หลินจือก้มหน้าลงแล้วเอ่ยพูดขึ้นเบาๆกับลูกแมวตัวน้อย ถึงแม้ว่าลูกแมวน้อยตัวนี้จะปรับตัวไม่ได้กับสภาพแวดล้อมที่แปลกตา แต่มันก็ไม่ได้แสดงความกังวลและความไม่สบายใจออกมามากนัก
เทาเท่ก้มลงมองคนที่นั่งยองๆอยู่ที่พื้น แววตาของเธออ่อนโยนมาก ในใจของเขานั้นอดที่จะคิดขึ้นมาไม่ได้ ว่าถ้าหากตอนนั้นพวกเขามีลูกซักคน ก็คงจะไม่ต้องเดินมาถึงขั้นหย่ากันแบบนี้หรือเปล่า?
นิสัยของเธอดีแบบนี้ จะต้องอ่อนโยนกับลูกของพวกเขาและมีความอดทนมากอย่างแน่นอน
เพียงแต่น่าเสียดาย…..
ในตอนนั้นในใจของเขานั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ ไม่คิดว่าจะพูดคำพูดที่ว่าเธอไม่คู่ควรที่จะคลอดลูกของเขาออกมาได้แบบนั้น ตอนนี้คาดว่าเขาอยากจะมีลูกกับเธอ เธอก็ไม่ยินยอมแล้วเช่นกัน
ความรู้สึกกลับมาสู่ความเป็นจริงใหม่ เขาเอ่ยพูดขึ้นมาอีกครั้ง : “ในรถของผมยังมีอาหารแมว ทรายแมวอะไรพวกนั้นอยู่อีกเยอะเลย เดี๋ยวผมไปเอาขึ้นมาให้นะ”
เพื่อให้ลูกแมวน้อยคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ ดังนั้นที่นอนแมว ถาดแมวอะไรนั่นเทาเท่ก็เอามาด้วยหมด ล้อมรอบไปด้วยกลิ่นที่คุ้นเคย จะต้องสามารถปรับตัวได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน
“ค่ะ” หลินจือพยักหน้าลงเบาๆ “ขอบคุณนะคะ”
เทาเท่ลังเล จากนั้นก็ลงไปเอาของขึ้นมาก่อน
เขายุ่งมาเป็นครึ่งวันยังไม่ได้ทานข้าว อยากจะขอมื้อกลางวันทานซักมื้อ ไม่รู้ว่าเธอจะสามารถทำตามความปรารถนาของเขาได้หรือเปล่า
ไม่ต้องเป็นอาหารที่หลากหลายมาก เพียงบะหมี่ธรรมดาๆชามเดียวก็พอแล้ว
เทาเท่ไปๆมาๆอยู่สองรอบ ถึงได้ขนของที่ตัวเองเอามาจากร้านสัตว์เลี้ยงจนหมด
ที่เขาเตรียมของเอาไว้มากมายขนาดนี้นั้น หลักๆก็เป็นกังวลว่าจู่ๆหลินจือได้รับของขวัญเป็นลูกแมวตัวนี้แล้ว ในบ้านจะไม่มีของอะไรที่เกี่ยวกับแมวเลย แบนนี้จะทำให้เธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ดังนั้นเขาจึงซื้อมาครบชุด
สิ่งของทุกอย่างรวมทั้งยาที่แมวจะต้องใช้อะไรนั่น ก็มีครบถ้วน หลินจือไม่จำเป็นต้องออกไปซื้ออะไรเองเลย
หลังจากที่เทาเท่เอาของขึ้นมาแล้วหลินจือก็เริ่มวุ่นกับการจัดเก็บ จัดการกับที่นอนแมวพวกนั้นแล้ว ก็พามันค่อยๆคุ้นเคยกับสถานที่เหล่านี้ เจ้าหนูที่คุ้นเคยกับที่นี่แล้ว ก็จะเข้ามาเกาะติดเธอบ้างเป็นบางครั้ง
กล่าวแล้วก็คือหลินจือยุ่งเสียจนเท้าแทบไม่ได้แตะพื้นเลยก็ว่าได้ ในสายตาของเธอมีเพียงแค่แมวตัวใหญ่และตัวเล็กสองตัวเท่านั้น ลืมการมีตัวตนอยู่ของเทาเท่ไปแล้ว
หลังจากที่เทาเท่รอเงียบๆอยู่ทางด้านข้างพักหนึ่งแล้วนั้น ท้องของเขาก็รู้สึกหิวเสียจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงได้ออกปากขึ้นเพื่อประโยชน์ของตัวเอง : “ผมยังไม่ได้ทานข้าวเลยครับ”
หลินจือที่กำลังพยายามทุ่มเทปลูกฝังความรักกับแมวทั้งสองตัวอยู่ที่พื้นนั้นได้ยินแล้วก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยความประหลาดใจ : “คุณไม่ได้ทานข้าวที่บ้านด้วยกันกับพ่อของคุณเหรอคะ?”
