บทที่ 290 ดื่มชา ได้ยินมาว่าฝีเข็มของเจ้าเป็นเลิศ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เสด็จอาเก้าที่อยู่ในรถม้าในยามนี้ หาได้เหมือนกับวันปกติไม่ ดูเหมือนว่าความเย็นชาจะลดน้อยลง ทั้งยังความรู้สึกสบาย ๆ เข้ามาแทนที่ ทั้งยังลดช่องว่างระหว่างกันลงด้วย พอจะทำให้ผู้คนหายใจหายคอขึ้นมาบ้าง

หาได้มีท่าทีที่เข้มงวดและจริงจังดั่งเช่นปกติไม่ เสด็จอาเก้าเอนนอนลงบนตั่งตัวยาว ผมเผ้าที่ปล่อยมาถึงทรวงอกดูจะพันกันเล็กน้อย แพขนตาที่ยาวเท่ากัน ท่าทางของเสด็จอาเก้าในยามนี้ ดูผ่อนคลายยิ่งนัก

เฟิ่งชิงเฉินหาได้เห็นเสด็จอาเก้าที่เป็นเช่นนี้ครั้งแรกไม่ แต่ทุกครั้งที่นางได้เห็น นางรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นแรงยิ่งนัก พร้อมกับมือไม้ที่พันกันโดยไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ใดดี ถ้าหากนางไม่รู้ทักษะการแพทย์ละก็ คงจะคิดว่าตนเองล้มป่วยเป็นแน่

ความสวยที่อยากจะกลืนกินลงไปเช่นนี้ หาได้หมายถึงสตรีเท่านั้น บุรุษเองก็เช่นกัน เฉกเช่นหวังจิ่นหลิงและเสด็จอาเก้า มันไม่ง่ายเลยที่จะเผชิญหน้ากับความงามของพวกเขา ทั้งยังเป็นคนใกล้ชิดของนางอีกด้วย การที่จะทำตัวให้นิ่ง ๆ ต่อหน้าพวกเขานั้น ยากยิ่งนัก

เฟิ่งชิงเฉินยังคงนั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูรถม้า หลังจากที่สงบสติพร้อมกับปิดประตูรถม้าแล้วนั้น พลันรู้สึกลังเลว่าตนเองควรจะนั่งหรือว่าคุกเข่าต่อไปดี จู่ ๆ เสด็จอาเก้าพลันกล่าวว่า”นั่ง”

“ขอบพระทัยเสด็จอาเก้าเพคะ” เฟิ่งชิงเฉินพูดจาด้วยความสุภาพ หากแต่นางก็กล้านั่งเพียงแค่ครึ่งก้นเท่านั้น

รถม้าของเสด็จอาเก้าช่างกว้างใหญ่ยิ่งนัก คล้ายกับห้องในจวนเล็ก ๆ เพียงห้องหนึ่งเลยทีเดียว แต่ไม่ว่าจะใหญ่เพียงใด มันก็ยังเป็นเกวียนรถม้าอยู่ดี ยามที่ไม่อาจนั่งได้มั่นคงนัก อาจจะทำให้เกิดเรื่องน่าขายหน้าขึ้นภายในรถม้าได้

ในคราก่อน นางก็พลันทำเรื่องน่าขายหน้าออกไปแล้วหนึ่งเรื่อง จนนางล้มลงไปอยู่ในอ้อมกอดของเสด็จอาเก้า เรื่องน่าอายเช่นนี้ นางไม่อาจให้มันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองได้อีก ไม่ว่าจะอย่างไร นางไม่อาจให้เรื่องน่าขายหน้าเช่นนั้นเกิดขึ้นได้อีก ทั้งยังต่อหน้าคนเดียวกันอีกด้วย

หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินนั่งลงเรียบร้อยแล้วนั้น รถม้าก็ออกเดินทางในทันที การกันกระแทกของรถม้านั้นดีเยี่ยมยิ่งนัก เมื่อรวมไปถึงทางเดินที่ลาดเรียบ ทำให้แห้งเหือดชิงเฉินไม่รู้สึกถึงการกระแทกของรถม้ากับพื้นถนนเลย

เสด็จอาเก้าพลันวางตำราไว้ที่ข้างเท้าของเขา พร้อมทั้งนั่งลง แล้วดึงโต๊ะตัวเตี้ยออกมา จากนั้นพลันหยิบชุดกาน้ำชา และถุงชาออกมา

เสด็จอาเก้าจะทำสิ่งใดกัน? ดื่มชาบนรถม้างั้นหรือ?

สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินพลันเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัยยิ่งนัก หากแต่เสด็จอาเก้ามิได้เอ่ยอันใดออกมา นางเองก็ไม่รู้จะเปิดปากถามเช่นไร เมื่อกวาดสายตามองไปยังใบหน้าที่นิ่งเฉยของเสด็จอาเก้านั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ได้แต่ก้มหน้าดูเสด็จอาเก้าต้มชาต่อไป

ไม่อาจกล่าวได้เลยว่า คนสวยทำสิ่งใดก็ย่อมสวย ถึงแม้ว่าคำว่าสวยคำนี้จะดูแปลกประหลาดนั้น หากนำมาใช้กับเสด็จอาเก้า แต่เสด็จอาเก้ารูปงามจริง ๆ

ดูเสด็จอาเก้าจะเชี่ยวชาญในการชงชามากนัก กล่าวว่า “เสมือน”นั้น เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินไม่รู้จักวิธีชงชา แม้ภายนอก นางจะสามารถเสแสร้งเป็นสตรีที่อ่อนหวาน ฉินหมากล้อมตำราวาดภาพสุราและชา นอกจากเรื่องของสุราแล้ว นางหาได้ชำนาญสิ่งใดไม่

เฟิ่งชิงเฉินดูเสด็จอาเก้าจัดการกับการชงชาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลันรู้สึกแปลกใหม่ยิ่งนัก ดูไปดูมา นางก็ตกอยู่ภวังค์ในทันที

ผ่านไปไม่นาน ทั่วทั้งรถม้าก็ตกอยู่ในกลิ่นอายที่หอมหวานของใบชาในทันที ยามที่เฟิ่งชิงเฉินหลับตาและสูดดมกลิ่นมันเข้าไปนั้น ก็พลันรู้สึกสดชื่นยิ่งนัก

“ม่านหมอกยามฝนพรำ ลองเสีย” เสด็จอาเก้าพลันส่งถ้วยชาให้เป็นถ้วยแรกในทันที เฟิ่งชิงเฉินรับมันมาด้วยความรู้สึกยินดียิ่งนัก

ถ้วยชาเล็กยิ่งนัก จึงเป็นการยากที่มือทั้งสองคนจะไม่สัมผัสกันได้ รวมไปถึงความร้อนของชาแล้วนั้น พร้อมกับสัมผัสโดนนิ้วเย็น ๆ ทำให้หัวใจของเฟิ่งชิงเฉินพลันเต้นรัวไปในทันที ยังมิทันจะรับถ้วยชาดี นางก็พลันชักมือกลับเสียแล้ว

“ระวัง” ถ้วยชาเกือบจะตกลงมาในทันที นับว่าโชคดีที่เสด็จอาเก้ามีปฏิกิริยาที่ว่องไว จึงคว้าถ้วยชาเอาไว้ได้ในทันที พร้อมทั้งจับไปที่มือของเฟิ่งชิงเฉินในทันที แล้วจึงนำถ้วยชาเอาไปวางไว้บนมือของนาง “อย่าได้ทำชาของเปิ่นหวังสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์”

น้ำเสียงที่ดูอ่อนโยน พร้อมกับคำพูดที่ดุนาง โดยไม่อาจจับสัมผัสถึงความนุ่มนวลได้ทันนั้น

“เพคะ” เฟิ่งชิงเฉินพลันใช้มือถือถ้วยชาเอาไว้ทั้งสองข้าง แล้วจึงหลีกเลี่ยงที่จะสัมผัสโดนเสด็จอาเก้าอีก

ถึงแม้จะพูดว่า ยามที่นางได้รับบาดเจ็บในวันนั้น เสด็จอาเก้าจักกอดนางแล้ว จูบนางแล้วก็ตาม แต่นั่นมันในยามกลางคืน อีกทั้งนางยังได้รับบาดเจ็บจนต้องพันแผลเต็มตัวเช่นนั้น นางย่อมไม่อาจขัดขืนได้ ทว่า นี่มันยามกลางวันแสก ๆ เฟิ่งชิงเฉินจึงมิอยากอยู่ใกล้เสด็จอาเก้ามากเกินไปนัก

ในหัวของเฟิ่งชิงเฉินเต็มไปด้วยความคิดมากมาย พลางดื่มชาเข้าไป พร้อมทั้งขบคิดว่า เสด็จอาเก้ามิใช่มีนิสัยรักสะอาดงั้นหรือ มิใช่ว่าไม่ชอบพูดคุยกับคนอื่นหรืออย่างไร เหตุใดเขาถึง ทำเช่นนี้กับนางกัน

หากจะว่าทำกับนางเป็นพิเศษ แต่ก็มีในบางคราที่เย็นชากับนางมากนัก เป็นไปได้หรือไม่ที่นางมิใช่คนพิเศษ? อีกทั้ง นางยังเป็นสตรีเพียงผู้เดียวที่ได้ใกล้ชิดเสด็จอาเก้าในช่วงที่ไม่กี่ปีมานี้

