บทที่ 289 ขึ้นรถ บังเอิญยิ่งนัก

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจ หากนางจะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ อย่างมาก หากเรื่องนี้ไปถึงหูของคนภายในวังแล้วละก็ พวกเขาก็เพียงแรกนางไปอบรมสักหนึ่งชุด แล้วจึงมาทำทีเป็นห่วงนางในภายหลัง เมื่อรู้สึกว่านางทำถูกต้องแล้ว

อีกทั้ง เฟิ่งชิงเฉินหาได้ลงมือกระทำต่อซูหว่านไม่ หากผิดก็ต้องผิดที่ฝ่ายตรงข้าม เฟิ่งชิงเฉินสามารถอดทนได้ ซูหว่านเองก็คงทำได้เช่นกัน ในท้ายที่สุดแล้ว ซูหว่านก็เป็นบุตรีสายตรงที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี

ผู้คนภายในตงหลิงย่อมเห็นความสำคัญของซูหว่านน้อยลง เนื่องจากเจอคนที่ทำระเบิดเทียนเหล่ยได้แล้ว ทั้งยังอยากให้นาง “ป่วย” นอนอยู่บนเตียง เฉกเช่นซีหลิงเทียนเหล่ย ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังปะทะกับหัวหน้าหน่วยองครักษ์ของหนานหลิงนั้น ก็พลันมีสาวใช้อีกคนหนึ่งวิ่งเข้ามาพอดี

ใบหน้าที่กลม ๆ และดวงตาที่กลมโต ยามที่แย้มยิ้มออกมาคล้ายว่าจะเห็นฟันเสือสองซี่เล็ก ๆ โผล่ออกมาด้วย เมื่อมองดูแล้ว ให้ความรู้สึกถึงความไร้เดียงสาและเสน่ห์ที่น่าเย้ายวนออกมา สตรีเช่นนี้ ช่างทำให้คนลดการป้องกันตัวจากนางลงได้ง่ายยิ่งนัก

หลังจากที่สาวใช้หน้ากลมหยุดวิ่ง นางก็พลันทำให้บรรยากาศที่น่าอึดอัดหยุดลง แล้วจึงหันมาทำความเคารพเฟิ่งชิงเฉินและซุนเจิ้งเต้าด้วยความเคารพ”นู๋ปี้ ชิวยวี่ขอเข้าพบเฟิ่งซิ่วและท่านหมอหลวงซุนเจ้าค่ะ”

โดยทำทีมิเห็นบรรยากาศโดยรอบ รวมไปถึงสาวใช้ที่ยืนกอบกุมใบหน้าที่บวมแดงอยู่

เพียงแค่เฟิ่งชิงเฉินได้มอง ก็รับรู้ได้ในทันที ว่าสตรีนางนี้เจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก สาวใช้ที่ชื่อชิวยวี่นางนี้ ถึงจะเป็นสาวใช้ที่รู้ใจของซูหว่านอย่างแท้จริง

เฟิ่งชิงเฉินเพียงส่งเสียงตอบรับด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง ทั้งยังไม่หันไปมองหน้าของสาวใช้นางนั้นอีก

อย่างไรก็ตาม นางพอใจสำหรับผลงานในวันนี้แล้ว

ชิวยวี่เอง ก็ทำทีเป็นไม่เห็นท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินเช่นกัน ทว่า นางยังคงแย้มยิ้มด้วยท่าทีอ่อนน้อมเช่นเดิม “เฟิ่งซิ่ว หมอหลวงซุนเจ้าคะ คุณหนูของข้าให้มาส่งข่าวกับพวกท่านทั้งสองว่า ร่างกายของนางในยามนี้ดีขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะ ต้องขออภัยที่รบกวนให้เฟิ่งซิ่วต้องเดินทางมาด้วยตนเองเช่นนี้ วันพรุ่ง คุณหนูจักไปขอบคุณท่านถึงหน้าประตูจวนด้วยตนเองเจ้าค่ะ”

เฟิ่งชิงเฉินรู้ดี ว่าเรื่องราวในวันนี้ไม่อาจทำให้มันวุ่นวายไปมากกว่าเดิมแล้ว แต่เหมือนนางจะดูเบาซูหว่านไปหน่อย ถึงแม้จะน่าเสียดายโอกาสเช่นนี้นัก ทว่า ซูหว่านถอยให้นางถึงเพียงนี้ หากนางยังดื้อดึงอีกก็มิควรนัก

