ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 291 กลับตาลปัตร!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

มหาค่ายกลที่คลุมครอบทั่วทั้งเขากว่างเฉิง ยามนี้ถูกกระแทกฉับพลัน ก่อเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง

ระหว่างที่ค่ายกลผันผวน ฟ้าดินรอบเขากว่างเฉิงล้วนประหนึ่งเช่นผ้าภาพวาดที่พลิกม้วนเป็นคลื่น บิดเบี้ยวตลอดเวลาก็ไม่ปาน

ปราณวิญญาณอันสมดุลบริเวณใกล้เคียง พลันเปลี่ยนเป็นอลหม่านแตกสลาย ปรากฏคลื่นน้ำวนที่เห็นกระจ่างชัดได้ด้วยตาเปล่า แผ่กระจายบนท้องฟ้าเหนือเขากว่างเฉิง

คลื่นวนมหึมานับร้อยนับพัน หมุนวนอยู่บนท้องฟ้าเหนือเขากว่างเฉิงด้วยความเร็วที่แตกต่างกันไป ก่อเกิดความรู้สึกสับสนปนเปอันบิดเบี้ยวพิลึกพิลั่น

ฟ้าดินปั่นป่วนวลีนี้ เปลี่ยนเป็นปรากฏจริงแท้โดยสิ้นเชิงในชั่วขณะนี้

บนเขา ผู้อาวุโสกงยังมีเหล่าผู้ทรงอำนาจแห่งเขากว่างเฉิงเฉกเช่นฟู่เอินซู แต่ไรเริ่มกวาดกำจัดศัตรูที่บุกรุกเข้ามาแล้ว

ศัตรูที่เข้ารุกรานเขากว่างเฉิงจำนวนมากถูกสังหารบาดเจ็บ มีบางคนยิ่งบังเกิดความคิดถอย เริ่มกระจายตัวกันหลีกหนี

ทว่าทันใดนั้นเอง ฟ้าดินพลันบังเกิดความเปลี่ยนแปลง

การโคจรของมหาค่ายกลนภา เปลี่ยนเป็นสับสนปนเปสุดจะรับไหว

ศัตรูเริ่มฉวยจังหวะวุ่นวายตีย้อนกลับมา อีกฝ่ายก็รวมไปถึงผู้อาวุโสหวังและยอดฝีมือระดับสุดยอดคนอื่นๆ ที่แต่เดิมอยู่ใต้สำนักเขากว่างเฉิงเช่นกัน

ผู้อาวุโสจางเข้าไปช่วยเยี่ยนตี๋ในมิติต่างแดน ศัตรูย้อนกลับบุกตี สถานการณ์บนเขากลับเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงขึ้นมาอีก

ยอดเขามหาคุณด้านหลังเขากว่างเฉิง ด้านนอกสถานที่กักตัวเข้าฌานของอดีตเจ้าสำนักหยวนเจิ้งเฟิง มีหญิงชราผมขาวคนหนึ่งมองดูคลื่นวนปราณวิญญาณที่ยุ่งเหยิงปนเปอยู่ในอากาศด้วยสีหน้าหนักแน่นจริงจัง

นางตะโกนร้องกึกก้อง เผชิญหน้ากับคลื่นวนปราณวิญญาณอันปรวนแปร พลางยื่นสองฝ่ามือออกไป

ร่างนภากว่างเฉิงอันมหึมาปรากฏขึ้น มันเคลื่อนไหวเฉกเช่นเดียวกันกับนาง เหยียดยื่นมือยักษ์บดบังฟ้าคู่หนึ่งออกมา ครอบยอดเขามหาคุณเอาไว้

ส่วนยอดเขาอรรณพที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ฟางจุ่นเดิมทีกำลังระงับมหาค่ายกลแดนมาร ขัดขวางการมาถึงของนพยมโลก

หากพูดถึงความเข้าใจต่อนพยมโลกและไอมารแล้ว เขาเป็นสามอันดับแรกของทั่วทั้งเขากว่างเฉิง

กระนั้นเวลานี้ ทิศทางการไหลเวียนปราณวิญญาณทั้งสำนัก ล้วนเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงฉับพลัน ทำให้ฟางจุ่นเองก็รู้สึกรับมือไม่ทันเช่นกัน

พลังปราณนพยมโลกอันน่าพรั่นพรึงผิดปกติที่ปั่นป่วนจิตใจคนเหล่านั้น พลันพุ่งสูงขึ้นอย่างบ้าระห่ำในทันใด!

ไอมารสีดำหลากสายพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า ไม่เพียงปกคลุมหุบเขาผนึกเวหา แต่ยังคลุมครอบทั่วทั้งยอดเขาอรรณพ ถึงขั้นแผ่ขยายต่อไปยังพื้นที่อื่นของเขากว่างเฉิง

ไอมารเข้มข้นค่อยๆ ก่อเกิดความรู้สึกเหนียวหนืดออกมา ราวกับโคลนตมกระจายออกไปทั้งสี่ด้าน นองท่วมเขตแดนโดยรอบของยอดเขาทิวทัศน์ ก่อตัวเป็นแดนมารอันน่าหวาดผวา

ไอมารแปรสภาพเป็นหมอกดำทั่วท้องฟ้าเหนือยอดเขาอรรณพ ภายในหมอกดำเกิดสายฟ้าแลบสีโลหิตกระหน่ำฟาดตลอดเวลา

ในมหาค่ายกล ลวดลายค่ายกลสีดำแต่ละสายไม่ต่างอะไรกับสายโซ่ กำลังพันรอบบนเจดีย์สูงสีทอง

บนดวงหน้ากระจ่างของฟางจุ่น ปรากฏเห็นสีหน้าหนักแน่นจริงจังเช่นกัน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง ก่อนที่ฝ่ามือของเขาทั้งสองตัดสลับอย่างเฉียบขาด

ลวดลายค่ายกลสีดำแต่ละแถวที่เดิมทีคิดรวมตัวเข้าเจดีย์สูงสีทอง บัดนี้ถูกฟางจุ่นชักดึงจนพันเข้าที่ร่างกายเขาทั้งหมด แยกออกมาไกลจากเจดีย์สูง

ฟางจุ่นขัดสมาธินั่งลงบนยอดเจดีย์สูง ยับยั้งประตูแสงสีแดงไม่ให้ปรากฏ และไม่ให้สะท้อนส่องหนทางเชื่อมสู่นพยมโลกไปบนพื้นดิน

ลวดลายค่ายกลสีดำยิ่งพันยิ่งแน่น ยิ่งพันยิ่งถี่ขึ้นเรื่อยๆ สายฟ้าสีแดงจำนวนมากปรากฏด้านบน ขวักไขว่ไม่หยุดหย่อน ถล่มร่างกายของฟางจุ่น

สีหน้าฟางจุ่นไม่แปรเปลี่ยน ยันต์วิญญาณแล่นขึ้นแล่นลงทั่วกาย รวมตัวเป็นค่ายกลวิญญาณ กลายเป็นแท่นบูชาฟ้า ตั้งตระหง่านอยู่เหนือเจดีย์สูงสีทอง ต้านการรุกโจมตีและเข้ากัดกร่อนของมหาค่ายกลแดนมาร

เจตจำนงกระบี่นภาไร้ขอบเขตอันกว้างใหญ่ แปรสภาพเป็นประกายกระบี่วาววามพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ประหนึ่งประภาคารท่ามกลางค่ำคืนมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุด ตลอดกาลมิดับมอด

ในที่สุดมหาค่ายกลแดนมาร ถูกเขายับยั้งไม่ขยายใหญ่ขึ้นอีก

หากแต่สีหน้าอารมณ์ฟางจุ่นหาได้ผ่อนสบายลงไป เขาเงยหน้าขึ้นมองไกลออกไป แม้ว่าเส้นสายตาจะถูกบดบังด้วยหมอกดำสุดลูกหูลูกตา ทว่าเขาก็ยังคงสามารถคาดเดาสถานการณ์ด้านนอกได้คร่าวๆ

“มหาค่ายกลนภาบังเกิดความเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ไม่แน่ว่าอาจเป็นแผนการของอาจารย์อาซิน เมื่อเป็นเช่นนี้ โอกาสของเขาก็มากขึ้นแล้ว”

ฟางจุ่นสีหน้าท่าทางชะงักนิ่ง แม้ว่าตนเองจะสามารถประคับประคองที่นี่ไว้ได้ ปราบมหาค่ายกลแดนมารได้สำเร็จ กระนั้นจุดสำคัญในการตัดสินแพ้ชนะ ก็ยังคงอยู่ที่มหาค่ายกลนภาและเยี่ยนตี๋ตลอด

ที่นั่นหากต้านหยวนเทียนกับซินตงผิงไม่อยู่ ทั้งเขากว่างเฉิงจะต้องประสบหายนะ

ซินตงผิงผู้ซึ่งเข้าใจมหาค่ายกลนภาดี ร่วมมือกับหยวนเทียนผู้ซึ่งอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นพลังอำนาจทำลายล้างที่ยากจะต้านทาน

จริงดังเช่นฟางจุ่นคาด ในมิติต่างแดนขณะนี้ สถานการณ์ที่เดิมทีเอนเอียงอยู่ฝ่ายหนึ่ง เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในบัดดล!

