“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้า หยุดบัดเดี๋ยวนี้”เมื่อสาวใช้ของซูหว่านเห็นว่าบรรยากาศเริ่มไม่ปกติแล้ว ก็พลันยกกระโปรงตนเองขึ้น พร้อมกับวิ่งตามไปในทันที ด้วยท่าทางที่ดูน่าสมเพชยิ่งนัก พร้อมทั้งเร่งฝีเท้าจนวิ่งไปบังหน้าเฟิ่งชิงเฉินไว้ได้ในทันที เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่อาจมีทางให้ไปอีก นางเพียงแย้มยิ้มถามสาวใช้ว่า “แม่นางยังมีอะไรจะบอกสอนข้าอีกงั้นหรือ?”
บอกสอน นางจะไปกล้าสอนได้อย่างไร สตรีที่อยู่ภายใต้ชายคาบ้านของผู้อื่นจักไปทำสิ่งใดได้นอกจากจะต้องก้มหัวให้เท่านั้น สาวใช้ของซูหว่านได้แต่อดทนกัดฟันเท่านั้น พร้อมกับก้มหน้าลงกล่าวว่า “เฟิ่ง เฟิ่งซิ่วขออภัยเพคะ หม่อมฉันตัวเสียมารยาทไปแล้ว เฟิ่งซิ่วได้โปรดให้อภัยผู้น้อยที่พลาดพลั้งไปด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
สาวใช้ของซูหว่านที่วิ่งมาด้วยท่าทีเหนื่อยหอบนั้น เมื่อมานั่งคุกเข่าเพื่อขอโทษด้วยแล้ว ใบหน้าของนางพลันแดงก่ำชวนให้ผู้อื่นตกใจยิ่งนัก
เมื่อสาวใช้พูดจบ ก็พลันโค้งคำนับเฟิ่งชิงเฉินด้วยความเคารพ แต่ทว่าความจริงใจมีหรือไม่นั้น ทุกคนล้วนแต่รู้ดี
“หากเจ้ารู้ถึงความผิดของตนเองเช่นนี้ ก็แล้วไป” ยามที่ซุนเจิ้งเต้าเดินออกมานั้น พลันได้ยินประโยคนี้พอดี ยิ่งรู้สึกแปลกใจที่เฟิ่งชิงเฉินดูจักใจดียิ่งนัก มิทันได้คิดว่า ยามที่สาวใช้ผู้นั้นลุกขึ้นยืนมา เฟิ่งชิงเฉินก็ฟาดมือใส่ใบหน้าของสาวใช้ในทันที “เพี๊ยะ”
“โอ๊ะ ข้าเจ็บมือยิ่งนัก” เมื่อเฟิ่งชิงเฉินตบสาวใช้เสร็จ ก็พลันหันมานวดฝ่ามือของตนเอง “แม่นางคงไม่ถือโทษ ที่มือของข้าพลาดพลั้งไปใช่หรือไม่?”
ใบหน้าของสาวใช้พลันแดงเป็นปื้นในทันที เฟิ่งชิงเฉินลงมือหนักยิ่งนัก ในยามนั้น อย่าได้เอ่ยว่าสาวใช้ของซูหว่านตกใจเลย แม้แต่ซุนเจิ้งเต้าเองก็ยังตกตะลึงไปเช่นกัน
การกระทำของเฟิ่งชิงเฉินคือ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทว่า นางตบหน้าสาวใช้ได้สวยงามยิ่งนัก จนไม่มีผู้ใดกล้าพูดออกมาในทันที
แน่นอนว่า การกระทำตบตีคนเช่นนี้ มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินที่กล้าทำเท่านั้น แม้ว่าซุนเจิ้งเต้าจักสามารถทำได้ แต่ด้วยความที่ตนเองเป็นสุภาพบุรุษมากพอ ปะทะฝีปากได้ แต่เขาจักไม่ลงมือ เขาเป็นสุภาพบุรุษไม่อาจกระทำตนเช่นนั้นได้ หากว่าจักต้องลงมือ เขาก็จะไม่ลงมือกระทำต่อสตรี มันกระทำที่เกินกว่าเหตุไปหน่อย แต่ถ้าไม่ทำเลย มันยิ่งแต่จะทำให้ตนเองเสียหน้า
สาวใช้ของซูหว่านพลันกอบกุมใบหน้าของตนเอง พลางถลึงตาโตมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยความกรุ่นโกรธ พร้อมทั้งง้างมือซ้ายขึ้นมา เพื่อที่จะลงมือไปที่เฟิ่งชิงเฉินในทันที
