บทที่ 292 หลับตาลง เยี่ยมเยือนฮูหยิน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ทั้งตัวของเฟิ่งชิงเฉินสั่นเทา

กระเป๋าเงินถูกทำให้เปียกโชกมาก่อนหน้านี้แล้ว เหี่ยวย่นไม่เป็นรูปร่าง ตอนนี้เปื้อนและเต็มไปด้วยฝุ่น มองอย่างไรก็ไม่เป็นรูปเป็นร่างยิ่งกว่าเดิม

ในเรื่องทางการแพทย์ เฟิ่งชิงเฉินนั้นละเอียดรอบคอบมาก แต่สำหรับเรื่องพวกนี้นางกลับประมาทและไม่สนใจไยดี เก็บเข้าไปในกระเป๋าโดยที่ไม่แม้แต่จะมองลวดลายบนกระเป๋าเงิน

ถ้าหากว่าเสด็จอาเก้ารู้เข้าจะต้องโกรธมากแน่ๆ ให้เขาเลือกกระเป๋าเงินให้เป็นเรื่องที่ง่ายนักหรือ? ที่ไม่ง่ายไปกว่านั้นคือเขาเลือกหยิบกระเป๋าเงินที่มีลวดลายมังกรและหงส์ไฟ

กลับมาถึงที่จวนเฟิ่ง สาวใช้นำน้ำมาล้างทำความสะอาดให้เฟิ่งชิงเฉิน จากน้ำก็นำชาและผลไม้เย็นๆมาให้ เมื่อเฟิ่งชิงเฉินได้กินผลไม้เย็นๆก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น

หลังจากที่ได้ฟังรายงานเรื่องราวของจวนเฟิ่งในวันนี้ เฟิ่งชิงเฉินได้ไตร่ตรองดูแล้วว่าไม่มีเรื่องอะไร จึงคิดที่จะไปที่หน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตเพื่อไปหาลู่เส้าหลิน

ก่อนหน้านี้ก็คิดไว้ว่าจะไปเจอลู่เส้าหลิน แต่ครั้งที่แล้วถูกตี๋ตงหมิงทำลายโอกาสไป ในตอนนี้มีเวลาว่าง ให้นางได้ไปสักที

ในตอนนี้ที่นางจะไปหาลู่เส้าหลิน นางไม่ได้มีเจตนาครุมเครือแต่อย่างใด ถ้าหากจะพูดก็ต้องไม่เย่อหยิ่ง ต่อให้เบื้องหลังของนางจะมีเรื่องราวอันตรายต่างๆมากเพียงใด แต่อย่างน้อยนางก็แสดงออกมาอย่างภาคภูมิใจ ในตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงห่วงใยลู่เส้าหลินอยู่ตลอด และนางก็เป็นคนที่จดจำมิตรภาพครั้งเก่าได้ดี

เฟิ่งชิงเฉินสั่งคนในคอกม้าให้เตรียมรถม้า นางกลับห้องไปเปลี่ยนชุด เตรียมตัวที่จะไปที่หน่วยองครักษ์เสื้อโลหิต ยังไม่ทันได้เดินออกนอกประตู ผู้ดูแลจวนหวังก็รีบไล่ตามเข้ามา “คุณหนู สถานะของท่านในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะไปสถานที่อย่างหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิต และยิ่งไม่เหมาะที่จะไปสร้างสัมพันธ์กับท่านลู่”

คุณหนูแห่งจวนขุนนางผู้ภักดีเป็นเหมือนร่มที่คอยป้องกัน ในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนพันธะผูกมัด เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่ผู้หญิงนอกคอกที่ไม่มีใครสนใจอีกต่อไปแล้ว นางจะทำเองอะไรก็จำเป็นมองสถานะของตนเองด้วย การเร่งรีบไปที่หน่วยองครักษ์เสื้อโลหิต และพบกับผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตมีแต่จะถูกผู้คนนินทา

เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนที่โง่เช่นนั้น เมื่อได้เห็นผู้ดูแลจวนหวังพูดขนาดนี้ นางก็เข้าใจในทันที “ไป ส่งคนนำสารไปแจ้งที่จวนลู่ บอกว่าวันพรุ่งนี้ข้าจะไปทักทายลู่ฮูหยิน”

เมื่อผู้ดูแลจวนได้ยิน ใบหน้าของเขาก็แสดงรอยยิ้มที่ชมเชยออกมา “คุณหนู แบบนี้ดีมาก คุณหนูเฟิ่งคนที่ถึงจะไม่มีผู้อาวุโสคอยสอนสั่งตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็เป็นเจ้านายที่เฉลียวฉลาด”

ถูกต้อง สตรีไม่ควรที่จะสร้างสัมพันธ์กับขุนนางข้างนอก แต่สามารถสานสัมพันธ์กับฮูหยินของพวกเขาได้ พวกผู้หญิงในเรือนไม่ได้เพียงแต่มีความสามารถด้าน เปียโน หมากรุก หนังสือ และวาดภาพเท่านั้น สิ่งที่จำเป็นของเจ้านาย พวกนางก็ได้เรียนรู้ไม่ได้น้อยไปกว่าพวกผู้ชายเลย

