ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 290 ตำหนักอัสนีสวรรค์ก็ลงมือ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

บัดนี้ อาณาจักรถังตะวันออกแห่งเกาะนภากลางซึ่งเคยเกิดเหตุใหญ่หลวงเช่นนี้ขึ้น ก็บังเกิดคลื่นใต้น้ำโหมซัด บนพื้นดินปฐพีพิภพอันเป็นเขตแดนเคียงใกล้เช่นกัน

หลินเทียนเฟิงย่ำเหยียบอยู่บนอากาศ ด้านหลังเป็นเหล่ายอดฝีมือของตำหนักอัสนีสวรรค์

หลินโจว คุณชายฟ้าคำรน บุตรชายของเขาก็ยืนอยู่ข้างๆ

หลินเทียนเฟิงทอดมองยังทิศที่เขากว่างเฉิงตั้งอยู่ กล่าวพลางครุ่นคิด “บังเกิดจลาจลขึ้นในเขตใจกลางสำนักกะทันหัน เขากว่างเฉิงผ่านคงจุดหักเหนี้ได้ยาก”

หลินโจวมองลงไปยังปฐพีพิภพที่อยู่ด้านล่าง สีหน้าท่าทางซับซ้อนอยู่บ้าง ในสมองมีภาพต่างๆ นานาผุดขึ้นมา

ปฐพีพิภพ ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต และนพยมโลกล้วนเคยทิ้งความทรงจำอันเลวร้ายอย่างมากให้แก่เขา

ในความทรงจำของเขา ความพลิกผันในชีวิต ก็มาจากหายนะของภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต

ท่านพ่อพลาดในการแข่งขันชิงตำแหน่งประมุขตำหนักกับคู่ต่อสู้อย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุดตกรอบ ภายหลังตกต่ำท่ามกลางการปะทะกับมารนพยมโลก

ตัวหลินโจวเองก็บาดเจ็บสาหัสในการทำศึกครานี้เช่นกัน บาดเจ็บไปจนถึงรากฐานปราณดั้งเดิม หวิดจะตัดหนทางรุดหน้าแล้ว

หลังจากนั้นตำแหน่งของเขาภายในตำหนักก็ตกต่ำฮวบฮาบ กลืนหายไปกับมวลชน ถูกพวกเยี่ยนส่านทิ้งไว้เบื้องหลังโดยสิ้นเชิง

ในเวลานั้น หลี่จิ้งหว่านคนรักผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขของเขาก็โรยราในมือผู้กลายเป็นมารคนหนึ่งเช่นกัน กลายเป็นเรื่องเศร้าที่สุดของเขา

“ตอนนี้ ทุกอย่างล้วนไม่เหมือนเดิมแล้ว” หลินโจวปิดเปลือกตา ถึงแม้จะมีความเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง ทำให้เขาเศร้าหมองอย่างถึงที่สุด

หลินโจวลืมตาขึ้นอีกครั้ง เส้นสายทอดมองไปยังเขากว่างเฉิง เหมือนเช่นหลินเทียนเฟิง บิดาของเขา “ท่านพ่อ คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คงจะไม่ระงับอารมณ์ไม่อยู่กระมัง หน้ามืดตามัวลงมือช่วยเหลือภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตล้มล้างเขากว่างเฉิง นพยมโลกมาเยือนหลังจากนั้น ล้วนไม่เป็นผลดีกับทุกๆ คน”

หลินเทียนเฟิงกล่าว “ไม่หรอก ต่อให้มีคนสิ้นสติ ก็จะมีคนที่จิตใจสงบเยือกเย็นหยุดยั้งเขาเช่นกัน”

เขาพลิกฝ่ามือ พลันปรากฏธนูยาวที่เปล่งแสงสีม่วงวาบวับคันหนึ่งกลางฝ่ามือ “แต่ว่าแม้หยวนเจิ้งเฟิงจะเข้าฌาน เพียงแค่จอมมารหยวนเทียนผู้เดียว ก็ยังต่อกรกับเขากว่างเฉิงไม่ได้ ชัดเจนว่าเขากว่างเฉิงไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”