เฟิ่งชิงเฉินที่เตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้วนั้น ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางจะทำสำเร็จหรือไม่ หากแต่พวกเขาเห็นว่า เฟิ่งชิงเฉินจับแขนของสาวใช้เอาไว้ ทว่า สาวใช้เองก็มีพื้นฐานการต่อสู้อยู่บ้าง แต่หลังจากที่มือของนางถูกจับเอาไว้ได้นั้น มันก็ขยับไปไหนไม่ได้อีก
การแสดงออกของเฟิ่งชิงเฉินยังคงเป็นเช่นเดิม “อยากตบข้างั้นหรือ? เกรงว่า เจ้าจักไม่มีคุณสมบัตินั้น” เฟิ่งชิงเฉินพลันสะบัดมือของสาวใช้ทิ้งไปในทันที “เพี๊ยะ”ฝ่ามือของนางตบไปที่ใบหน้าอีกข้างของสาวใช้ผู้นั้นในทันที “ทีนี้ซ้ายขวาก็เท่ากันแล้ว ค่อยน่าดูขึ้นมาหน่อย”
พูดจบ ก็พลันหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อของตน เพื่อเช็ดมือของตนเองในทันที แล้วจึงเปิดปากกล่าวว่า “ไปบอกคุณหนูซูหว่านด้วยว่า ฝ่ามือทั้งสองนี้ถือว่าเป็นดอกเบี้ย ในคราวหน้า หากยังมีวันที่นางยังอยู่ในตงหลิงอีก ข้าจักไม่ปล่อยให้นางอยู่ดีแน่ หากต้องการมือสองข้างคู่นี้ของข้า ก็มาดูกันว่าเจ้าจักมีความสามารถหรือไม่
อีกทั้ง แม้ว่าจรรยาบรรณของข้าจะไม่ได้ดีมาก แต่หากมีคนไข้มาหาข้าถึงหน้าประตูจวน ข้าย่อมไม่ปฏิเสธที่จะรักษาเลยสักราย หากซูหว่านต้องการให้ข้ารักษา ก็มาหาข้าที่จวนขุนนางภักดีเสีย ข้าไม่มีเวลามาเที่ยวเล่นในจวนจิ้งชิวนัก”
พูดจบ ก็เดินออกจากสวนจิ้งชิวด้วยท่าทีหยิ่งยโสไปในทันที องครักษ์และสาวใช้ที่มาขวางทางเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ ต่างก็ยืนอยู่ที่เดิมมิกล้าขยับไปที่ใด
“ชิงเฉิน?” ซุนเจิ้งเต้าพลันเปิดปากออกมาด้วยท่าทีเป็นกังวล การตบหน้าก็ถือได้ว่าระบายอารมณ์ไปแล้ว แต่ท่าทางยโสโอหังในภายหลังนั้น ไม่ว่าอย่างไรซูหว่านเองก็เป็นสตรีชนชั้นสูงของหนานหลิง ทั้งยังมาเยือนตงหลิงในนามของราชวงศ์หนานหลิงอีกด้วย
แม้ว่า บางเรื่องจักสามารถไปแก้ตัวได้ แต่ถ้าหากทำเกินไป บางทีเบื้องบนอาจจะไม่เห็นด้วยก็เป็นได้ พวกเบื้องบนทำได้ทุกอย่างเพียงเพราะต้องการทิ้งหมากตัวเล็ก ๆ เช่นพวกเขา
เฟิ่งชิงเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง พร้อมทั้งหันหน้าไปกล่าวว่า “หมอหลวงซุนมิต้องเป็นกังวลไป ข้าทำสิ่งใดล้วนมีเหตุผล”
นางลงมือนั้น หาได้ลงมือกับซูหว่านไม่ เป็นเพียงแค่สาวใช้ของซูหว่านเท่านั้น ในเมื่อสาวใช้ของซูหว่านไม่รู้จำเคารพหมอของตงหลิงเอง หากนางไม่ลงมือด้วยสองมือของนางไป นางคงเป็นคนที่ขี้ขลาดน่าดู
บุตรีของจวนขุนนางภักดีย่อมต้องเย่อหยิ่งและไร้เหตุผลเช่นนี้แล ถึงจักไม่โดนผู้คนดูถูกเอาได้ จักได้ไม่โดนจักรพรรดิรังแก ยามที่องค์จักรพรรดิเลื่อนยศบิดาของนางเป็นขุนนางภักดี มิใช่เพราะทัศนคติของนางที่มีต่อหนานหลิงและซีหลิงหรอกหรือ?