เนื่องจากเป็นการเยี่ยมเยือนอย่างเป็นทางการ ดังนั้นจะนำกล่องยาติดไปเพียงไม่กี่กล่องก็คงจะไม่เหมาะสม เฟิ่งชิงเฉินเดินกลับมาที่จวนและสั่งให้ผู้ดูแลจวนจัดเตรียมของขวัญไว้ให้

ในอดีตจวนเฟิ่งนั้นยากจน แต่หลังจากที่ได้พระราชโองการของจักรพรรดิมาเพียงไม่นาน เหล่าผู้ร่ำรวยและมีอำนาจในเมืองหลวงต่างก็พากันส่งของขวัญมาให้ ในคลังของจวนเฟิ่งตอนนี้เต็มไปหมด ถ้าหากจะเลือกของขวัญที่ดูมีเกียรติก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

หลังอาหารมื้อกลางวัน เฟิ่งชิงเฉินนอนกลางวันไปครึ่งชั่วโมง ทันทีที่ตื่นขึ้น นางก็เห็นสาวใช้เข้ามาพร้อมกับกองเสื้อผ้าและปิ่นปักผมติดไข่มุก “คุณหนู ผู้ดูแลจวนหวังให้พวกเรามาช่วยท่านแต่งตัว”

เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าอย่างลำบากใจ นางเข้าใจแล้วว่านี้เป็นครั้งแรกที่คุณหนูคนโตแห่งจวนขุนนางผู้ภักดีที่ได้ออกไปผูกมิตรไมตรี ไม่สามารถออกไปด้วยเสื้อผ้าปกติทั่วๆไป

ถึงแม้จะไม่ชอบสวมใส่อะไรที่ทำให้ส่งเสียงดัง แต่เพื่อให้เป็นการไม่เสียมารยาท เฟิ่งชิงเฉินก็ยอมรับได้ เกียรติเป็นสิ่งที่คนอื่นให้มา แต่ก็เริ่มที่ตนเองด้วยเช่นกัน

“อิอิ คุณหนูไม่ต้องกังวลไป ข้าน้อยจะไม่แต่งตัวให้ท่านเป็นเหมือนต้นไม้แน่นอน” สาวใช้เองก็เป็นคนของตระกูลหวัง พวกนางเห็นเฟิ่งชิงเฉินที่อ่อนโยนเหมือนในวันทุกวัน แต่ก็มีความรอบคอบน้อยลงกว่าเดิมเล็กน้อย

“ก่อนมาที่นี่องค์ชายได้บอกความชื่นชอบของคุณหนูให้พวกข้าน้อยได้ฟังแล้ว องค์ชายบอกว่าคุณหนูมีบุคลิกเหมือนผู้สูงศักดิ์สมัยราชวงศ์ก่อนหน้าอย่างมาก พวกข้าจะแต่งตัวให้คุณหนูดูดีมากแน่นอน” สาวใช้อีกคนหนึ่งถือกระโปรงสีแดงสด ดวงตาเต็มไปด้วยความสุข ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังจะได้ไปแต่งงาน และคนที่นางต้องการจะแต่งงานก็คือ……

เห่อเห่อ เฟิ่งชิงเฉินถูกทำให้ตกใจด้วยความคิดของตัวเองไปแล้ว นางสำลักอย่างหนัก หน้าแดงราวกับไฟ

พระเจ้า เมื่อครู่นี้นางเป็นอะไรไป หนึ่งวันผ่านมานี้ไม่ได้มีความคิดอะไรแบบนี้เลย บรรยากาศแห่งความหวังแบบนั้นก็ผ่านมานานแล้ว ทำไมนางถึงได้ยังลุ่มหลงติดอยู่ในใจกับมันอยู่อีก

แน่นอนว่าต้องเป็นเสด็จอาเก้า!

ทั้งหมดเป็นความผิดของเสด็จอาเก้าที่ล้อเล่นกับนางแบบนั้นบนรถม้า ทำให้นางสับสนและงุนงงอยู่เสียนาน เมื่อคิดถึงเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินก็ยิ่งไอหนักขึ้นเรื่อยๆ แทบจะเจ็บอกตาย

“คุณหนู ท่านเป็นอะไรไป?”

“คุณหนู รีบดื่มน้ำเร็ว”

สาวใช้ที่ถูกส่งมาจากตระกูลหวังได้รับการฝึกมาอย่างดี เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีใครที่เข้ามามุงกันอยู่รอบๆ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่กับนาง คนหนึ่งรินชาและอีกคนหนึ่งลูบหลังให้นาง

การกระทำของสาวใช้ทั้งสองเป็นธรรมชาติและจริงใจ และนับว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นเจ้านายของตนเองจริงๆ

เฟิ่งชิงเฉินมีความรู้สึกมากมายเกิดขึ้นในใจ เห่อ……หนี้ของหวังจิ่นหลิงนางจะเอาอะไรมาตอบแทน แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินยิ่งเข้าใจมากขึ้น ต้องชดใช้ให้ได้แน่นอน หวังว่าอาการบาดเจ็บของหวังจิ่นหลิงจะหายดีแล้ว

