อาหลังตั้งตัวไม่ทันจึงถอยไปชนกับโต๊ะด้านหลังดังตุบ ท้ายทอยฟาดเข้าไปเต็มๆ รู้สึกมึนจนลุกแทบไม่ขึ้น
ป้าจู้สี่ตระหนกตกใจจึงรีบเข้าไปพยุงไว้ พอลองจับที่ท้ายทอยก็พบว่ามีก้อนกลมใหญ่บวมเป่ง
หงเยียนเห็นเลยเดินเข้าไปคว้ามือหญิงออกเรือนคนหนึ่ง หญิงออกเรือนคนนั้นยังไม่ทันโอดร้องก็ถูกหงเยียนโยนออกหน้าร้านไปพร้อมกับตะกร้า คนที่มุงดูพวกนั้นก็เกือบโดนลูกหลงไปด้วย เมื่อเห็นหงเยียนเริ่มโมโหจึงรีบถอยห่างกันหลายก้าว
หญิงออกเรือนร่างท้วมที่เป็นคนเริ่มก่อเรื่องดึงแขนเสื้อลงพร้อมเขม่นตาใส่ “กล้าลงมือกับพวกข้างั้นรึ! เหิมเกริมใหญ่แล้วนะ!”
หญิงออกเรือนหลายคนพากันพุ่งเข้ามา หงเยียนจึงได้หยิบไม้ค้ำประตูแท่งยาวออกมาฟาดใส่ “ใครกล้าเข้ามาอีก!”
หญิงออกเรือนหลายคนนึกขึ้นได้ว่าหงเยียนเคยเรียนศิลปะป้องกันตัว จึงได้ถอยห่างจากร้านอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่วายยืนด่าทออยู่ตรงหน้าร้าน ตอนนั้น บริเวณไม่ไกล มีชายหนุ่มผลักบ่าวรับใช้ที่พยุงตัวเองออกและเริ่มเดินเร็ว “ยังไม่ถอยไปอีก!”
“ท่าน…ชาย” หญิงออกเรือนหลายคนเห็นมีคนมา ก็พากันกลัวตัวสั่นงันงก
หงเยียนกอดแท่งไม้ยืนอยู่ตรงหน้าประตู พอมองออกไปก็เห็นเป็นสวี่มู่เจินที่หน้าตาซีดขาวไร้เลือด คล้ายว่าอาการบาดเจ็บยังมิหายดี เขายิ้มอย่างเย็นชาพลางเอ่ย “พวกเจ้าเกรงกลัวแต่พ่อข้าใช่หรือไม่ ถ้าใครกล้ามาเหยียบที่นี่อีก กลับไป ข้าจะตีขาให้หักและประกาศขายไล่ออกจากจวน”
หญิงพวกนั้นซุบซิบอยู่หลายประโยคแล้วจึงพากันเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
บ่าวรับใช้สองคนเห็นท่านชายสีหน้าไม่สู้ดีจึงขับไล่พวกที่มุงดูอยู่ข้างๆ “ไปๆๆ จะดูสิ่งใดอีก ชอบดูเรื่องแบบนี้ก็กลับไปดูเมียของตัวเองซะ”
พวกคนที่มุงดูถุยน้ำลายจากนั้นพากันเดินจากไป
ป้าจู้สี่เข้าใจทันที ที่แท้พวกผู้หญิงโหดร้ายนั่นเป็นบ่าวรับใช้ในเรือนสวี่นี่เอง ดูๆ แล้วนายท่านสวี่เป็นคนสั่งให้พวกนั้นมาทำลายความต้องการของหงเยียน ถึงว่าหงเยียนอดทนอดกลั้นมิยอมสู้
สวี่มู่เจินหันหลังกลับไป เห็นหงเยียนยืนอยู่ด้านหลังประตู ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ทั่วเรือนร่างเปียกปอนเหนอะหนะ กำลังกอดแท่งไม้เอาไว้ ใบหน้านอกจากมีคราบสกปรกแล้ว ยังมีรอยช้ำอีกหลายจุด แต่ท่าทางเหมือนไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด
เขารู้สึกเจ็บปวดแทน พยายามพยุงร่างตัวเองและเดินเข้าไปคว้านางไว้ จากนั้นก็พาไปยังลานกว้างด้านหลังร้าน
ภายในลานกว้าง ป้าจู้สี่นำน้ำอุ่นมาให้ กำลังจะเช็ดทำความสะอาดให้หงเยียน แต่ท่านชายสวี่ส่งสายตาให้หนึ่งทีก็เข้าใจทันที จึงได้วางกะละมังลงและเดินออกไป
สวี่มู่เจินนำผ้าชุบน้ำบิดน้ำออกหมาดๆ จากนั้นปัดผมออกและเริ่มเช็ดหน้าให้นางทีละเล็กทีละน้อย เมื่อคราบสกปรกเช็ดออกหมดแล้ว จึงทำให้เห็นรอยฟกช้ำตรงจมูกกับหน้าผากชัดขึ้น เขาถึงกับชะงัก จากนั้นฝืนยิ้มพลางเอ่ยถาม “เจ็บไหม”
หงเยียนได้สติจึงหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดเองพลางตอบ “ไม่เจ็บเจ้าค่ะ”