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้หาได้สำคัญไม่ สิ่งที่สำคัญก็คือ อาการป่วยที่สาหัสของหลีเซี่ยง เมื่อฝ่าบาทมิอาจใช้เขาในระยะเวลาสั้น ๆ ได้ ฝ่าบาทเองก็คงไม่ต้องการให้ทั้งซีหลิงและหนานหลิงมาแย่งชิงหลีเซี่ยงไปเช่นกัน
ซีหลิงเทียนเหล่ยที่บาดเจ็บที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนเตียง หนานหลิงซูหว่านเองก็เจ็บป่วยล้มหมอนนอนเสื่อเช่นกัน หมอที่เตรียมมาในยามเช้าก็ได้รับบาดเจ็บอีก ซุนเจิ้งเต้าเองยังรับรู้ได้ว่า เรื่องนี้มีลับลมคมใน เพียงแค่เฟิ่งชิงเฉินใช้หัวเข่าคิดยังรู้เลย ว่าที่นี่จักต้องมีคนของฝ่าบาทอยู่ที่นี่ด้วยอย่างแน่นอน
เช่นนั้น การลงมือของนางในวันนี้ย่อมไม่เสียเปล่า อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดกล้าทำอันใดกับนางอีกด้วย
หลังจากที่สาวใช้ของซูหว่านโดนตบจนมึนไปแล้วนั้น เมื่อนางได้สติก็พลันเห็นเฟิ่งชิงเฉินเดินไปถึงหน้าประตูจวนเสียแล้ว สาวใช้ของซูหว่านพลันรีบร้อนตะโกนออกมาว่า “พวกเจ้า รีบขวางนางเอาไว้!”
องครักษ์ที่อยู่ในสวนจิ้งชิวนั้น ต่างก็เป็นองครักษ์ที่ซูหว่านนำมาจากหนานหลิงด้วย คนพวกนี้ย่อมไม่เห็นแก่หน้าเฟิ่งชิงเฉินอยู่แล้ว “ชิ้ง” ดาบเล่มใหญ่อันเงางาม ถูกยื่นมาด้านหน้าเพื่อขวางทางเฟิ่งชิงเฉินในทันที
“หลีกไป” แววตาของเฟิ่งชิงเฉินพลันหรี่ลง พร้อมทั้งเปล่งประกายกลิ่นอายอันตรายออกมาในทันที
แน่นอนว่า เฟิ่งชิงเฉินหาได้มีความคิดที่จะลงมือกับพวกเขาไม่ ร่างกายของนางที่อ่อนแอเช่นนี้ หากลงมือไป อย่างไรย่อมต้องเสียเปรียบเป็นอย่างมาก ที่นางสามารถลงมือเช่นนี้ได้ ก็เพระามีหวังเย้รอนางอยู่ด้านนอก
“เฟิ่งซิ่ว อย่าได้ทำให้พวกเราลำบากใจเลยขอรับ” หัวหน้าองครักษ์ของหนานหลิง พลันเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อย ด้วยแววตาที่ไร้ทางเลือก
เห็นได้ชัดว่า เขาเป็นคนรู้ความ
การกระทำที่เล็กน้อย หากแต่เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง การที่จะพบเจอคนรู้ความเช่นนี้ โอกาสที่จะลงมือย่อมมีน้อยลง เฟิ่งชิงเฉินพลางเอามือกอดอก มองพวกเขา”หากข้าต้องการทำให้พวกเจ้าตกอยู่ที่น่าลำบากเล่า?”