เขากับไกอากลับมาด้วยกันไม่ใช่เหรอ? หลินจือคิดว่าถึงอย่างไรเขาก็คงจะทานมื้อกลางวันกับไกอาและวีนาแล้ว
เทาเท่เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ : “เปล่าครับ ไปส่งเขาที่บ้านแล้วผมก็ออกมาเลย”
กลัวว่าหลินจือจะรู้สึกว่าตัวเองไร้น้ำใจ เทาเท่คิดแล้วนั้นก็ยังคงอธิบายเพื่อตัวเองขึ้นมาอีก : “ผมกับเขาไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อกัน นั่งอยู่ด้วยกันก็แทบไม่ต่างไปจากคนแปลกหน้าหรอกครับ”
อีกทั้งจุดประสงค์ที่ไกอากลับมาก็เพื่อเรื่องของพินอิน เขาก็ยิ่งไม่อยากจะนั่งทานข้าวด้วยกันกับไกอาอยู่แล้ว
หลังจากที่ส่งไกอาแล้วนั้นก็ออกมาโดยไม่ได้บอกกล่าว สีหน้าของไกอาก็หม่นลงด้วยในตอนนั้น เขาไม่สนใจ ยังคงออกมาอย่างวางมาด
ไกอาไม่ได้ทำหน้าที่เป็นพ่อเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีเหตุผลอะไรที่ตอนนี้จะมาขอให้เขาต้องเชื่อฟังคำสั่งของพ่อ
ทำไมเขาจะต้องมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับพ่อด้วยกัน?
ทำไมตอนนั้นเขาต้องยอมประนีประนอมแต่งงานกับหลินจื่อเพื่อสุขภาพของคุณท่าน?
เป็นเพราะว่าคุณท่านเป็นคนที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็ก คุณธรรมทุกอย่างที่มี วิธีการทางธุรกิจ หลักการในการจัดการเรื่องราวต่างๆ ล้วนแต่เป็นคุณท่านที่เป็นคนชี้แนะเขา สามารถพูดได้ว่า ที่เขาเป็นเทาเท่ทุกวันนี้ได้นั้นเป็นคุณงามความดีครึ่งหนึ่งของคุณท่าน
แต่ไกอานั้นสนใจเพียงแต่การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขของตัวเองเท่านั้น ไม่ว่าจะกับเขาหรือกับพินอิน ไกอาไม่ใช่แค่บกพร่องในหน้าที่ของตัวเองธรรมดาๆเท่านั้น
หลินจือรู้ว่าความรู้สึกที่เทาเท่มีต่อไกอานั้นไม่เท่าไหร่ แต่เธอเองก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมามากนัก ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นเรื่องของพวกเขาตระกูลฟอเรนา ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ
เธอเสนอขึ้นด้วยความหวังดี : “อาหารกลางวันฉันสั่งข้างนอกมาทานเรียบร้อยแล้วค่ะ ในบ้านไม่มีอะไรที่สามารถทานได้เลย ไม่อย่างนั้นคุณออกไปทานข้างนอกดีกว่าไหมคะ?”
เห็นได้ชัดว่าเทาเท่ไม่พอใจในคำตอบนี้ของเธอ หลังจากที่เหลือบมองเธอแวบหนึ่งแล้ว ก็เดินเข้าไปในห้องครัวของเธอโดยไม่บอกกล่าว
หาห่อบะหมี่จากในตู้เย็น เขาหยิบออกมาเอ่ยถามเธอ : “นี่ไม่ใช่ว่ามีบะหมี่หรอกเหรอครับ?”
หลินจือเลี่ยงไม่ได้ : “คุณทานแค่บะหมี่ชามเดียวก็สามารถอิ่มได้เหรอคะ?”