แต่พอผ้าเช็ดหน้าสัมผัสรอยแผล มือของนางนั้นก็สั่นหงึกๆ คิ้วของนางก็ขมวดย่น
สวี่มู่เจินกะพริบตาแล้วไอค่อกแค่กสองสามที จากนั้นหันหลังกลับและออกคำสั่ง “ไปซื้อยาแก้ฟกช้ำมาหน่อย”
“ขอรับ ท่านชาย” บ่าวรับใช้ด้านนอกน้อมรับคำสั่ง
หงเยียนเห็นเขาไอ เลยวางผ้าขนหนูลงแล้วเอ่ยถาม “อาการของท่านเป็นอย่างไรบ้าง” นางยื่นมือลองแตะที่หน้าอกของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา
“ไม่เป็นไรแล้ว พักผ่อนไปสองสามวันดีขึ้นมากแล้วล่ะ” สวี่มู่เจินหลบสายตา จับข้อมือนางไว้
นางดึงมือกลับมาโดยมิให้คนตรงข้ามรู้สึกตัว
สวี่มู่เจินสัมผัสได้ว่านางพยายามหลบ แต่ก็ทำเหมือนไม่รู้สึกตัว เอ่ยกล่าวพร้อมยิ้มอ่อน “เจ้าวางใจเถิด พวกเขาไม่กล้ามาอีกแล้วล่ะ”
หงเยียนเงยหน้าขึ้น เขายิ้มอย่างอ่อนหวานเป็นธรรมชาติ เหมือนเมื่อก่อนไม่มีเปลี่ยน ชายหนุ่มเช่นนี้เขามีชีวิตในแบบของเขา
เดิมทีคิดว่าตราบใดที่ต่อสู้เพื่อสิ่งนั้น สุดท้ายก็จะได้รับสิ่งนั้นมาเอง แต่ความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
อวิ๋นหว่านชิ่นผิดหวังในตัวนาง บอกว่านางไม่กล้าแม้แต่จะสู้
วันนี้ นางได้ต่อสู้แล้ว แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่นางก็ไม่เสียใจ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
หลายวันมานี้ นางตัดสินใจอย่างงุนงง ความคิดก็กระจัดกระจาย ถึงเวลาให้ความคิดรวมเป็นหนึ่งแล้ว นางเอ่ยอย่างแผ่วเบา “เรื่องของเราสองคน ควรจบได้แล้ว”
สวี่มู่เจินไม่แปลกใจที่นางพูดออกมาเช่นนี้ มุมปากขยับขึ้นยิ้มแทน “เจ้าจะยอมแพ้แล้วใช่ไหม”
หงเยียนไม่รู้จะตอบอย่างไร
“เจ้าพูดเองมิใช่รึว่าจะดูแลข้าตลอดชีวิต” นัยน์ตาเริ่มเศร้าหมอง
หงเยียนก้มหน้าลง
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง สวี่มู่เจินยืนขึ้น พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ “เจ้าพูดถูก เรื่องนี้ควรจบได้แล้ว”
หงเยียนเงยหน้าขึ้นอีกทีก็พบว่าเขาได้เดินออกจากร้านเซียงหยิงซิ่วไปแล้ว
อาการบาดเจ็บของสวี่มู่เจินไม่เป็นอะไรมากแล้ว ดีขึ้นทุกวัน เพียงแต่ฝั่งท่านอายังไม่ยอมใจอ่อน ภายหลัง แม้แต่ชูซย่าไปถึงหน้าประตูแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมให้พบ นั่นหมายความว่าจะไม่ยอมฟังคำเกลี้ยกล่อมของหลานสาวอีก
ท่านอาสั่งให้มอมอในเรือนไปหาเรื่องที่ร้านเซียงหยิงซิ่ว เดิมทีหงเยียนสั่งให้คนในร้านห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกอวิ๋นหว่านชิ่นเด็ดขาด ภายหลังไม่กี่วัน วันที่ชูซย่ามาเอาสมุดบันทึกบัญชีที่ร้าน อาหลังรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมแทนหงเยียนจึงได้เผลอพูดออกไป
ชูซย่ากลับมาถึงจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับอวิ๋นหว่านชิ่น และก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร ท่านชายกับแม่นางหงเยียนคงอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้วจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องให้นายท่านสงบอารมณ์ให้ได้ก่อน เพราะทางไปสู่ความสุขนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค”
