จะว่าไป เป็นเพราะไป๋ซื่อแท้ๆ
สายตาอวิ๋นเสวียนฉั่งตกอยู่ที่นางพลางนึกถึงกำไรจากการปล่อยเงินกู้นอกระบบนั้นมากแค่ไหน ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ กำไรก้อนแรกที่พ่อค้าสร้างตัวจากมือเปล่าหรือกลายเป็นเศรษฐีเทียบเท่าประเทศมากมายในต้าซวนล้วนเริ่มต้นจากการปล่อยเงินกู้นอกระบบทั้งนั้น หากว่านางทำมาแล้วหลายปีจริง คงไม่ใช่แค่ธนบัตรใบเดียวแน่
ถ้าเช่นนั้น ไป๋ซื่อคนตรงหน้านี้ คงมองด้วยสายตาแบบเดิมไม่ได้อีก
ขณะนึกคิดสีหน้าก็พลางผ่อนคลาย ทว่าลูกอกตัญญูกำลังบีบบังคับให้ตนลงโทษไป๋ซื่อ ฮึ่ม คงต้องให้ลูกอกตัญญูลิ้มรสการผิดหวังบ้างล่ะ เดินเข้าไปกุมมือไป๋เสวี่ยฮุ่ยพลางเอ่ย “วันที่ภัยพิบัตมาเยือนตระกูลอวิ๋น เจ้าหาเงินมาช่วยบรรเทา ผลงานครั้งนี้ ไม่ว่าเจ้าเคยทำผิดใหญ่หลวงสิ่งใดมาก็สามารถลบล้างได้ทั้งหมด พรุ่งนี้ข้าจะแจ้งไคไหลกับอาเถาให้ย้ายเจ้ากลับเรือนตัวเองนะ”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรู้สึกดีใจ ความอัดอั้นที่สั่งสมมานานหายเป็นปลิดทิ้ง น้ำตาเอ่อล้นแต่แฝงด้วยความดีใจ “ขอบใจนายท่านที่เมตตาเจ้าค่ะ”
ถนนจิ้นเป่า ร้านเซียงหยิงซิ่ว ความนิยมของร้านยังไม่ถดถอย การค้าขายในวันนี้ยังดีเหมือนที่ผ่านมา
ลูกค้าที่เข้ามาออกไปแม้ไม่แน่นเอี้ยดเหมือนร้านน้ำชา แต่ก็มีผู้คนขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสาย
ป้าจู้สี่กับอาหลังทำหน้าที่ต้อนรับ และยังมีพนักงานรับจ้างระยะสั้นสองคนช่วยดูในร้านกับนอกร้าน หงเยียนยืนประจำหลังกุ้ยไถ[1] คอยดีดลูกคิดคิดจำนวนเงินดูแลบัญชี งานยุ่งจนสองแก้มแดงระเรื่อ ด้วยอากาศที่ร้อนขึ้นทุกวัน จึงได้พับแขนเสื้อขึ้นครึ่งหนึ่ง ทำให้เห็นสองแขนเนียนขาวกำลังเคลื่อนไหวกลางอากาศอย่างคล่องแคล่ว ใบหน้าที่เดี๋ยวดีใจเดี๋ยวกังวลกับเม็ดเหงื่อที่ซึมออกมาตรงหน้าผาก กลับเพิ่มความงดงามให้กับนางไม่น้อย
ทำงานจนเกือบถึงกลางวัน ในที่สุดงานก็เพลาลง เมื่อเห็นว่าไม่มีแขกแล้วหงเยียนจึงให้ป้าจู้สี่กับอาหลังไปกินข้าวกลางวันก่อน
อาหลังเอ่ยชมอย่างเสียงดัง “ไม่แปลกใจเลยว่านายห้างทำไมถึงเชื่อใจและชอบใจแม่นางหงเยียน หากใครได้แม่นางหงเยียนไปคงโชคดีนัก เวลาทำงานก็จะรับหน้าก่อนทุกครั้ง เวลากินข้าวกลับกินทีหลังทุกครั้ง แม่นางหงเยียน ทำงานมาครึ่งเช้าแล้ว แม่นางก็คงเหนื่อยเหมือนกัน หรือว่าวันนี้แม่นางไปกินข้าวก่อน เดี๋ยวข้าเฝ้าร้านให้เอง”
“พวกเจ้าไปกินก่อนเถิด ข้าขอจัดการบัญชีของสองวันนี้หน่อย อาหลังเจ้ารีบกินก็แล้วกัน กินเสร็จแล้วกลับมาเฝ้าร้านนะ ข้าอาจต้องไปบ้านสวนโย่วเสียนเสียหน่อย มีสินค้าหลายอย่างขายดีคงต้องรีบนำของมาเพิ่ม ข้าอยากไปบอกพ่อบ้านหูด้วยตัวเองถึงจะวางใจ” หงเยียนเอ่ยเร่ง
ป้าจู้สี่ส่ายหัวพลางยิ้มเอ็นดูและเสียดาย หันไปพูดกับอาหลัง “ไม่เพียงแต่โชคดีหากได้แม่นางหงเยียนไป หากใครได้แต่งงานกับหงเยียนละก็ คนๆ นั้นยิ่งโชคดีใหญ่ แต่เสียดายที่แม่นางหงเยียนของพวกเราทุ่มเทอยู่กับงานเพียงอย่างเดียว ใครทำสิ่งใดให้ ก็เหมือนมองไม่เห็น…น่าเสียดายช่วงเวลาของวัยนี้นัก”