หลังจากที่ได้ดื่มน้ำ นางก็ยังไอออกมาสองครั้ง เฟิ่งชิงเฉินไม่เป็นอะไรแล้ว และโบกมือแสดงถึงว่านางไม่ต้องการที่จะดื่มมันอีก “เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าเถอะ”

เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้วางแผนทำอะไรด้วยตนเองเลย เพียงตบมือทั้งสองแล้วก็ยกทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของเหล่าสาวใช้

ในตอนที่นางป่วย ทุกๆเรื่องเป็นหน้าที่ของสาวใช้ที่คอยจัดการ และนางก็ค่อยๆคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่มีคนมาคอยจัดเตรียมทุกอย่างให้แล้ว

เรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้มีคนคอยทำให้อยู่แล้ว ทำไมถึงต้องเสียเวลาตั้งมากมายด้วยการลงมือทำเอง
ในเรื่องของสิทธิมนุษยชน การเป็นเพื่อนกับสาวใช้ หรือให้สาวใช้มีสถานะที่เท่าเทียมกับตนเอง เรื่องแบบนี้เฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถทำได้

นางไม่ใช่คนงี่เง่าแบบหลี่เซี่ยง ในสถานที่แบบนี้จะมาพูดถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมอะไรกัน

ถ้านางอธิบายเรื่องสิทธิมนุษยชนกับสาวใช้ จะขอให้สาวใช้สาบานหรืออะไรก็ตามแต่ อีกฝ่ายคงจะคิดเพียงว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นเป็นการให้ทาน และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปฏิบัติกับนางด้วยความจริงใจ

การแบ่งชนชั้นอย่างชัดเจน สถานะของบุคคลนั้นเป็นช่องว่างที่ไม่สามารถข้ามผ่านได้ ไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการพูดเพียงประโยคเดียว นอกจากนี้ถ้าหากนางนับเหล่าสาวใช้เป็นพี่เป็นน้อง อธิบายเรื่องสิทธิมนุษยชนกับพวกสาวใช้ แล้วใครจะเป็นคนทำงานบ้านอย่างเช่น ต้มน้ำ ทำอาหาร และทำความสะอาด?

นางไม่สามารถที่จะไปบอกกับคนอื่นได้ว่า ข้านับถือเจ้าเป็นเพื่อน แต่ในขณะเดียวกันก็ชี้นิ้วสั่งให้ทำงาน ใช้คนอื่นให้เป็นลูกน้อง

สมัยก่อนที่โรงเรียน นางมักจะได้ยินนักเรียนหญิงพูดถึงเรื่องนิยายย้อนเวลา ในหนังสือเล่มนั้น นายหญิงคนหนึ่งมักจะคุยเรื่องสิทธิมนุษยชนกับสาวใช้ และปฏิบัติกับสาวใช้เหมือนน้องสาว ผูกมิตรกันกับสาวใช้ แต่ผลสุดท้าย สาวใช้ก็มักจะทรยศหักหลังนาง

เด็กนักเรียนหญิงคนนั้นไม่หยุดที่จะวิพากษ์วิจารณ์สาวใช้ว่าน่ารังเกียจมาก ไม่เห็นคุณค้าของจิตใจที่ดีของนายหญิง แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับรู้สึกว่าแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติแล้ว

สาวใช้เองก็มีความภาคภูมิใจในเกียรติและฐานะตนเอง เจ้าเป็นคุณหนูคุณนายอยู่ดีๆกลับเรียกตนเองกับสาวใช้ว่าพี่สาวน้องสาว คนคนนั้นทำได้แค่คิดว่าเจ้ามีแผนร้ายอะไรอยู่ หรือว่าเจ้ากำลังให้ทานกันแน่

ยิ่งไปกว่านั้น การที่เจ้าเรียกคนอื่นเป็นพี่เป็นน้อง หรือจะเพิ่มความเมตตากรุณากับคนอื่นมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนสถานะและตำแหน่งของอีกฝ่ายได้

ก็เหมือนกับการที่เสด็จอาเก้าบอกกับนางว่า “เฟิ่งชิงเฉิน ข้านับเจ้าเป็นน้องสาว”

แต่นาง “น้องสาว” คนนี้ เมื่อได้เจอกับเสด็จอาเก้าก็ยังต้องคุกเข่า เมื่อทำบ่อยๆเข้า ในใจของนางจะสามารถปรับสมดุลได้หรือ?

ทั้งๆที่เป็นน้องสาว แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงเป็นเสด็จอาเก้าที่สูงศักดิ์ แต่นางกลับเป็นได้แค่คุณหนูจวนขุนนาง ไม่สามารถเป็นองค์หญิงหรือเจ้าหญิงได้

นอกจากนี้ ถ้าหากนางนับสาวใช้เป็นพี่สาวน้องสาว ฮองเฮาและกุ้ยเฟยจะนับว่านางเป็นพี่สาวน้องสาวได้ด้วยหรือ? ไม่ได้……