“ปล่อยให้พวกเขาจัดการภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตอย่างราบรื่นไม่ได้ เพราะต่างเสียหายด้วยกันทั้งคู่ ต้องมีฝ่ายหนึ่งชนะอีกฝ่ายจนย่อยยับ ถึงจะเป็นผลสรุปที่พวกเรายินดีจะเห็น”

ในฝ่ามือหลินเทียนเฟิงก็ปรากฏกระสุนหน้าไม้สีดำดอกหนึ่งเช่นกัน เขากลัดมันไปบนสายธนู จากนั้นน้าวออก

ธนูยาวสาดแสงม่วงวาววาม พลันส่งเสียงราวกับฟ้าฟาดออกมา แหลมคมประหนึ่งจะเสียบทะลุฟากฟ้า

นั่นคืออาวุธวิญญาณระดับสูงที่ตำหนักอัสนีสวรรค์ยึดกุม ธนูนภาอลหท่านนั่นเอง เดิมทีมีชื่อเสียงคู่มากับธนูยิงตะวันของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นธนูวิเศษที่เลื่องชื่อลือชาที่สุดในโลกแปดพิภพในปัจจุบัน

หลินโจวยลกระสุนหน้าไม้สีดำกลางฝ่ามือหลินเทียนเฟิง เอ่ยในใจ ‘ผลพลิกตะวัน สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์น่าจะมีของสิ่งนี้ทั้งหมดสามดอก ให้ตำหนักเราดอกหนึ่ง ครานี้พวกเขาคงผลาญไปหนึ่งดอกเป็นแน่ เช่นนั้นยังเหลืออีกหนึ่งดอก…’

หลินเทียนเฟิงน้าวธนู กลับไม่ใช่ยิงลงไปด้านล่างปฐพีพิภพ หากแต่เล็งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือศีรษะตนเอง

ด้านบนเหนือฝูงชนตำหนักอัสนีสวรรค์ ลวดลายค่ายกลหลากสายยื่นขยายไปบนท้องฟ้า ไม่นานนักก็ปรากฏค่ายกลมหึมาค่ายหนึ่ง เปล่งแสงสายฟ้ากระหน่ำวับวาบ

รอบกายหลินเทียนเฟิง มียันต์วิญญาณหลากสายลอยเวียนว่อน กลายสภาพเป็นค่ายกลวิญญาณ แล้วจึงประกอบขึ้นเป็นค่ายกลวิญญาณแท่นบูชาฟ้า สายฟ้าอสรพิษพลิ้วไหวบ้าระห่ำไปทั่วท้องฟ้า

เขาปล่อยสายธนู ยิงตรงออกไปยังท้องฟ้าเหนือศีรษะจนอับแสง จมหายไปในค่ายกลไม่พบเห็น

ค่ายกลโคจรเสียงดังสนั่น จากนั้นก็เงียบสงบอย่างรวดเร็วยิ่ง

หลินเทียนเฟิงพยักหน้าพึงพอใจ “ผลพลิกตะวัน ช่างสมคำเล่าลือ”

“เป้าหมายของพวกเราหนี้ สำคัญที่สุดคือเสื้อคลุมนภา ขอเพียงได้รับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ การเดินทางนี้ก็ไม่สูญเปล่า” หลินเทียนเฟิงเอ่ย “ปีศาจอัคคีทะเลตะวันออกเคลื่อนไหวผิดปกติอีกครั้ง หอคลื่นโหมและเมืองทะเลมรกตไม่มีเวลาปลีกตัวมาดูแล ประมุขตำหนักก็ต้องเตรียมป้องกันทางเขาไร้พรมแดนเป็นสำคัญ”

