เฟิ่งชิงเฉินนั่งอยู่อย่างนั้นไม่ได้ขยับไปไหน ดวงตาที่แข็งทื่อ นางไม่กล้าแม้แต่กะพริบตา ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนคงจะมีที่ว่างพอสำหรับกระดาษเพียงหนึ่งใบ นางกลัวว่าถ้าหากกะพริบตาในตอนนี้คงจะทำให้ขนตาของทั้งสองคนกระทบกัน แล้วเรื่องราวหลังจากนั้นก็คงจะพูดได้ยากแล้วล่ะ
ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังคิด เวลานั้นราวกับว่ากำลังหยุดเดิน เสด็จอาเก้าก็ยังคงมองอยู่อย่างนั้น เวลาผ่านไปนาน ในที่สุดเสด็จอาเก้าก็เอ่ยปากพูดขึ้นมา “หลับตาลงสิ”
น้ำเสียงที่เชื่องช้าราวกับว่ามีพลังที่ทำให้รู้สึกลุ่มหลง ทำให้ผู้คนต้องทำในสิ่งที่เขาพูดโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ละ หลับ หลับตา?” เฟิ่งชิงเฉินพูดติดอ่าง มือของนางเหงื่อออกไม่หยุด กระเป๋าเงินใบเล็กๆในมือของนางถูกทำให้เปียกโชกด้วยเหงื่อ ขนตายาวราวกับปีกของผีเสื้อที่กำลังกระพือเบาๆ ทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกรักและเอ็นดูด้วยความทะนุถนอม
เสด็จอาเก้าไม่ได้พูดอะไร เขากำลังมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยความรู้สึกเช่นนั้น ในดวงตาของเขามีความแน่วแน่ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่สายตาของเสด็จอาเก้า ทำให้นางหลับตาลงและในจิตใจมีแต่ความว้าวุ่น
เสด็จอาเก้าต้องการจะทำอะไรกันแน่? คงจะไม่ได้จูบนางหรอกนะ? ถ้าหากว่าจะจูบนางจริงๆ นางต้องปฏิเสธอย่างสุดกำลัง หรือจะต้องยอมปล่อยไปกันล่ะ?
เห้อ ตัดสินใจได้ยากจริงๆ ถ้าหากนางปฏิเสธ เสด็จอาเก้าจะไม่โกรธนางหรือไม่? ถ้าหากนางยอมปล่อยไป เสด็จอาเก้าจะคิดว่านางใจง่ายเกินไปหรือเปล่า?
ในใจของเฟิ่งชิงเฉินเต็มไปด้วยความคิดดิ้นรนทุกหนทาง กระเป๋าเงินในมือของนางถูกบีบจนไม่เป็นรูปเป็นร่าง ในตอนนี้นางตื่นเต้นกว่าการได้ผ่าตัดครั้งแรกเสียอีก นาง นาง…..นางอยากจะหนีไปจริงๆ!
ถึงแม้ว่าเสด็จอาเก้าจะเคยจูบนางมาแล้ว แต่นั่นเป็นการจูบลงที่บนเส้นผมของนางเท่านั้น และเป็นในเวลากลางคืนอีกด้วย มันจึงไม่ได้น่าอึดอัดและทำตัวไม่ถูกถึงขนาดนี้
ขนตาของเฟิ่งชิงเฉินสั่นแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เสด็จอาเก้านั้นไม่แม้แต่จะขยับ
เมื่อหลับตาลง ประสาทสัมผัสอื่นๆก็ว่องไวมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากกลิ่นหอมไผ่บนตัวของเสด็จอาเก้าแล้ว เฟิ่งชิงเฉินเหมือนจะยังได้กลิ่นบนร่างกายของผู้ชาย ที่เป็นกลิ่นเฉพาะของผู้ชาย และยังมีกลิ่นยาจางๆอีกด้วย
กลิ่นยา? เสด็จอาเก้าได้รับบาดเจ็บหรือ? เฟิ่งชิงเฉินสะดุ้งด้วยความตกใจ ราวกับได้สติกลับมาในทันที แต่ในตอนนี้เอง เฟิ่งชิงเฉินก็พบว่ามีบางสิ่งที่เย็นกระทบลงบนเปลือกตาของนาง
เฟิ่งชิงเฉินตกใจและลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว และได้เห็นเสด็จอาเก้าที่ดึงมือกลับไปพอดี “เสด็จอาเก้า ท่าน ท่านทำอะไร?”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางคิดมากเกินไป หรือเพราะอุณหภูมิในรถม้านี้ร้อนเกินไป แก้มของเฟิ่งชิงเฉินแดงราวกับลูกแอปเปิลในฤดูใบไม้ร่วง ถ้าหากซุนเจิ้งเต้าได้เห็นเข้าละก็ คงต้องบอกว่านางเสียพรหมจรรย์แล้วแน่ๆ
“ขนตาของเจ้ามีสิ่งสกปรกติดอยู่ ข้าจะเอามันออกมา อะไร? เจ้าหวังจะให้ข้าทำอะไร?” ตงหลิงจิ่วขยายระยะระหว่างทั้งสองคนออก พูดเยาะขึ้นมาอย่างจริงจัง เฟิ่งชิงเฉินมองเข้าไปในดวงตาของเขา เห็นเงาเล็กๆของผู้หญิงคนหนึ่งที่แก้มทั้งสองแดงและมีท่าทางประหม่า กำลังเฝ้ารอคอยบางอย่าง
อ่าว…… เฟิ่งชิงเฉินร้องขึ้นมาในใจ
เรื่องทั้งหมดนี่มันคืออะไรกัน ก็ชัดเจนจนไม่รู้จะชัดเจนอย่างไรแล้วว่าเสด็จอาเก้าเป็นฝ่ายที่เริ่มก่อน แล้วทำไมคนที่ต้องทนทุกข์กลับเป็นนางเสียได้ ถึงจะแกล้งนางแต่ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ
เฟิ่งชิงเฉินโกรธมากเสียจนอยากจะกัดตงหลิงจิ่วให้ตาย ดวงตากลมๆ และแก้มที่พองขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะจ้องมองเสด็จอาเก้าด้วยความ”โหดเหี้ยม”เสด็จอาเก้าได้เข้าใจ ว่าผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งก็ไม่ใช่ว่ามาจะยั่วโมโหกันได้ง่ายๆ แต่ก็พบว่า…..
เสด็จอาเก้าได้กลับไปนั่งที่เสียแล้ว พิงลงไปที่เบาะ ในมือยกหนังสือขึ้นมาอ่าน และทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มีความโกรธแต่ก็ไม่มีที่ระบาย เฟิ่งชิงเฉินมีความโกรธที่ติดอยู่ในใจ อยากจะทุบรถม้าด้วยความขุ่นเคือง และอยากจะตะโกนออกมาให้ดังๆ
นางไม่เชื่อว่า ถ้าเสียงดังโวยวายขึ้นมาแล้วเสด็จอาเก้าจะยังคงอ่านหนังสือต่อไปอย่างสงบได้
ความเป็นจริงพิสูจน์แล้วว่า เฟิ่งชิงเฉินนั้นไม่เข้าใจเสด็จอาเก้าเลยจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเสียงดังโวยวาย ต่อให้ฆ่าคนหรือวางเพลิงต่อหน้าเสด็จอาเก้า เขาก็จะอ่านหนังสือต่อไป
เฟิ่งชิงเฉินว้าวุ่นเสียเนิ่นนาน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด นางเริ่มท้อใจขึ้นมาแล้ว มองชาบนโต๊ะที่ยังคงมีควันลอยขึ้นมา ถึงจะไม่ได้ต้องการแต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยกกาน้ำชาขึ้นมา และเทชาลงไปในแก้ว เมื่อดื่มหมดแก้วหนึ่งแล้ว ก็เทใหม่อีกแก้ว
ในหนึ่งปี มีฝนตกลงมาเพียงสองถึงสามปอนด์ก่อนที่หิมะจะตก หากข้าดื่ม ก็ให้ข้าดื่มให้หมดเสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ไม่มีใครให้ระบายความโกรธ จึงทำได้เพียงระบายความโกรธกับน้ำชา เฟิ่งชิงเฉินเทชาอย่างไม่เป็นท่า ไม่เห็นแม้แต่สายตาและมุมปากของเสด็จอาเก้าที่แสดงออกว่าเขากำลังยิ้มอยู่
“ทำไมถึงน่ารักได้ขนาดนี้!”