“มิต้องเกรงใจ ในเมื่อคุณหนูซูไม่เป็นอันใดแล้ว พวกข้าก็คงไม่รั้งรออยู่อีก เพื่อมิให้เป็นการรบกวนการพักผ่อนของคุณหนูซูหว่าน” ไอสังหารของเฟิ่งชิงเฉินก็ถูกเก็บไปแล้วเช่นกัน “ใต้เท้าหวัง ข้าทำให้ท่านลำบากแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”

พูดจบ พลันก้าวเท้ายาว ๆ เดินออกจากสวนจิ้งชิวด้วยความเย่อหยิ่ง นี่ถือเป็นการตบหน้าองครักษ์หนานหลิงยิ่งนัก องครักษ์แต่ละคนพลันหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย หากแต่ก็ไม่กล้าก้าวเข้าไปเอาเรื่อง

เพียงเฟิ่งชิงเฉินเดินจากไป ชิวเสวี่ยที่ยืนกอบกุมใบหน้าที่โดนตบนั้น ก็ก้าวเข้าไปหาในทันที “ชิวยวี่ เหตุใดเจ้าต้องให้นางไปด้วย นางพูดจาดูถูกตระกูลซูของพวกเรายิ่งนัก ทั้งยังไม่เห็นตระกูลซูอยู่ในสายตาอีกด้วย คนเช่นนั้น เหตุใดต้องทำตัวเกรงอกเกรงใจต่อนางอยู่อีก”

เมื่อถูกเฟิ่งชิงเฉินตบหน้าทั้งสองข้างนั้น ภายในใจของชิวเสวี่ยพลันบังเกิดความแค้นต่อเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก แต่อารมณ์ก็ถูกดับลงได้ หลังจากได้ยินเพียงไม่กี่ประโยคต่อมา

อย่าได้เห็นแก่หน้าตาที่ดูน่าเอ็นดูของชิวยวี่เชียว ยามที่นางจ้องมองผู้คน กลับใช้สายตาที่ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก “ชิวเสวี่ย ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงคุณหนู แต่เจ้าก็ต้องดูด้วย ว่าที่นี่คือที่ใด เจ้าคิดว่าที่นี่คือตระกูลซูหรือ เจ้าคิดว่าเฟิ่งซิ่วเป็นเพียงสตรีกำพร้าเฉกเช่นการก่อน ที่จะถูกผู้ใดรังแกได้ง่ายดายเช่นนั้นหรือ

ถึงแม้ว่าเฟิ่งซิ่วจักเป็นเด็กกำพร้าเฉกเช่นการก่อน ก็หาใช่เรื่องที่เจ้าจะไปรังแกนางได้ การปฏิบัติต่อพวกเขาให้ดี ถือเป็นหน้าที่ของเรา เจ้าอย่าได้หลงลืมไป ว่าพวกเราเป็นเพียงสาวใช้ของตระกูลซูเท่านั้น แม้ในภายภาคหน้าจะมีหน้ามีตาขึ้น แต่เนื้อแท้ของพวกเราเป็นเช่นไร เจ้าย่อมรู้ดี เฟิ่งซิ่วหาใช่คนที่เข้าจะไปรังแกนางได้

อย่าได้พูดว่าวันนี้นางตบเจ้าไปถึงสองครั้ง แม้ว่านางจะชักดาบฆ่าเจ้าที่นี่ คุณหนูก็ไม่อาจทำอันใดนางได้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราก็เป็นเพียงแค่สาวใช้เท่านั้น ตายแล้วก็หมดประโยชน์”

เมื่อเห็นท่าทีของชิวเสวี่ยที่มิใคร่พอใจนัก ชิวยวี่จึงคร้านที่จะพูดอีก เพียงประกาศคำสั่งของซูหว่านออกมาเท่านั้น “ชิวเสวี่ย คุณหนูให้ข้ามาบอกเจ้าว่า นางเข้าใจในความภักดีของเจ้า แต่ความภักดีย่อมต้องมีขอบเขต เรื่องในวันนี้ เจ้าจัดการได้ไม่ดีนัก คุณหนูสั่งลงโทษเจ้า ให้นั่งคุกเข่าอยู่ที่นี่หนึ่งชั่วยาม”

