ตอนที่ 376 สมบัติประจำตระกูล

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 376 สมบัติประจำตระกูล

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังนั่งดื่มชาภายใต้แสงแดดอันอบอุ่นของดวงอาทิตย์

ต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวิน และซูซูได้ออกไปจัดการธุระข้างนอก วันนี้พวกนางจะไปที่ตรอกส่าจินเพื่อดูว่าห้างร้านของพวกนางนั้นเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง พวกนางมิเคยล้มเลิกความคิด แม้ว่าบัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนจะมิใช่ฟู่เสี่ยวกวนคนเดิมแล้วก็ตาม

คราหนึ่งต่งชูหลานเคยได้เอ่ยไว้ว่า เมื่อใดที่เจ้าได้ครองบัลลังก์เป็นองค์จักรพรรดิ เมื่อนั้นทรัพย์สินในส่วนของจักรพรรดินั้นถึงจะเป็นของเขาอย่างแท้จริง ในส่วนทรัพย์สินของท้องพระคลังนั้นไร้ซึ่งความเกี่ยวข้องใดกับตำแหน่งของเจ้า เจ้ามิอาจนำทรัพย์สินของราชอาณาจักรมาใช้ในเรื่องส่วนตัวได้ !

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็เห็นพ้องต้องกัน จึงยอมให้พวกนางทั้งสองคนดิ้นรนเพื่อศักดิ์ศรีกันต่อไป

วันนี้ศิษย์พี่ศิษย์น้องแห่งสำนักเต๋าทั้งเจ็ดได้ออกจากคฤหาสน์จิ้งหูไปแล้ว 4 คน คนที่ยังอยู่ก็ยังคงเป็นศิษย์พี่ใหญ่ ซูเจวี๋ย ศิษย์พี่สามซูโหรว และศิษย์พี่หกซูซู

ส่วน 4 คนที่เหลือนั้นซูเจวี๋ยได้สั่งให้พวกเขากลับไปสำนักเต๋าแล้ว เพราะเรื่องการรักษาความปลอดภัยของฟู่เสี่ยวกวนนั้นคงมิใช่ปัญหาอีกต่อไป

เมื่อวานจักรพรรดิเหวินทรงรับสั่งให้องครักษ์ชุดแดงประจำอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหู 1,000 นาย และกองกำลังนี้เป็นกองกำลังแรกที่คอยคุ้มภัยให้กับฟู่เสี่ยวกวน และมีถังเชียนจวินเป็นนายพลนำทัพ

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนและถังเชียนจวินนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจัดแจงต้มชา

และแน่นอนว่ามิใช่ชาดอกสาลี่ที่เก็บมาจากสวนด้านนอกของตำหนักหยุนชิง แต่เป็นชาที่ซื้อมาจากศาลาเปียวเซียง

กลิ่นหอมอบอวลของชาลอยฟุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ และฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะรินชาให้ถังเชียนจวินพลางถามไถ่ว่า “เจ้ารู้สึกประหลาดใจหรือไม่ ? ”

แน่นอนว่าเสียงของถังเชียนจวินนั้นรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก

เมื่อวันแรกของงานชุมนุมวรรณกรรมได้เริ่มต้นขึ้น ถังจู้กั๋วผู้ที่มีศักดิ์เป็นปู่ของเขาได้จับเขาเข้ากองกำลังองครักษ์ชุดแดง แล้วจากนั้นฝ่าบาทได้ทรงออกราชกิจจานุเบกษาเพื่อแต่งตั้งเขาเป็นนายพลประจำกองกำลังองครักษ์ชุดแดงทั้งหนึ่งพันนายนี้ นี่เป็นดั่งความฝัน เพราะองครักษ์ชุดแดงนั้นล้วนแต่เป็นผู้มีฝีมือระดับสูง ส่วนตัวเขานั้นเพิ่งจะบรรลุเป็นผู้มีฝีมือระดับสองของสำนักศึกษาหลีซานเมื่อมินานมานี้เอง การได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายพลอย่างกะทันหันมิเคยเกิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่ได้ก่อตั้งกองกำลังนี้มาหลายสิบปี

จนกระทั่งวันนี้ วันที่เขาได้รู้ถึงสถานะที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวน และได้รับคำสั่งให้มารักษาพระองค์ที่คฤหาสน์จิ้งหู ทำให้เขาเข้าใจถึงพระประสงค์ของฝ่าบาท