หงเยียนปิดสมุดบัญชี ริมฝีปากสีแดงกระดกขึ้น เดินไปหาป้าจู้สี่และผลักนางเข้าไปยังด้านใน “วันนี้ป้าสี่พูดมากเสียจริง รีบเข้าไปกินข้าวได้แล้วเจ้าค่ะ ข้ายังรอพวกเจ้ากินข้าวเสร็จมาช่วยข้านะ ไม่ได้การล่ะ ครั้งหน้าถ้านายห้างมาที่นี่ คงต้องแจ้งสักหน่อย ดูจากสถานการณ์แล้วคงต้องจ้างพนักงานประจำสักสองคน”
ป้าจู้สี่รู้ว่านางพยายามเปลี่ยนเรื่อง ถ้าในวันปกติก็คงปล่อยมันผ่านไป แต่ครั้งนี้คงไม่ตามใจนางอีก หากไม่พูดเดี๋ยวนี้อาจจะสายไป นางจึงจับมือนางไว้และหันไปพูดกับอาหลังด้วยเสียงทุ้มเข้ม “เสี่ยวไจ๋จื่อ[2] เข้าไปก่อน”
อาหลังเข้าใจดีว่าป้าจู้สี่ต้องการพูดซุบซิบกับแม่นางหงเยียน จึงเชื่อฟังเดินเข้าไป
“หงเยียน” ป้าจู้สี่มองด้วยสายตารักใคร่เอ็นดูและปะปนด้วยความรู้สึกผิด จู่ๆ นัยน์ตาแดงก่ำ “หลานชายที่ตกนรกอเวจีของข้าทำลายความบริสุทธิ์ของเจ้า แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้หญิง มองทุกสิ่งทะลุปลอดโปร่ง แต่ท้ายที่สุดก็ควรเป็นฝั่งเป็นฝา เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว หรือว่าเจ้าคิดจะอยู่คนเดียวแบบนี้ไปทั้งชีวิตจริงๆ หรือ คุณชายตระกูลสวี่คนนั้น เห็นชัดแจ้งว่าจะยกตำแหน่งให้กับเจ้า…เจ้ากลับผลักไสเขาครั้งแล้วครั้งเล่า พอมาวันนี้ คุณชายสวี่จะออกเรือนแล้ว วันที่เขามาถึงที่นี่ เขาจะยกเลิกงานแต่งครั้งนี้เพื่อเจ้า แต่เจ้ากลับไม่เก็บใส่ใจและไล่ตะเพิด เจ้าหลอกนายห้างได้ แต่ข้าคือคนที่อยู่กับเจ้าทุกวัน เจ้าหลอกข้าไม่ได้ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะแล้งน้ำใจกับคุณชายสวี่และไม่อยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์เหมือนหญิงอื่น หงเยียน เจ้าทำเช่นนี้เจ้ากำลังทำให้ข้ารู้สึกแย่อยู่นะ วัยของเจ้าตอนนี้กำลังดี เกิดในตระกูลมิได้แย่กว่าผู้อื่น วันนี้ทั้งพ่อและพี่ชายเจ้าก็ปลอดความผิด ชื่อเสียงตระกูลก็ดีขึ้นแล้ว เจ้ากลายเป็นหญิงสาวสกุลดี หรือว่าเจ้ายอมใช้ชีวิตลำบากเช่นนี้ไปตลอดจริงหรือ”
หงเยียนขยับมือที่ถูกป้าจู่สี่กุมไว้เบาๆ พลางยิ้ม “ทุกวันนี้ที่ข้าได้ดูแลร้านค้า ข้ารู้สึกสบายใจกับการใช้ชีวิตแบบนี้มาก การใช้ชีวิตเพียงลำพังตลอดชีวิต ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีเสียหน่อย ใครกันหรือที่บอกหญิงสาวจะต้องออกเรือนเท่านั้น ข้าอยู่แบบนี้คนเดียว ข้าไม่มีทางหิวตายแน่ มีคุณหนูกับพวกเจ้าอยู่เป็นเพื่อน ชีวิตข้าก็คึกคักดีนี่” ชะงักครู่หนึ่งพลางถอนหายใจ แต่รอยยิ้มยังคงไม่จางหาย “การที่เขาปฏิเสธงานแต่ง เขาทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ หาได้คิดถึงผลที่ตามมาทีหลังไม่ แล้วท่านพ่อของเขาจะยอมรึ ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกตัวเองหรอกนะ แต่ก็เพราะข้ามั่นใจในตัวเอง ข้าถึงคิดว่าข้าอยู่กับเขาไม่ได้แน่ ข้าเป็นคนหัวรั้น ให้ข้าไปเป็นอนุภรรยาคอยปรนนิบัตรรับใช้ ข้ายอมอยู่คนเดียวยังดีเสียกว่า แล้วคนอย่างเช่นข้า…ตระกูลสวี่จะยอมให้เป็นเมียเขาได้อย่างไรกัน แม้ว่าตอนนี้ทุกอย่างจะดีขึ้นแล้วก็เถอะ แต่อดีตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถลบออกได้ ข้าได้ยินว่าไท่จื่อได้เตรียมยศและตำแหน่งให้กับเขาแล้ว และจะได้รับตำแหน่งทันทีหลังจากแต่งงานเสร็จ ภรรยาของเขาหลัวซื่อมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสมาชิกในราชวงศ์ ซึ่งเป็นตัวช่วยผลักดันต่ออนาคตของเขาได้พอดี เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีต่อทุกฝ่าย ทว่าข้าแทรกเข้าไปตอนนี้ คงมีแต่จะทำให้ทุกคนรู้สึกไม่สบายใจ ตัวข้าเองก็เช่นกัน สู้แยกทางกันอย่างสุขใจทุกฝ่ายยังดีเสียกว่า”