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกท้อแท้ยิ่งนัก นางไม่อาจมองออกได้เลย ว่าเสด็จอาเก้าคิดเช่นไร อีกทั้งเสด็จอาเก้าเอง ก็มิได้มีท่าทีให้นางเข้าใจในตัวเขาด้วยเช่นกัน

ถ้วยชาเล็ก ๆ นี้ ไม่อาจดับความกระหายของนางได้จริง ๆ ชามีรสชาติเป็นเช่นไรนั้น เฟิ่งชิงเฉินหาได้รู้รสไม่ นางเป็นคนธรรมดาที่ไม่รู้จักการดื่มชาชงชา

เมื่อดื่มชาจนหมด ก็พลันวางแก้วไว้ที่เดิม เพื่อรอเสด็จอาเก้าชื่นชมกับรสชาติของชา ภายในรถม้าจึงตกอยู่ในความเงียบงัน พร้อมกับกลิ่นหอมของชาที่ลอยคละคลุ้งอยู่ภายใน พลันทำให้รู้สึกสบายใจยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินจึงค่อย ๆ ปล่อยตัวเองไปตามบรรยากาศ

เสด็จอาเก้าพลันวางแก้วชาลง “ชานี้เป็นเช่นไร?”

ถามนาง? นั่นย่อมเสมือนว่าไม่ได้ถาม เฟิ่งชิงเฉินจึงตอบไปแบบกลาง ๆ ว่า “ชาของเสด็จอาเก้าย่อมต้องเป็นชาชั้นเลิศ!”

“เปิ่นหวางยังคิดว่าเจ้าจะดูไม่ออก ที่แท้ชามีรสชาติดีงั้นหรือ” เสด็จอาเก้ากำลังพูดแดกดันคนลิ้นจระเข้เช่นเฟิ่งชิงเฉินอยู่ เฟิ่งชิงเฉินหาได้รู้สึกอับอายไม่ พลางกล่าวออกมาตามตรงว่า “เสด็จอาเก้าพูดได้ถูกนัก ชิงเฉินมิรู้จักวิธีดูชา ชิงเฉินดื่มชาก็เสมือนกับวัวที่กินหญ้า สิ้นเปลืองชาชั้นดีของเสด็จอาเก้าแล้ว”

“เจ้าช่างประมาณตนดีเสียจริง ชาม่านหมอกยามฝนพรำนั้น เป็นชาชั้นเลิศที่ทั่วแคว้นเก้าทิศมีเพียงสามจินเท่านั้น การที่ให้เจ้าดื่มมัน นับว่าสิ้นเปลืองชาชั้นเลิศแล้ว” แม้ว่าจะเป็นคำพูดที่เยาะเย้ยนาง ทว่า เมื่อมันออกมาจากปากของเสด็จอาเก้านั้น กลับมิได้ฟังกระดากหูแต่อย่างใด อีกทั้งน้ำเสียงที่เย็นชานั้น หาได้มีท่าทีเข้มงวดเหมือนเช่นเคยไม่ กลับรับรู้ได้ถึงความสบาย ๆ ในน้ำเสียงเสียมากกว่า

กลับเป็นเฟิ่งชิงเฉินเสียเอง ที่ไม่เข้าใจว่าเสด็จอาเก้ากำลังทำอะไรอยู่ จากที่ปกติเป็นคนพูดน้อย เฟิ่งชิงเฉินจึงได้เก็บเงียบมิเอ่ยอันใดออกมาอีก

แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินมิได้พูด แต่กลับเป็นเสด็จอาเก้าที่พูดออกมาแทน “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าดื่มชาของเปิ่นหวางไปแล้ว มิใช่ว่าควรจักต้องตอบแทนบุญคุณของเปิ่นหวงหน่อยหรือ?”

เมื่อเจอกับคำถามเช่นนี้ หาได้เปิดโอกาสให้เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธไม่ สายตาพลันจ้องมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินโดยไม่กะพริบ แววตากลับให้ความรู้สึกออกมาว่า หากเจ้ากล้าปฏิเสธข้า เจ้าตายแน่

ตอบแทน?