ที่เมืองกวนหยุน ฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีคนรู้จักมากนัก ถังเชียนจวินและฟู่เสี่ยวกวนนั้นอายุไล่เลี่ยกัน อีกทั้งยังเคยได้ประลองกันมาก่อน ด้วยเหตุว่าดูคุ้นเคยกันดีแล้วจึงทำให้เขาจับพลัดจับผลูมาเป็นนายพล

เขายังมิทันได้เอ่ยคำใด ๆ ออกมา เหล่านักปราชญ์ทั้งเก้านั้นก็ได้รีบร้อนที่จะเข้ามาภายในลานของคฤหาสน์จิ้งหูเสียให้ได้ ฟู่เสี่ยวกวนเองก็จำยอมลุกขึ้นไปให้การต้อนรับแก่พวกเขา

นอกจากเหวินสิงโจวและฉงซานเสนาบดีกรมพิธีการแล้ว ส่วนอีก 7 คนที่เหลือนั้นล้วนเป็นผู้ที่ฟู่เสี่ยวมิคุ้นหน้าคุ้นตาทั้งสิ้น

เขาโค้งคารวะ จากนั้นนักปราชญ์ทั้งเก้าก็ได้โค้งคารวะกลับ

“เชิญนั่งเถิดทุกท่าน ประเดี๋ยวข้าจะชงชาให้ทุกท่านได้ดื่ม”

“องค์ชายใหญ่เรื่องดื่มชานั้นไว้ก่อนเถิด ที่กระหม่อมและผู้ติดตามแวะมาที่นี่นั้นมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว” เหวินสิงโจวมองหน้าฟู่เสี่ยวกวนอย่างมีเลศนัย ใบหน้าของเขามิอาจปิดซ่อนรอยยิ้มแห่งความปลื้มปริ่มนั้นเอาไว้ได้

แท้ที่จริงก็มาเพื่อขอให้ฟู่เสี่ยวกวนประทับชื่อไว้บนบทประพันธ์ทั้งหมดที่พวกเขาได้คัดลอกไว้ด้วยความบรรจง แล้วเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติชิ้นล้ำค่าประจำตระกูล พวกเขาต่างก็คาดการณ์มิถึงว่าหลังจากเสร็จสิ้นงานชุมนุมวรรณกรรมที่วัดหานหลิงทั้งสามวันแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนจะกลายเป็นองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ ในอนาคตอันสั้นนั้นเขาก็ได้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว หลังจากนั้นก็จะได้เป็นจักรพรรดิพระองค์ต่อไป !

เพียงแค่ชื่อของเขาคงจะสามารถทำเงินได้มหาศาล !

หากงานประพันธ์เหล่านี้มีลายมือชื่อของเขาคอยกำกับเอาไว้ มันก็จะกลายเป็นสมบัติประจำตระกูลที่ทรงคุณค่ายิ่ง !

เช่นนั้นแล้วเขาจึงกระตือรือร้นเป็นอย่างมากเพื่อที่จะมาหาฟู่เสี่ยวกวนเพื่อสิ่งนี้ แม้ว่าที่เหลือทั้งแปดท่านนั้นจะมิได้คุ้นเคยกับฟู่เสี่ยวกวนมากนัก แต่พวกเขาก็เดินเขามาหาฟู่เสี่ยวกวนด้วยความรู้สึกเฉกเช่นเดียวกัน

พวกเขามิได้มีเจตนาที่จะมาคารวะองค์ชาย แต่มาเพื่อให้ฟู่เสี่ยวกวนประทับชื่อของตนเองลงบนบทประพันธ์ที่พวกเขาคัดลอกมา

“กระหม่อมมาเพื่อร้องขอให้องค์ชายใหญ่ทรงประทับชื่อไว้บนบทประพันธ์เหล่านี้จะได้หรือไม่ ? ” เหวินสิงโจวนำกระดาษแผ่นใหญ่ที่ถืออยู่ในมือกางออกมา จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงเห็นบทประพันธ์ทั้งห้าของเขาอีกทั้งยังมีบทความนั่นอีกด้วย

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตกตะลึง เรื่องแค่นี้ท่านเหวินสิงโจวมาเพียงผู้เดียวก็เพียงพอแล้ว เหตุใดถึงยกขบวนกันมาตั้งแปดคนเล่า !