เทาเท่ตอบรับอย่างนิ่งๆ : “อืม”
เขาพูดมาแบบนี้แล้ว หลินจือเองก็พูดอะไรอีกไม่ได้แล้วเช่นกัน แล้วลุกขึ้นล้างมือเดินไปยังห้องครัวทำบะหมี่ให้
เพราะถึงอย่างไรแล้วเขาก็เพิ่งจะให้ลูกแมวน้อยที่เธออยากได้มาตัวหนึ่ง ทำบะหมี่ให้เขา เธอก็ยินดี และยังเป็นการแสดงความขอบคุณของตัวเองด้วย หลินจือนึกได้ว่าในตู้เย็นยังมีเนื้อวัวที่เธอปรุงเอาไว้ก่อนหน้านี้อยู่ จึงหยิบออกมาหั่นแล้วถือออกมาด้วยกัน
เทาเท่ที่คิดอยากจะทานบะหมี่ธรรมดาๆของหลินจือซักชามมาเป็นเวลานานนั้น วันนี้นับว่าได้ทานแล้ว
ความจริงแล้วเมื่อก่อนตอนที่อยู่ด้วยกันกับหลินจือ อาหารทั่วๆไปแบบนี้เขาสามารถทานได้ทุกเวลา หลังจากที่เลิกกันไปแล้วเขาถึงได้รู้ว่าความเรียบง่ายที่ยาวนานนี้มีค่ามากขนาดไหน
เหลือบมองเนื้อซีอิ๊วตรงหน้าแล้ว เทาเท่ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างนิ่งๆ : “คุณไม่ทานเนื้อวัวไม่ใช่เหรอครับ? ทำไมในบ้านถึงได้มีเนื้อซีอิ๊วเตรียมเอาไว้?”
ความจริงแล้วที่เขาถามแบบนี้ ในใจก็มีความหวัง หวังว่าเธอจะพูดประโยคที่น่าฟังขึ้นมา เช่น นี่เป็นสิ่งที่เขาชอบ เตรียมเอาไว้ให้เขาอะไรแบบนั้น
“ถึงแม้ว่าฉันไม่ทาน แต่มีคนชอบทานนี่คะ” เช่นนานิ
ในฐานะที่เป็นดาราหญิงคนหนึ่งและยังเป็นดาราหญิงที่ดังอีกด้วย หลินจือไม่รู้เลยว่าทำไมนานิถึงไม่ชอบอะไรที่ไม่มีเนื้อสัตว์ ไม่กลัวอ้วนเลยใช่ไหม?
นึกถึงที่นานิชอบแล้วนั้น หลินจือจึงเตรียมอาหารที่นานิชอบเอาไว้ในตู้เย็นของตัวเอง
สิ้นเสียงของหลินจือแล้วนั้น เทาเท่ก็รู้สึกว่าบะหมี่ในชามและเนื้อในจานนั้นไม่หอมขึ้นมาในทันที เนื่องจากปฏิกิริยาตอบสนองแรกของเขาก็คือหลินจือเตรียมเอาไว้ให้เจเทาวน์นั่นเอง
หลินจือเห็นว่าจู่ๆสีหน้าของเขาก็ดูแย่ขึ้นมา ก็รู้สึกแปลกใจ เธอพูดผิดตรงไหนอีกแล้ว?
เห็นเขาไม่ขยับตะเกียบอยู่นาน เธอก็ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น : “ถ้าคุณไม่ทานฉันก็จะเก็บแล้วนะคะ”
เทาเท่เห็นว่าเธอจะเก็บไปจริงๆแล้ว ถึงได้รีบทานขึ้นมาทันที
แต่หลังจากที่ทานไปสองสามคำแล้วเขาก็เอ่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ : “ผมคิดว่าเนื้อสัตว์นี้คุณเตรียมเอาไว้ให้เจเทาวน์เสียอีก”
หลินจือรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง
เขาโมโหก็เพราะเรื่องนี้สินะ
เทาเท่เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง : “ปกติแล้วคุณทำอาหารให้เจเทาวน์ทานหรือเปล่า?”
เมื่อนึกถึงว่าเจเทาวน์เองก็สามารถได้รับค่าตอบแทนที่เขาเคยได้รับแล้ว เทาเท่ก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา
ตอนแรกที่รู้ว่าหลินจือกับเจเทาวน์คบกันอยู่นั้น เขารู้สึกนิ่งมาก แต่ช่วงนี้นับวันก็ยิ่งไม่สามารถนิ่งเฉยได้แล้ว ความปรารถนาที่คิดอยากจะยึดครองหลินจือเอาไว้คนเดียวก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
“เปล่าค่ะ” หลินจือตอบเขากลับไป เทาเท่ถอนหายใจออกมาอย่างรู้สึกโล่ง
แต่วินาทีถัดมานั้นก็ได้ยินเธอพูดขึ้นมาอีก : “เขาเป็นคนทำให้ฉันทานค่ะ”
เทาเท่ : “……..”
รู้ว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้ตั้งแต่แรก เขาก็ไม่ถามคำถามนี้แล้ว
เจาเทาวน์ทำให้หลินจือทาน นี่ยิ่งทำให้เขารู้สึกพังทลายมากกว่าหลินจือทำให้เจเทาวน์ทานเสียอีก เนื่องจากว่าแบบนี้เห็นได้ชัดว่าเขาสู้เจเทาวน์ไม่ได้เลย