เฟิ่งชิงเฉินพลันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ยามที่จะเปิดปากพูดออกไปนั้น เมื่อเจอกับสายตาของเสด็จอาเก้า ทำให้นางต้องกลืนคำพูดลงคอไปด้วยความเศร้าโศก

ฮือฮือฮือ ชานี้ นางหาได้ต้องการดื่มไม่ ชานี้นางมิได้ยินยอมดื่มด้วยซ้ำ แต่นางก็ไม่อาจอ้วกมันออกมาได้

เมื่อเจอสายตาที่กดดันของเสด็จอาเก้านั้น เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่ต้องระงับความเศร้าภายในใจเอาไว้ “มิรู้ว่า เสด็จอาเก้าต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินตอบแทนสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”

เสมือนกับเล่ห์กลนัก มิรู้ว่าเสด็จอาเก้าไปเอาถุงหอมเก่า ๆ มาจากที่ใด”ได้ยินมาว่า ฝีเข็มเจ้าล้ำเลิศ ถุงหอมของเปิ่นหวางมันชำรุดแล้ว เจ้าช่วยเปิ่นหวงซ่อมแซมมันหน่อย”

พูดจบ ก็พลันโยนถุงหอมมาให้เฟิ่งชิงเฉินในทันที ยามที่เฟิ่งชิงเฉินยังมิทันได้สติกลับมานั้น ก็พลันรับถุงหอมด้วยท่าทางกระวนกระวาย

นางอยากจะเป็นลมยิ่งนัก นางเคยเย็บปักถักร้อยที่ใดกัน ใช่ ฝีเข็มนางไม่แย่ แต่นั่นเป็นฝีเข็มที่เอาไว้เย็บเนื้อคนต่างหาก ทว่า เมื่อจะเปิดปากปฏิเสธออกมานั้น เพียงแค่เอ่ยออกมาว่า “เสด็จอาเก้า” เพียงแค่สามคำ ก็พลันถูกเสด็จอาเก้าตัดบท “อย่าขยับ”

น้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังนั้น ทำเอาเฟิ่งชิงเฉินตื่นตระหนกไปในทันที พร้อมกับไม่ขยับไปมาอีก

เสด็จอาเก้า ค่อย ๆ ขยับกายเข้ามาหานาง

ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินพลันเบิกกว้างในทันที พร้อมกับจ้องมองไปยังใบหน้าที่หล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้าของนาง มิรู้ว่าตนเองควรจะวางตัวเช่นไรดี สองมือของเฟิ่งชิงเฉินจึงจับถุงหอมเอาไว้แน่น ยามที่จะผลักเสด็จอาเก้าออกมานั้น สองมือกลับโดนยึดเอาไว้ มิอาจยกขึ้นมาได้อีก

พลันได้กลิ่นใบไผ่จาง ๆ ระยะห่างของทั้งสองมีเพียงเส้นผมเส้นเดียวเท่านั้น ยามที่ลมหายใจของทั้งสองผสมปนกัน เฟิ่งชิงเฉินรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อน ๆ ของเสด็จอาเก้าได้ในทันที พร้อมทั้งลอบกลืนน้ำลายลงไปเบา ๆ เฟิ่งชิงเฉินพยายามระมัดระวังกับการหายใจของตนเองยิ่งนัก

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ราวกับเฟิ่งชิงเฉินได้ยินเสียงหัวใจของตนเองที่ดังเต้นรัวออกมาในทันที ริมฝีปากของนางพลันแห้งเหือด นางอยู่ไม่สุขยิ่งนัก แต่เสด็จอาเก้าก็ยังคงอยู่ตรงหน้าของนาง นางจึงมิกล้าขยับตัวไปที่ใด

สถานการณ์ในยามนี้ หาได้เทียบเท่าตอนกลางคืนไม่ กลางคืนไม่มีทั้งแสงไฟ แม้ทั้งสองจะใกล้ชิดกัน แต่ทว่ารอบด้านกลับมีแต่ความมืดมิด นางจึงมองสิ่งใดมิชัดเจนนัก รวมไปถึงทั่วร่างที่ได้รับบาดเจ็บอีก นางจึงเอาแต่จดจ่อกับความเจ็บของตนเอง จนมิอาจไปคิดถึงสิ่งใดได้

แต่ในตอนนี้ นางอยู่บนรถม้า อีกทั้งเสด็จอาเก้ายังขยับเข้ามาใกล้เช่นนี้อีก เหตุใดบรรยากาศถึงดูอบอุ่นยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินอยากจะทำลายบรรยากาศนี้ทิ้งไปเสีย แต่นางก็ไม่มีแรงมากพอ

เมื่อเห็นเสด็จอาเก้าค่อย ๆ เข้ามาใกล้ ๆ นั้น ภายในใจพลันเกิดคำถามขึ้นมาว่า เสด็จอาเก้า ท่านต้องการทำสิ่งใดกันแน่? จักไว้ชีวิตหรือฆ่าตายกันแน่ ทำเช่นนี้ข้าตื่นเต้นยิ่งนัก