เสด็จอาเก้าก้มหน้าลง และเปลี่ยนหน้าหนังสือ แต่ที่หน้าหนังสือนั้นมีอะไรเขียนอยู่ เสด็จอาเก้าไม่ได้มองแม้แต่คำเดียว ทุกๆคำที่เขาอ่านเหมือนว่าจะเป็นเฟิ่งชิงเฉินที่กำลังดื่มชาด้วยความโกรธ
กาน้ำชาเล็กๆหนึ่งใบจะมีได้มากสักแค่ไหน เฟิ่งชิงเฉินจิบแค่สองสามครั้งก็หมดแล้ว และตอนนี้เสด็จอาเก้าก็ต้องเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเอาไว้ เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่านางไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับเสด็จอาเก้า ไม่มีประโยชน์สำหรับนางที่จะสร้างความวุ่นวาย ดังนั้นนางจึงหันหน้าออกไปมองข้างนอก และพยายามทำเป็นไม่สนใจ
อย่างไรก็ตามออร่าของเสด็จอาเก้านั้นไม่ธรรมดา ต่อให้มองไปที่ข้างนอกรถม้า สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของเฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงเป็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเสด็จอาเก้า ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงที่จวนเฟิ่งได้ รถม้าหยุดลง เฟิ่งชิงเฉินแทบจะรอไม่ไหวที่จะกล่าวขอบคุณและกระโดดลงจากรถม้า
“เฟิ่งชิงเฉิน รอเดี๋ยว!” เพิ่งจะเดินได้เพียงก้าวเดียว ก็มีเสียงของเสด็จอาเก้าลอยมาจากด้านหลัง เฟิ่งชิงเฉินรีบหันกลับมา และเห็นเสด็จอาเก้าที่โผล่ออกมาครึ่งตัว “เฟิ่งชิงเฉิน อย่าลืมเรื่องของข้าล่ะ อีกสามวันข้าจะกลับมารับ!”
เมื่อพูดจบ ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขาก็มีรอยยิ้มที่สดใสและสวยงาม ทำให้เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึงอีกครั้ง
เสด็จอาเก้ายิ้มออกมาแล้ว? แถมยังยิ้มได้สดใสขนาดนี้? เฟิ่งชิงเฉินพบว่าใบหน้าของนางได้แดงขึ้นอีกแล้ว
รอยยิ้มบนใบหน้าของเสด็จอาเก้าสดใสขึ้นอีก “ได้ยินไหม?”
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ยินสิ่งที่เสด็จอาเก้าพูดเลย แค่ด้วยสัญชาตญาณที่ไม่ต้องการทำให้ชายตรงหน้าผิดหวัง นางจึงพยักหน้าไปทั้งอย่างนั้น
เสด็จอาเก้าพยักหน้าอย่างพอใจ ไม่นานรอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป กลับไปนั่งในรถม้า ปิดประตูรถม้าเสียงดังปัง “ไป”
เมื่อรถม้าห่างออกไป เฟิ่งชิงเฉินถึงได้สติกลับมา ก้มหน้าลงไปมองกระเป๋าเงินที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างในมือ นางแทบจะบ้าตาย
ทำไมตอนที่นางกำลังสับสนถึงได้ทำกับกระเป๋าเงินแบบนี้ ทำไมนางถึงลืมที่จะปฏิเสธ ลืมที่จะบอกกับเสด็จอาเก้าว่านางเย็บผ้าไม่เป็น
กระเป๋าเงิน กระเป๋าเงิน กระเป๋าเงินที่พังแบบนี้จะซ่อมได้อย่างไรกัน
เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนี้ นางโยนกระเป๋าเงินในมือทิ้ง “ข้าไม่ใช่ผู้หญิงที่ทำงานเย็บปักถักร้อย นี่มันกลอุบายของพวกผู้ชายชัดๆ ที่อยากทำให้ข้าหลงกลด้วยการใช้กระเป๋าเงินเพียงใบเดียว ช่างไร้ยางอายเสียจริงๆ นี่มันครั้งที่สองแล้วนะ”
เฟิ่งชิงเฉินน้ำตาไหลเต็มหน้า ครั้งที่แล้วก็เป็นหวังจิ่นหลิงที่ทำให้นางหลงกลอุบายเช่นนี้ หลังจากนั้นนางก็ได้เอากระเป๋าเงินไปให้หวังจิ่นหลิงอย่างงงๆ
ถ้าหากว่าสวรรค์เข้าใจนาง แล้วนี่สวรรค์เป็นอะไรไปล่ะ กระเป๋าเงินนี่เดิมทีนางไม่ต้องการอยู่แล้ว แต่ในทันทีที่กระเป๋านั้นได้ยื่นเข้ามา นางก็เอื้อมมือไปรับอย่างไม่คาดคิด และเก็บมันกลับมาอีกด้วย
ในตอนนั้นที่คิดจะเก็บเงินไว้ แต่ไม่คาดคิดว่าจะถูกหวังจิ่นหลิงหลอกล่อไว้ได้ แต่ในครั้งนี้?
ถูกเสด็จอาเก้าหลอกล่อให้รับกระเป๋าเงินที่พังมา เฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าจวนเฟิ่งด้วยความโกรธ แต่หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็นึกเสียใจ หมุนตัวเดินกลับไปเก็บกระเป๋าเงินนั้นขึ้นมา “ช่างมันเถอะ ในโอกาสหน้าค่อยคืนให้เสด็จอาเก้า ถ้าของสิ่งนี้หายไปคงจะลำบากกว่านี้ เสด็จอาเก้าคนนั้น……”