ถ้าหากว่าเป็นแต่ก่อนฟู่เสี่ยวกวนก็จะฉกฉวยโอกาสเรียกเก็บเงินสักตำลึงสองตำลึงเพื่อเป็นค่าน้ำหมึกและพู่กัน แท่ทว่าบัดนี้กลับทำมิได้แล้ว !

เขามีสถานะเป็นองค์ชาย ส่วนแขกผู้มาเยือนทั้งเก้านั้นเป็นถึงนักปราชญ์ !

และนักปราชญ์ที่ว่านี้ย่อมเป็นผู้ที่แก่การเรียน บ่มเพาะสั่งสอนบัณฑิตมามากหน้าหลายตา คำสอนจากเหล่านักปราชญ์เหล่านี้ย่อมแกร่งกล้าเสียยิ่งกว่ากระบี่ที่อยู่ในมือของชาวราชวงศ์อู๋เสียอีก ฟู่เสี่ยวกวนจึงรู้สึกว่ามิคุ้มค่าที่จะมีปัญหาเพื่อแลกมาซึ่งเศษเงินเพียงแค่มิกี่ตำลึง

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยิ้มเจื่อน ๆ “แต่…ตัวอักขระของข้านั้นน่าเกลียดมากยิ่งนัก”

“ไม่หรอก ๆ ๆ ” เหวินสิงโจวโบกมือปัด “สิ่งนั้นแหละคืออรรถรสที่พวกกระหม่อมปรารถนา ! ”

อรรถรส…รสตดล่ะสิไม่ว่า เพราะลายมือของฟู่เสี่ยวกวนนั้นน่าเกลียดเสียจนฟ้าดินยังอาย เป็นลายมือที่ยากจะมีผู้ใดเหมือน แม้แต่จะเลียนแบบก็แสนจะยากเย็นยิ่ง

“เช่นนั้น ข้าจะประทับชื่อให้ก็แล้วกัน”

เหวินสิงโจวรีบร้อนฝนหมึกจนตัวสั่น “อ่า…ประทับไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน”

ฟู่เสี่ยวกวนจรดปลายผู้กันแล้วบรรจงเขียนลายมือชื่อของตนทั้งสามตัวอักษรให้งดงาม เมื่อลองเอียงคอมองอีกทีก็รู้สึกว่ามิเลวเลยทีเดียว

เขาใช้เวลาเพียงครู่เดียวในการประทับชื่อลงไปบนผลงานที่เหล่านักปราชญ์ทั้งเก้านั้นได้นำมา จากนั้นก็ถือโอกาสในการทำความรู้จักกับพวกเขาทุกคน จากนั้นเขาก็จดจำชื่อและสถานะทางสังคมของอีก 7 ท่านได้อย่างแม่นยำ ท่านนักปราชญ์จ้วงอาจารย์ใหญ่ประจำสำนักศึกษาหลีชานถึงกับเอ่ยปากชวนให้เขาไปเป็นอาจารย์ที่สำนักศึกษา

แน่นอนว่าเขาย่อมปฏิเสธ

เขาได้รับเงินจากสำนักศึกษาจี้เซี่ยมาแล้ว แต่จนถึงบัดนี้ยังมิเคยโผล่หัวไปทำหน้าที่อาจารย์เลยสักครา มิรู้ว่าหลี่ชุนเฟิงจะรู้สึกแค้นใจที่ตัดสินใจมาเชิญเขาไปเป็นอาจารย์มากถึงเพียงใดกัน

ผู้ที่รำเรียนวิชามาย่อมมาเพื่อจุดประสงค์เดียว แล้วก็ได้ลากลับไป พวกเขาต่างก็ถือกระดาษอันล้ำค่าเหล่านั้นด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขและมีสีแดงเรื่อออกมาให้เห็นบนใบหน้าของพวกเขาด้วย ราวกับทำให้พวกเขาดูอายุน้อยลงไปเป็นสิบ ๆ ปี

ถังเชียนจวินผู้ที่เฝ้าสังเกตการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ว่าตัวเขาจะยังมิรู้จักฟู่เสี่ยวกวนดีนัก แต่เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วดวงใจที่เป็นกังวลก็ได้ผ่อนคลายลงไปบ้าง องค์ชายใหญ่พระองค์นี้ช่างดูถ่อมตนยิ่ง