“เจ้าค่ะ” ถึงแม้ว่าชิวเสวี่ยจะมิใคร่พอใจนัก แต่นางก็ไม่อาจขัดขวางคำสั่งของคุณหนูไปได้ จึงได้แต่ก้มหน้าคุกเข่าลงด้วยความอับอาย

ชิวยวี่พลันถอนหายใจออกมาเล็กน้อย นางหวังว่าเรื่องในวันนี้จักเป็นบทเรียนให้กับชิวเสวี่ย ทั้งจักได้เตือนนางด้วยว่า ที่นี่มิใช่หนานหลิง ที่จะทำสิ่งใดที่มีตระกูลซูคอยเช็ดตาม

พร้อมทั้งหันกายหลับไปหาหัวหน้าองครักษ์ “ใต้เท้าหลิว เรื่องในวันนี้ต้องขอบคุณท่านที่ช่วยจัดการไม่ให้คนของตงหลิงทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่นะเจ้าคะ ข้าจักไปรายงานเรื่องนี้ให้คุณหนูฟังเอง”

“แม่นางชิวยวี่ให้เกียรติกันเกินไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ข้าสมควรจักต้องทำ” หัวหน้าองครักษ์หนานหลิงไม่กล้ายกตนให้ดูสูงขึ้น

ชิวยวี่เองก็มิกล้าเอ่ยอันใดให้มากความ แม้สีหน้าจะมีความกังวลอยู่บ้าน แต่ก็หันกายเดินกลับเข้าห้องไปในทันที

“จัดการเรื่องเสร็จแล้วหรือ?” สีหน้าของซูหว่านพลันกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง

“เจ้าค่ะคุณหนู ทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยดี ทว่า อาการป่วยของคุณหนู?” ในยามนี้ชิวยวี่เก็บสีหน้าที่ไม่พอใจและเคียดแค้นออกมาไว้ไม่อยู่ “จักรพรรดิตงหลิงจะรังแกกันเกินไปแล้ว”

ซูหว่านพลันแย้มยิ้มออกมาด้วยท่าทีไม่คิดอะไรมาก หากแต่สีหน้าซีดเผือดยิ่งนัก”มีอะไรที่ทำเกินไปกัน ในเมื่อตงหลิงมีคนที่สามารถทำระเบิดเทียนเหล่ยออกมาได้เช่นนี้ จักทำตัวแข็งข้อขึ้นมาหน่อยก็ย่อมได้ อาการป่วยของข้าหาได้ถึงตายไม่ ”

หากมิถูกเฟิ่งชิงเฉินยั่วโมโหเสียก่อน ซูหว่านนับว่าเป็นคนที่เฉลียวฉลาดยิ่งนัก”ชิวยวี่ เจ้าส่งข่าวกลับไปแล้วหรือยัง?”

“ส่งกลับไปแล้วเจ้าค่ะ ทว่า ข่าวของพวกเราช้ากว่าของพวกซีหลิงไปก้าวหนึ่ง ทั้งความไวยังไม่สู้ของพวกเป่ยหลิงด้วย” ชิวยวี่มิกล้าเงยหน้ามองสีหน้าของคุณหนูตนเองนัก ทว่า ไม่คิดว่า จะได้ยินน้ำเสียงถอนหายใจออกมาแทน “ฝ่าบาทต้องเข้าใจได้แน่ พวกเราที่อยู่ที่นี่ หาได้มีคนใช้การอันใดได้ไม่”

หนานหลิงและตงหลิงถึงแม้เบื้องหน้าจะดูสมานฉันท์กันดี แต่แท้จริงแล้ว เรื่องราวในภายในกลับลุกเป็นไฟ สายลับของหนานหลิงที่ถูกส่งเข้ามาในตงหลิงนั้น ล้วนแต่ถูกจัดการไปหมดแล้ว การที่องค์จักรพรรดิส่งนางให้มาเยือนตงหลิงในครานี้ ก็เพื่อมาฝึกสายลับให้แฝงตัวเข้ามาในตงหลิงอีกครั้ง หากนางสามารถทำได้จริง อำนาจของตระกูลซูก็จะยิ่งใหญ่มากกว่าเดิม

คนของตงหลิงคิดว่านางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น แต่พวกเขาหาได้รู้ไม่ว่า ผู้ที่สั่งการที่แท้จริงก็คือนาง ต้องทำตัวสูงส่ง เย่อหยิ่งเพียงใด ขอเพียงแค่นางสามารถจัดการเรื่องราวได้สะดวก นางก็ยินยอมที่จะทำ

