเนื้อตัวเอง เอาออกมาหมด ตระกูลอวิ๋นก็ไม่เหลืออันใดแล้ว ทว่าไม่ควักมาก็มิได้อีก ตำแหน่งขุนนางยังคงสำคัญที่สุดอยู่ดี
หลังจากขัดแย้งไปมา อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ทอดถอนใจเดินไปเดินมาอยู่ในโถงใหญ่ตลอดคืน รวมกับเรื่องรบกวนจิตใจอีกเรื่องก็ยิ่งไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวเข้าไปใหญ่
เมื่อวานเขาแอบให้ม่อไคไหลไปสืบหาสถานที่ที่เหลียนเหนียงจากไป สุดท้ายก็ยังอาลัยอาวรณ์ คิดอยากจะเอานางกลับมาในสักวัน
นึกไม่ถึงว่าพอม่อไคไหลไปสืบหาจึงได้ทราบว่าเหลียนเหนียงถูกลูกสาวส่งไปอยู่ที่ซ่อง สถานที่โสมมที่เหล่าพ่อค้าและบรรดาขุนนางไปหาความสุขสำราญอย่างเรือสำราญว่านชุน