หมอหลวงคนอื่น ๆ เองที่อยู่ด้านหลังของซุนเจิ้งเต้า อยากจะเกลี้ยกล่อมเฟิ่งชิงเฉินมิให้ลงมือแล้ว หากแต่ถูกซุนเจิ้งเต้าขัดขวางเอาไว้ เขาเข้าใจเรื่องราวมากกว่าหมอหลวงพวกนั้นมากนัก
อาการป่วยของคนไข้ สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ของมัน หากอีกครึ่งชั่วโมง อาการของซูหว่านไม่ดีขึ้นนั้น อาการของนางย่อมต้องสาหัสเป็นแน่
“ขออภัยเฟิ่งซิ่วขอรับ” หัวหน้าองครักษ์พลันเอ่ยออกมาด้วยท่าทีขอร้องอ้อนวอน
“เฟิ่งซิ่ว เป็นนู๋ปี้ที่ทำตัวไร้มารยาทต่อท่าน เฟิ่งซิ่วได้โปรดลงโทษนู๋ปี้เถิดเจ้าค่ะ ได้โปรดเถอะเจ้าค่ะ เฟิ่งซิ่วกับท่านหมอหลวงได้โปรดให้โอกาสนู๋ปี้ด้วย นู๋ปี้จักไปยกน้ำชามาขอขมาพวกท่านเดี๋ยวนี้”สาวใช้ของซูหว่านหาได้โง่งมไม่ นางกลัวว่าเรื่องราวจะบานปลายไปมากกว่าเดิม เนื่องจากรู้ดีว่า ไม่อาจปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินและหมอหลวงออกไปได้ หากพวกเขาออกไปเรื่องราวย่อมยากที่จะแก้ไข
“หากพูดเช่นนี้ตั้งแต่แรก ก็ย่อมไม่มีเรื่องเกิดขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ น่าเสียดายที่ข้าไม่ต้องการ ข้าบอกแล้ว หากพวกเจ้าต้องการให้ข้ารักษาซูหว่าน พานางมาส่งที่จวนขุนนางภักดีเสีย”เฟิ่งชิงเฉินมิสนใจอันใดอีก พร้อมทั้งนำมือผลักดาบขององครักษ์ให้ไปไกล ๆ องครักษ์เองก็มิกล้าทำร้ายนาง เพียงแค่หยุดเฟิ่งชิงเฉินด้วยร่างกายของตนเองเท่านั้น “ขออภัยที่ทำให้เฟิ่งซิ่วโกรธเคือง”
หัวหน้าองครักษ์พยายามที่จะเอามือออกมาขัดขวางนาง ทว่า เฟิ่งชิงเฉินพลันก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว เพื่อมิให้ฝ่ายตรงข้ามจับตัวนางได้ พร้อมทั้งเปล่งเสียตะโกนไปที่ประตูใหญ่ว่า “ใต้เท้าหวัง!”
“กุบกับ กุบกับ กุบกับ!” หวังเย้นำคนพุ่งเข้ามาในทันที เมื่อเห็นบรรยากาศความขัดแย้งที่อยู่ตรงหน้า เขาหาได้เข้าไปไม่ เพียงคุกเข่าลงกล่าวว่า “ขอรับเฟิ่งซิ่ว”
“ไป ไปที่กองทัพและถามกับแม่ทัพเว่ยว่า เมื่อใดกันที่องครักษ์ของหนานหลิง สามารถมากักขังราษฎรตงหลิงเอาไว้ในจวนได้”
เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ หาได้เป็นสตรีที่รังแกได้ง่าย ๆ เฉกเช่นในวันวานไม่ ไม่ว่าจะคิดเช่นไร ในตอนนี้ จักรพรรดิก็สนใจในเฟิ่งชิงเฉินแล้ว ทั้งยังให้ความโปรดปรานนางอีก ด้วย ในยามนี้ อำนาจในมือของนางเริ่มมีมากขึ้นเช่นกัน
อย่างน้อย คนพวกนั้นก็จักเห็นแก่หน้าของนาง หากรู้ว่า นางเป็นคนรักษาดวงตาของเว่ยฮูหยินจนหายดีละก็