“พอแล้ว ตรงนี้เจ้าไม่ต้องมาคอยรับใช้ข้าแล้ว ไปตามสืบหาคนผู้นั้นให้เจอเสีย ขอแค่พวกเราสามารถส่งคนกลับไปได้ก็พอ หากมันทำไม่ได้ก็ฆ่าคนผู้นั้นทิ้งซะ” เพียงพูดได้ไม่กี่คำ สีหน้าที่ไร้เรี่ยวแรง ก็พลันกอบกุมท้องของตนเองในทันที

“คุณหนู?”ชิวยวี่รู้สึกปวดใจยิ่งนัก หากแต่ถูกซูหว่านไล่ออกมาแทน “ไม่ต้องมาสนใจข้า ไปจัดการเรื่องราวเสีย”

“เจ้าค่ะ” ชิวยวี่แอบเช็ดหยาดน้ำตาที่หางตาเบา ๆ เหลือไว้แต่เพียงซูหว่านที่กัดฟันข่มความเจ็บปวดอยู่บนเตียง

หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินออกมาจากสวนจิ้งชิวนั้น ก็พลันบอกลากับซุนเจิ้งเต้าในทันที หวังเย้จึงจัดคนคอยอารักขานางไปส่งถึงจวน แต่มิคิดว่า นางยังมิทันได้ไปไหนก็พบกับเสด็จอาเก้าเสียได้

“เฟิ่งซิ่ว เสด็จอาเก้าเชิญท่านขอรับ”ผู้ที่มาเป็นขันทีที่ถูกคนขับรถม้าของหวังจิ่นหลิงแย่งตัวนางมาแทน ทั้งยังจับจ้องนางด้วยสีหน้าเป็นกังวล กลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเอ่ยปกิเสธออกมาอีก

ครั้งก่อน หลังจากที่เสด็จอาเก้ากลับไปนั้น ไม่พูดอะไรเลยตั้งสองวัน ทำเอาเขาอึดใจจนจะเป็นบ้าตาย

เฟิ่งชิงเฉินมิอยากจะไปเลยแม้แต่น้อย แต่ก็หาวิธีหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน นางจึงมองไปที่รถม้าตรงหน้าแล้วจึงพยักหน้าให้เล็กน้อย หลังจากที่กล่าวขอบคุณหวังเย้เสร็จนั้น ขันทีก็พานางมาขึ้นรถม้าของเสด็จอาเก้าในทันที

“ชิงเฉินขอเข้าเฝ้าเสด็จอาเก้า ขอพระองค์ทรงพระเจริญเป็นพัน ๆ ปี” เฟิ่งชิงเฉินคุกเข่าทำความเคารพที่รถม้าด้านนอก

นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่นางไม่อยากจะเจอหน้าเสด็จอาเก้า ทุกคนครั้งที่ต้องมาพบเขา จักต้องนั่งคุกเข่าทำความเคารพทุกครั้งไป

“ไม่ต้องมากพิธี” ยามที่กำลังจะขึ้นรถม้านั้น เฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกว่า น้ำเสียงของเสด็จอาเก้าดูผิดปกติยิ่งนัก หากแต่นางก็มิได้คิดอันใดมาก หลังจากที่คำนับเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็สลัดภาพพจน์ที่เย่อหยิ่งและยโสโอหังยามที่อยู่ในจวนจิ้งชิวทิ้งไปในทันที

เฟิ่งชิงเฉินเริ่มคุ้นชินกับชีวิตในยุคนี้มากขึ้นแล้ว ทั้งยังค่อยหลอมรวมเข้ากับคนในยุคไปโดยไม่รู้ตัว

“ขึ้นรถ” เมื่อคำสั่งของเสด็จอาเก้าลงมา ขันทีจึงรีบลงจากม้ามาพยุงเฟิ่งชิงเฉินเข้าไปด้านในโดยไว

มิใช่ผู้ใดจะเหมือนตงหลิงจื่อลั่วไปเสียหมด ที่ชื่นชอบเอาผู้อื่นมารองมือรองเท้าตนเอง เฟิ่งชิงเฉินจึงสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ จากนั้นก็เปิดประตูรถม้าในทันที