แม้ว่าเป็นการพูดกับอวิ๋นหว่านชิ่น แต่ก็เหมือนพูดให้สวี่มู่เจินได้ยิน
สวี่เจ๋อเทาหันมองลูกชายพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ปนด้วยความเสียใจ “อีกอย่าง คุณหนูหานทำผิดตรงไหน ถึงต้องถูกเจ้ายกเลิกงานแต่งโดยที่ยังมิได้ทำสิ่งใดเช่นนี้ เจ้าจะให้นางใช้ชีวิตต่ออไปนี้อย่างไร ถูกฝ่ายชายปฏิเสธงานแต่ง ชื่อเสียงจะต้องได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย แล้วหลังจากนี้ขอเพียงมีฐานะดีเล็กน้อยก็คงไม่มีใครพิจารณาถึงนางอีก เจ้าสบายใจแบบนี้ใช่หรือไม่ ท่านลุงตระกูลหลัวดีกับเจ้าเสมอมา เจ้าทนทำร้ายบุตรสาวของเขาได้ลงคอเชียวหรือ จะเป็นคนก็ไม่ควรเป็นคนแล้งน้ำใจถึงเพียงนี้กระมัง!”
เสียงเอ่ยยังคงดังสะท้อนไปทั่วห้อง
สวี่มู่เจินนิ่งเงียบคุกเข่าอยู่กับพื้น ในดวงตามีคลื่นน้ำกำลังขยับ คล้ายว่ากำลังสับสนวุ่นวาย
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกสงสารเช่นกันและไม่พูดสิ่งใดต่อ ความแตกต่างระหว่างหงเยียนกับสวี่มู่เจิน เป็นสิ่งที่ทำให้ท่านอามิอาจก้าวข้ามไปได้ ในเวลาเพียงครู่เดียวก็ยากที่จะคิดตก ก็เท่านั้น ดูๆ แล้วท่านอาให้ความสำคัญกับเรื่องความสัมพันธ์อันดีของหลายชั่วคนเป็นอย่างมาก การที่ให้เขาเป็นฝ่ายยกเลิกงานแต่ง ตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลหลัว ก็ยิ่งยากเข้าไปกันใหญ่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หากจะหาวิธีที่ดีต่อทุกๆ ฝ่าย มันช่างยากเหลือเกิน
เมื่อเห็นนายท่านกำลังจะเดินไป พ่อบ้านตระกูลสวี่ออกเสียงเตือนเบาๆ “…นายท่าน จะให้พาคุณชายเข้าไปในห้องหรือไม่…”
“ไม่ต้องแล้ว! ถ้ามันตัดสินใจหนีตามกันไป ข้าขวางวันนี้ได้ แต่ก็ขวางวันพรุ่งนี้ไม่ได้ แล้วแต่มันเถอะ!” พูดเสร็จ สวี่เจ๋อเทาสะบัดเสื้อเดินจากไป เห็นชัดแล้วว่าเขาตัดสินใจเรื่องนี้ไปแล้ว แม้ฟ้าจะผ่าก็มิอาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้อีก
ทันใดนั้น สวี่มู่เจินทนต่อไปไม่ไหว โค้งตัวลง
หงเยียนตระหนกตกใจเดินเข้าไปหา เห็นเพียงก้อนเลือดที่เลอะบนพรม จึงตะโกนออกไป “คุณชายสวี่…”
อวิ๋นหว่านชิ่นถึงได้รู้ว่าพี่ชายถูกท่านอาทุบตีจนเลือดออก จึงออกคำสั่ง “พาคุณชายเข้าไปด้านใน ไปเชิญหมอมา”
บ่าวรับใช้ในตระกูลสวี่วิ่งออกไปทันที มีบ่าวรับใช้อีกสองคนเข้ามาพยุงสวี่มู่เจินไว้
สวี่มู่เจินอิงอยู่บนตัวบ่าวรัวใช้ ตบที่มือหงเยียนแปะๆ “ข้าไม่เป็นไร” เสียงเอ่ยอ่อนแรงถึงขีดสูงสุด
หงเยียนกลัวเป็นส่งผลกระทบต่อแผลของสวี่มู่เจินจึงไม่พูดสิ่งใดต่อ มองสวี่มู่เจินหนึ่งที หยุดร้องไห้พลางเอ่ย “คุณชายรักษาแผลก่อน อย่าทะเลาะกับนายท่านอีกนะเจ้าคะ”
สวี่มู่เจินยิ้มผงกหัวหงึกๆ มองตามแผ่นหลังหงเยียนที่ก้าวข้ามประตูออกไปจนพ้นสายตา แล้วรอยยิ้มก็หายไป สีหน้าก็หมองลงทันที มือที่ซ่อนอยู่ด้านในแขนเสื้อกำแน่น
“ท่านพี่” อวิ๋นหว่านชิ่นปริปากอยากถามว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป
เขายกมือขึ้นด้วยความฝืนแล้วปัดมือไปมา หมายความว่าไม่ต้องพูดสิ่งใดอีก จากนั้นร่างที่อิงอยู่บนตัวของบ่าวรับใช้ก็ไอขึ้นสองสามทีแล้วก็เดินออกจากห้องไป
เมื่อกลับถึงร้านเซียงหยิงซิ่ว หลายวันผ่านไปหงเยียนรู้สึกว้าวุ่นใจทุกวัน
อยากจะรู้ว่าอาการบาดเจ็บของสวี่มู่เจินเป็นอย่างไร แต่หลายวันนี้อวิ๋นหว่านชิ่นก็แทบจะไม่มาที่ร้านเซียงหยิงซิ่วเลย อยากจะไปจวนสวี่แต่ก็กลัวจะทำให้นายท่านไม่พึงพอใจ แล้วลงไม้ลงมือกับสวี่มู่เจินมากกว่าเดิม
ทำได้เพียงบอกกับตัวเองว่า ไม่มีข่าวก็คือข่าวที่ดีที่สุด หากอาการสาหัสจริง อวิ๋นหว่านชิ่นอาจมาแจ้งแล้ว
ความเป็นห่วงเพิ่งถูกเก็บ คำพูดนายท่านสวี่ที่ได้ยินก่อนจากไปก็ดังขึ้นในหัวอีกครา เวลาทำงานใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ป้าจู้สี่รู้ว่าวันนั้นหงเยียนเดินทางไปที่เรือนสวี่ น่าจะหงายไพ่ขอความเห็นใจกับนายท่านสวี่พร้อมกับคุณชายสวี่ ในวันนั้นสภาพของนางหลังกลับมา ดูออกชัดเจนว่าคงพบเจอความไม่ยุติธรรมมาไม่น้อย
ซึ่งก็ไม่น่าแปลก ถามใจตัวเองดูเถิด มีพ่อและแม่บ้านไหนยอมให้ลูกชายแต่งกับหญิงที่เคยเป็นโสเภณีมาก่อน
หลายวันผ่านไป นางไม่พูดไม่จา ป้าจู้สี่เห็นแล้วรู้สึกสงสารมาก แต่ก็ไม่รู้จะเข้าไปปลอบอย่างไร
เที่ยงวันของวันนี้ ลูกค้าเข้าออกร้านไม่มาก หงเยียนรู้ว่าพ่อบ้านหูจะให้คนส่งของมาที่ร้าน จึงให้ป้าจู้สี่กับอาหลังและคนอื่นไปกินข้าวด้านหลังก่อน ส่วนตนอยู่คอยรับของเหมือนทุกครั้ง
ป้าจู้สี่เห็นนางซูบผอมชัดเจนภายในไม่กี่วันก็อดไม่ได้ จึงเดินเข้าไปปิดสมุดบันทึกและแย่งลูกคิดพลางเอ่ย “เจ้าไปกินก่อน ข้าเฝ้าร้านให้เอง”
หงเยียนรู้ว่าป้าจู้สงสารตน จึงไม่แย่งกลับมาเหมือนเมื่อก่อนพลางยิ้ม “เจ้าค่ะ”
ป้าจู้สี่มองหน้าจัดเก็บสมุดบันทึกเสร็จกำลังเตรียมตัวไปกินข้าวก็รู้สึกโล่งอก ตอนนั้น มีหญิงออกเรือนหลายคนเดินเข้ามา มีหญิงสองคนถือตะกร้าอาหารปิดผนึก
ป้าจู้สี่เดินเข้าไปต้อนรับ หญิงออกเรือนคนตรงกลางรูปร่างท้วมเล็กน้อยเอ่ยถาม “ใครคือผู้ดูแลร้านหรือ”
หงเยียนหยุดย่ำเท้าและเดินเข้าไปหาพลางยิ้มตอบ “ข้าคือผู้ดูแลร้านเจ้าค่ะ พวกท่านต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
หญิงออกเรือนหลายคนสบตาซึ่งกันและกัน คนที่รูปร่างท้วมขมวดคิ้วพลางถาม “เจ้าแซ่หงใช่หรือไม่”
หงเยียนงงงวยพยักหน้า หญิงออกเรือนตรงหน้าเปิดตะกร้าอาหารออก หยิบสิ่งของสีเขียวเหลืองออกมากระหน่ำโยนใส่นาง
“ไม่ดูสารรูปเลยหรืออย่างไร ถึงกล้าไปยั่วคุณชายตระกูลดีมีฐานะ——” คำด่าทอพ่นออกพร้อมน้ำลาย
“รู้ตัวซะบ้าง!” ทั้งผักและไข่ถูกโยนมากระหน่ำ
หงเยียนทำตัวไม่ถูก ถูกของพวกนั้นโยนใส่เต็มๆ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยคราบขาวของไข่ไก่ แทบดูไม่ได้
ป้าจู้สี่ตกใจหน้าเสีย อาหลังกับพนักงานรับจ้างก็ตกใจไม่แพ้กัน จึงพากันเข้ามาช่วยกั้นไว้ “นี่พวกท่านทำสิ่งใดลงไป ยังรู้จักกฎหมายอยู่หรือไม่!”