“แต่ถ้าหลังหวงกวงเลี่ยแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ออกฌานสำเร็จอีกขั้น กระนั้นเขาไร้พรมแดนกับเขากว่างเฉิงที่ปราณดั้งเดิมเสียหายหนักร่วมมือกันก็ไม่อาจต้านทานได้ง่ายนักเช่นกัน เวลานั้นก็เป็นโอกาสของตำหนักอัสนีสวรรค์เราแล้ว”

“สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต้องการล้มเขากว่างเฉิง ก็ปล่อยพวกเขาไป สำคัญที่สุดคือตำหนักเราต้องเสริมแกร่งพลังความสามารถ”

หลินเทียนเฟิงเก็บธนูนภาอลหม่าน กล่าวว่า “มิเช่นนั้น ครานี้พลังความสามารถของสำนักศักดิ์สิทธิ์พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายภาคหน้าตำหนักเราจะอยู่คบค้าสมาคมกับพวกเขาอย่างไร ก็พูดยากอย่างยิ่งแล้ว”

“เป็นพันธมิตรหรือว่าเบี้ยล่าง สุดท้ายที่ต้องดูยังคงเป็นการเทียบพลังความสามารถของทั้งสองฝ่าย”

แววตาหลินโจวเงียบสงัด ทว่าคล้ายกับแฝงเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ เพ่งมองไปยังทิศเขากว่างเฉิง “ใช่แล้ว สุดท้ายล้วนต้องพึ่งพลังความสามารถในการเจรจา”

เหนือเขากว่างเฉิงในตอนนี้ ผู้อาวุโสจางตั้งรับอยู่ลำพัง ฝ่ามือนภาไร้จำกัดกระบวนท่าหนึ่งโจมตีลง ราวกับฟ้าจะถล่มดินจะทลาย จนศีรษะของมหาปรมาจารย์ฐานะเดิมสำนักเขานิมิตทมิฬคนหนึ่งตรงหน้าแหลกละเอียด!

แท่นบูชาฟ้าพังพินาศ ค่ายกลวิญญาณแตกกระจุย ยันต์วิญญาณทุกตัวกลายเป็นอันตรธานหายไป

ยอดฝีมือมหาปรมาจารย์ชั้นที่เก้า ชั้นรูปญาณระยะท้ายคนหนึ่ง กลับชะตาขาดเช่นนี้ที่เขากว่างเฉิง!

ทั่วทั้งสายสำนักเขานิมิตทมิฬ ขณะนี้เหลือเพียงมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณระยะท้ายสองคนเท่านั้น ต่างเป็นผู้อาวุโสที่จงรักดีของเขานิมิตทมิฬในตอนนั้นทั้งสิ้น

ทว่าบัดนี้หนึ่งในนั้น ได้สิ้นชีพใต้ฝ่ามือของผู้อาวุโสจางไปแล้ว

อีกคนหนึ่งเห็นว่าเขากว่างเฉิงเริ่มพลิกจากตั้งรับเป็นรุกโจมตี กุมความได้เปรียบ สุดท้ายไม่กล้าชนแข็งกับผู้อาวุโสจางที่ระดับมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรม กุลีกุจอหนีออกไป

ผู้อาวุโสจางแค่นหัวเราะครั้งหนึ่ง กล่าวกับฟู่เอินซูและคนอื่นๆ ว่า “อย่าไล่ตามพวกเขาจนตรอกเกินไปนัก เฝ้าระวังสำนัก ป้องกันสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และคนอื่นลอบจู่โจม ข้าจะไปทางเยี่ยนตี๋ จัดการหยวนเทียนกับซินตงผิงให้เร็วที่สุดก่อนค่อยว่ากัน”

“พวกเจ้าอยู่ที่นี่ หากมีเหตุสุดวิสัย จงถอยตั้งรับไปยังยอดเขามหาคุณที่ด้าน รวมตัวกับศิษย์น้องเหอ ทั้งหมดทั้งมวลรอทางข้ากับเยี่ยนตี๋จัดการค่อยว่ากัน”