ป้าจู้สี่มิรู้จะตอบโต้อย่างไรอีก กำลังจะเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง กลับมีเสียงจากด้านนอกขัดขึ้นมาแทน “ครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้าข้าให้เจ้าดูแลเรื่องภายนอกให้กับข้า นั่นเป็นเพราะข้าเห็นว่าเจ้ามีความสามารถ ตอนนี้เจ้ากลับกลัวหัวหด ข้ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย”
ป้าจู้สี่หันตามเสียงพร้อมขานเรียก “ต้ากูเหนียง”
ภายในร้าน พนักงานรับจ้างระยะสั้นอีกสองคนที่อยู่ด้านข้างเคยพบนายห้างผู้นี้เช่นกัน พวกเขาจึงเรียกขานตามคนอื่นๆ ในร้านว่า “ต้ากูเหนียง”
หมวกผ้าโปร่งปิดบังใบหน้าบางส่วน สวมชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้มแนบลำตัว ทำให้กริยาท่าทางดูงามสง่า ผมทรงมวยเดี่ยวปักปิ่นหยกแนวเฉียงเพียงหนึ่งก้าน แต่งตัวราวกับสาวรับใช้ในหญิงตระกูลเศรษฐี
ความเรียบง่ายรอบลำตัวกลับยิ่งทำให้ความหม่นหมองบนใบหน้ายิ่งชัดเจน
อวิ๋นหว่านชิ่นให้สัญญาณกับคนอื่นว่าให้กินข้าวต่อ ส่วนตนนั้นเดินเข้าไปหาหงเยียน
หงเยียนเห็นว่านางได้ยินในสิ่งที่ตนพูดกับป้าจู้สี่ นัยน์ตาเผยความไม่เข้าใจออกมา “หงเยียนมั่นใจว่าดูแลร้านได้ดี มิรู้ว่าทำสิ่งใดผิดถึงขั้นทำให้ต้ากูเหนียงไม่พอใจ”
ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนนั้นผิดหวังเพราะเรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงรู้สึกโมโหมากแต่กลับหัวเราะออกมา “สูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ข้าจึงไม่พอใจ โอกาสอยู่ตรงหน้า แต่ไม่กล้าแม้เพียงลอง นี่มันไม่เหมือนเจ้าในวันวานเลยนะ”
หงเยียรู้ดีว่านางกำลังยั่วยุ จึงขมวดคิ้ว “เขาเป็นคนเชิญต้ากูเหนียงมาหรือเจ้าคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้ตอบแต่จับมือนางขึ้นมาอย่างแผ่วเบา “เจ้าบอกว่าเขาอารมณ์ชั่ววูบ ข้าเชื่อ คนอย่างเขา ข้าก็เพิ่งพบเจอเป็นครั้งแรก พี่ชายของข้าคนนี้ ประพฤติตัวเหลวไหลแต่เด็กจนเคยตัว เหมือนคนที่มีไฟลนก้น ให้เขาไปตายเขาก็ทำไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นเขาใส่ใจกับใครกับเรื่องไหนเท่าครั้งนี้มาก่อน ไท่จื่อมีความสัมพันธ์อันดีกับเขา ในเร็วๆ นี้ก็จะย้ายเขาเข้าไปทำงานในจวนจันซื่อ เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจก่อให้เกิดความสงสัย จึงไม่เคยคิดเข้าจวนฉินอ๋องเลยสักครั้ง แต่เมื่อวันก่อน เขานั่งรอข้าดั่งคนโง่เขลาทั้งคืน เพียงเพื่อรอพบข้าให้ข้ามาเกลี้ยกล่อมเจ้า สมองคงมีปัญหาจริงๆ”
…………………………………………………………………………………
[1] กุ้ยไถ หมายถึง เคาท์เตอร์ชำระเงิน
[2] เสี่ยวไจ๋จื่อ หมายถึง ลูกสัตว์ ส่วนมากใช้กับคำด่าคน แต่ในที่นี้ไม่ได้ด่า เป็นเพียงการเรียกขานเท่านั้น