หากเป็นเพราะทางไปสู่ความสุขนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ก็ยังดี แต่กลัวว่าอุปสรรคนั้นจะมากไปจนผ่านพ้นมันไปไม่ได้น่ะสิ
อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจดีว่าท่านอาเป็นคนที่แม้มีนิสัยอารมณ์ร้าย แต่ด้วยความเป็นพ่อค้า ก็นับว่ามีนิสัยปลิ้นปล้อนอยู่บ้าง หากไม่ถึงคราสุดวิสัยจำใจอย่างยิ่ง ก็หาได้ชอบหักหน้ากันอย่างเปิดเผยไม่ และยิ่งไม่มีทางสั่งให้คนไปหาเรื่องด่าทอในที่สาธารณะแน่นอน
อีกอย่าง ท่านอาเข้าใจดีว่าร้านเซียงหยิงซิ่วเป็นร้านของตน อย่างน้อยก็ต้องไว้หน้านางอยู่บ้าง
ครั้งนี้กลับสั่งให้คนไปทำร้ายกันถึงที่ร้าน หมายความว่าท่านอาตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า เรื่องที่หงเยียนจะมาเป็นลูกสะใภ้ตระกูลสวี่จะไม่มีพื้นที่ว่างให้ต่อรองใดๆ อีก
แต่นางก็เข้าใจดีว่าท่านพี่ต้องการสิ่งใด เห็นเป็นท่านชายไม่เอาการเอางาน ประพฤติตัวเหลาะแหละ ไม่ชอบการผูกมัด แต่เป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง หากไม่ใช่ ก็คงไม่ดูเหมือนปล่อยหลงระเริงตามใจเวลาอยู่ด้านนอก แต่ความจริงกลับสามารถสร้างความสนิทสนมกับไท่จื่อได้ และยังก้าวเข้าสู่หน่วยงานราชการโดยใช้สถานะการเป็นลูกหลานพ่อค้าอีกด้วย
หลายปีมานี้ เวลาอยู่ด้านนอก พอมีโอกาสท่านพี่ก็เล่นสนุกบ้างเป็นครั้งเป็นคราว และหาใช่ว่าจะไม่มีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แต่นี่ก็เป็นเพียงเรื่องสนุกที่ท่านชายเมืองกรุงเขาทำกัน ทุกอย่างล้วนผ่านมาผ่านไปเร็วราวกับลมพัด หาได้มีความจริงจังต่อกันไม่
เมื่อเขามั่นใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว ก็ยากที่จะเปลี่ยนใจเช่นกัน
นางรู้สึกว้าวุ่นใจไม่นิ่งตลอดเวลา จึงสั่งให้ชูซย่าคอยสังเกตฝั่งตระกูลสวี่ไว้
หลายวันผ่านไป ฝั่งตระกูลสวี่นิ่งสงบ ส่วนร้านเซียงหยิงซิ่วถูกท่านอาหาเรื่องไปแล้วหนึ่งครั้ง เกรงว่าท่านพี่ก็คงได้ประท้วงไปแล้ว จึงไม่มีครั้งที่สองเกิดขึ้น ร้านค้ากลับคืนสู่ความสงบเหมือนวันวาน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น
แต่สถานการณ์ยิ่งนิ่ง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยิ่งรู้สึกว้าวุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
ค่ำคืนนี้ ชูซย่ากลับมาจากจวนสวี่และรายงานเหมือนทุกวัน
และก็เหมือนกับเมื่อหลายวันก่อนที่อาการของท่านชายนั้นดีขึ้นมากพอสมควร ส่วนนายท่านมีสีหน้าหม่นหมองดูรีบร้อนยุ่งมาก ชูซย่าแอบถามกับพ่อบ้านตระกูลสวี่จึงทำให้ทราบว่าสวี่เจ๋อเทาเห็นอาการของลูกชายดีขึ้น จึงได้เริ่มเตรียมสินสอดทองหมั้นแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าหลายวันก่อนพลางเอ่ยถาม “ท่านพี่ล่ะ ท่านพี่มีปฏิกิริยาอย่างไร ทะเลาะกับท่านอาอีกหรือไม่”