พวกฟู่เอินซูย่อมรู้ดีว่าจัดการเรื่องหยวนเทียนกับซินตงผิงแล้ว ถึงจะปลดปล่อยพลังมหาค่ายกลกับเสื้อคลุมนภาได้อย่างเต็มที่ นับว่ากวาดเหล่าร้ายราบคาบได้ในพริบตาเดียว และนั่นเป็นจุดสำคัญในการตัดสินสถานการณ์ทั้งหมด

ผู้อาวุโสจางเข้าสู่มิติต่างแดน ด้วยการนำพาของเยี่ยนตี๋แล้วเช่นกัน

ที่นั่น เยี่ยนตี๋กุมความได้เปรียบอย่างเด็ดขาดแล้ว หากไม่ใช่เพื่อไว้ชีวิตหยวนเทียนกับซินตงผิงทั้งหมดไว้ ตอนนี้คงได้รับชัยชนะไปแล้ว

หลังจากผู้อาวุโสจางมาถึง เขาก็ตรงไปสะบัดฝ่ามือโจมตีใส่ซินตงผิงโดยพลัน

เยี่ยนตี๋ก็เริ่มรวมพลัง บุกโจมตีจอมมารหยวนเทียนอย่างดุดัน

สถานการณ์รบยิ่งเบนกลับไปอีกฝั่ง สีหน้าหยวนเทียนจริงจังหนักแน่น ซินตงผิงกลับรำพึงรำพันกับตนเอง “…น่าจะมาถึงแล้วกระมัง?”

ทันใดนั้นเอง มหาค่ายกลนภาก็โดยพลัน!

ตามการปล่อยธนูของผู่จ้าวจวินและหลินเทียนเฟิง ผลพลิกตะวันทั้งสองดอกยิงออกมา หลอมรวมเข้าสู่ภายในค่ายกลที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และตำหนักอัสนีสวรรค์แต่ละฝ่ายตั้งขึ้นเอง พลังอันมหาศาลสองสายส่งออกมาจากนอกบริเวณนภาพิภพ ยิงตรงมาทางนภาพิภพ

คล้ายกับไร้รูปร่างไร้แก่นสาร ทว่ากลับสั่นสะท้านอากาศเปล่า

ลูกธนูยักษ์ทะลุฟ้าราวกับไร้รูปร่างสองดอก พุ่งเป้าตรงมายังเขากว่างเฉิง!

สัมผัสเข้ากับอาณาเขตปกคลุมของมหาค่ายกลนภา พลังไร้รูปร่างสองสายนี้ พลันก่อตัวกระแทกเข้ากับมหาค่ายอย่างรุนแรง

ค่ายกลมหึมาที่เดิมทีมั่นคงอยู่ในอากาศ ลวดลายค่ายกลแต่ละสายพลังทอแสงพร่างพราวขึ้นมาฉับพลัน ก่อเกิดลูกคลื่นรุนแรง

ด้วยอานุภาพของผลพลิกตะวันอันเหี้ยมโหดพิลึกนั่น มหาค่ายกลคุ้มกันเขากว่างเฉิง มหาค่ายกลนภาจึงเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง เหมือนดั่งพื้นผิวทะเลสาบที่มีคลื่นกระเพื่อมขึ้นลง

อากาศในขณะนี้ ล้วนกำลังบิดเบี้ยวและเลือนราง!

ภายในมิติต่างแดน นัยน์ตาทั้งสองของเยี่ยนตี๋พลันปะทุแสงเย็นออกมา อักขระยันต์ในลูกตาดำทั้งสองของเขา แตกสลายกลายเป็นธารแสงเสียงดังกึกก้อง

อักขระยันต์จำนวนมากปรากฏพรู บนพื้นดินสี่ด้านทั่วทั้งภายในมิติต่างแดน ล้วนสับสนวุ่นวายสุดจะรับได้!

———————————–