“กฎหมายงั้นรึ นังโสเภณีนี่ ยั่วยวนลูกชายในตระกูลบริสุทธิ์ สร้างความไม่เป็นสุขแก่บ้านเรือนผู้อื่น พวกข้ามาเตือนนางให้มีไหวพริบมากกว่านี้ต่างหากเล่า!” ——หญิงออกเรือนคนหนึ่งกล่าวด้วยความโมโห
“ยังจะกล้าเสนอตัวขอเป็นลูกสะใภ้ตระกูลสวี่! ช่างหน้าด้านสิ้นดี! ทำให้พ่อลูกผิดใจกัน ขัดขวางอนาคตของคุณชาย ยังจะกล้าทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอีก! ถ้ายังกล้าไปวุ่นวายกับคุณชายสวี่ พวกข้าจะมาเตือนสติเจ้าที่นี่ทุกวัน!”
เพี้ยะ ไข่ไก่อีกหนึ่งฟองถูกขว้างออกไป
พื้นที่ร้านค้าไม่ใหญ่แล้วยังเป็นระยะใกล้ อยากหลบก็หลบไม่ได้ ยามเมื่อหัวถูกของเหล่าโยนเข้าใส่จนมึนไปหมด แรงโจมตีเหล่านั้นก็พลางทำให้หงเยียนถึงกับเซไปด้านหลัง ผมเผ้าหลุดลุ่ยกระเซิงแต่กลับไม่โต้กลับ เพียงยืนให้ตรงแล้วเงยหน้าขึ้นมองหญิงออกเรือนพวกนั้นด้วยสายตาเย็นชา
เวลากลางวันแขกมีไม่มาก แต่ก็หนีไม่พ้นกลายเป็นเรื่องจนดึงดูดให้พ่อค้าร้านข้างๆ มาสอดส่องดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
ทุกคนรู้จักเจ้าของร้านเซียงหยิงซิ่วอยู่แล้ว ปกติก็ไม่มีใครกล้าวิจารณ์ว่าคนอื่นในทางลบ ด้วยเหตุผลเพราะแม่นางหงเยียนเป็นคนกระฉับกระเฉง ใจกว้าง เป็นมิตร ทุกคนต่างชมชอบ แม้ว่าเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีนัก แต่ก็ไม่อาจฝืนทนพูดจาเสียดสี อีกอย่าง ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการว่าตระกูลหงมีความเที่ยงแห่งนาม อีกทั้งยังประทานป้ายเกียรติคุณให้ ก็ยิ่งพูดมิได้
แต่เรื่องที่ว่ายั่วยวนคุณชายตระกูลอื่น…ก็เป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่าเท่าไหร่นัก
สายตาของคนที่มาสอดส่องเริ่มสลับซับซ้อน
“โสเภณีอะไรกัน! เจ้าน่ะสิโสเภณี!” อาหลังด้วยความอายุน้อยจึงควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ พุ่งเข้าไปคว้ามือหญิงออกเรือนคนนั้นเอาไว้ แล้วกัดเข้าไปเต็มๆ
“โอ้ย——ช่วยด้วย คนรับใช้ของโสเภณีกัดคน!” หญิงออกเรือนร้องโอยอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็ผลักอาหลังออก