แม้ว่าเขาจะบรรลุวรยุทธ์เป็นผู้มีฝีมือระดับสาม แต่จิตใจของเขายังคงมีความเป็นนักวรรณกรรมเสียมากกว่า

“เรื่องที่องค์ชายทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์ชายนั้น ข้าน้อยรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เยี่ยงไรเสียองค์ชายก็คือองค์ชาย ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากองค์ฝ่าบาทว่าต่อแต่นี้สืบไปให้ปฏิบัติตามคำสั่งขององค์ชาย หากองค์ชายทรงมีพระประสงค์ประการใดโปรดรับสั่งกับข้าน้อย ข้าน้อยจะสนองพระประสงค์ของพระองค์ให้ถึงที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

นี่เป็นการแสดงความจงรักภักดี ในมุมมองของถังเชียนจวินนั้น ชีวิตของเขารวมไปถึงอนาคตของเขาได้เชื่อมโยงเข้ากับฟู่เสี่ยวกวนแล้วอย่างแน่นแฟ้น

การตัดสินใจคราใหญ่ของถังจู้กั๋วผู้เป็นปู่ของเขานั้นมีคุณูปการต่อเขามากมายยิ่งนัก

ถังจู้กั๋วรู้อยู่แก่ใจว่าเยี่ยงไรเสียฟู่เสี่ยวกวนก็จะได้รับการสถาปนาเป็นองค์รัชทายาท และต้องได้เป็นองค์จักรพรรดิอย่างแน่นอน การที่หลานชายของตนได้เป็นผู้คอยรับใช้ฟู่เสี่ยวกวน ก็ย่อมเป็นใบเบิกทางสู่หนทางความก้าวหน้าให้แก่เขา ให้เขาได้เติบโตอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ของฟู่เสี่ยวกวน และในอนาคตเขาย่อมนำความภาคภูมิใจกลับมาสู่วงศ์ตระกูลถังสืบต่อไป

ฝ่าบาททรงเข้าใจเจตนารมณ์ของถังจู้กั๋ว พระองค์จึงมิได้ทรงปฏิเสธ เพราะแท้ที่จริงแล้วนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็จำเป็นต้องมีขุนนางที่คอยเติบโตเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเขาเช่นกัน

ถังเชียนจวินคือคนแรก ต่อไปในภายภาคหน้า จักรพรรดิเหวินก็วางแผนที่จะเปิดรับเหล่าบัณฑิตรุ่นใหม่เข้าประจำการในราชสำนักเพื่อคอยเป็นสหายคู่คิดให้กับฟู่เสี่ยวกวน

“ได้ บัดนี้ข้ามีหนึ่งสิ่งที่อยากจะให้เจ้าช่วย”

“องค์ชายได้โปรดรับสั่ง ! ”

“รอข้าตรงนี้สักประเดี๋ยว”

ฟู่เสี่ยวกวนยกพู่กันขึ้นบรรจงเขียนบางอย่าง เขาเป่าหมึกพู่กันให้แห้ง แล้วจึงพับกระดาษ จากนั้นจึงส่งต่อให้ถังเชียนจวิน

“จงไปที่ฐานทัพหญิงแล้วนำตัวเกาฟู่ลวี่บุตรชายของขันทีเกามาหาข้า บัดนี้หลิงเอ๋อร์คงมิได้อยู่ที่นั่น เจ้าจงนำจดหมายฉบับนี้ฝากไว้กับท่านนายพล ให้เขาช่วยส่งต่อให้หลิงเอ๋อร์อีกที”

“หลังจากนั้นเจ้าจงคัดเลือกกองกำลังองครักษ์ชุดแดงร้อยนายจากหนึ่งพันนายมาให้ข้า ข้ามิประสงค์ผู้ที่มีฝีมือดีที่สุด ข้าขอเพียงผู้ที่มีความซื่อสัตย์และจงรักภักดีมากที่สุดก็เพียงพอไว้เป็นกองกำลังติดตามข้า เยี่ยงนี้เวลาจะไปไหนมาไหนก็ย่อมสะดวกกว่า”

“เอาเยี่ยงนี้ไปก่อน ค่อยปรับเปลี่ยนในภายหลัง…”