มหาค่ายกลนภาผันผวนอย่างรุนแรง เยี่ยนตี๋รู้สึกว่าการเชื่อมต่อของตนกับมหาค่ายกล ตัดขาดลงกว่าครึ่งในชั่วพริบตา

กลางอากาศ ก็มีลวดลายค่ายกลสายแล้วสายเล่าขาดเสียหายดังกระหึ่มเช่นกัน อักขระยันต์ที่หล่นกระจายก่อตัวขึ้นใหม่ฉับไว กลับกลายเป็นลักษณะที่แตกต่างไปโดยชิ้นเชิงแล้ว

ทว่ายามนี้ซินตงผิงพลันคำรามลากเสียงทันใด กลางฝ่ามือทั้งสองปรากฏอักขระยันต์ลึกลับมหัศจรรย์ขึ้นอีกครั้ง

ที่ยิ่งทำให้เยี่ยนตี๋และผู้อาวุโสจางรู้สึกหนักใจคือ ในลูกตาดำทั้งสองของซินตงผิงเริ่มปรากฏให้เห็นอักขระยันต์คล้ายคลึงกับของเยี่ยนตี๋ก่อนหน้านี้อย่างไม่คาดคิด

นัยน์ตาทั้งสองข้างของซินตงผิงเปิดปิด รัศมีแสงเปี่ยมล้นกระจายไปทั้งสี่ด้าน บังเกิดธารแสงหลากสายออกมาในมิติต่างแดน เสริมหนุนไปที่ร่างเขาพร้อมกัน

ซินตงผิงเป็นผู้มีอำนาจควบคุมมหาค่ายกลนภา!

ท่ามกลางเสียงคำรามยาว ร่างนภาไร้จำกัดสุดของซินตงผิงเพิ่มสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่งในพริบตา พลังที่สำแดงออกมาไม่ด้อยไปกว่าจอมมารหยวนเทียนแม้แต่น้อย

ซินตงผิงและหยวนเทียนลงมือพร้อมกัน ประจันหน้าเยี่ยนตี๋ที่เสริมหนุนด้วยเสื้อคลุมนภา

โลกหล้าในมิติต่างแดนพลันปรากฏรอยร้าวดำสนิทเป็นแนวยาวสายหนึ่ง นั่นคือรอยแตกของมิติ

ซินตงผิงหาใช่เหมือนเช่นเยี่ยนตี๋ไม่ ที่จะคิดคำนึงจำกัดควันหลงการต่อสู้เอาไว้ในมิติต่างแดน บัดนี้เจาต้องการฉีกมิติต่างแดนออกด้วยการกระทบกระแทกของพลังอันบ้าคลั่งเท่านั้น

ขณะนี้เขากลายเป็นผู้ควบคุมหลักของมหาค่ายกลนภา จึงเริ่มลงมือทำลายมิติต่างแดนได้แล้ว

แรงกดดันเยี่ยนตี๋เพิ่มขึ้นทวีคูณ ทำได้เพียงพยายามรักษาไว้ให้ได้มากที่สุด

เหยียบย่างสู่ขั้นบรรลุธรรม มีเสื้อคลุมนภาอยู่กับตัว ต่อให้หนึ่งต่อศัตรูสอง เขาก็กล้ารบสักตั้ง

ทว่าคิดจะกักหยวนเทียนและซินตงผิงไว้ในมิติต่างแดนต่อไปกลับยากเสียยิ่งกว่ายาก

หากสองคนนี้หลุดพ้น ลองมือตามอำเภอใจ คนอื่นๆ ในเขากว่างเฉิงก็ต้องประสบหายนะ

สถานการณ์ต่อสู้ภายในมิติต่างแดนกลับตาลปัตรแล้ว

ซินตงผิงโบกสะบัดกระบี่หนึ่ง ประกายกระบี่แพรวพรายประดุจทางช้างเผือกพลิกม้วนกลับ บีบทำลายร่างนภากว่างเฉิงของผู้อาวุโสจาง!

ท่ามกลางเสียงฮึดฮัดของผู้อาวุโสจาง แขนข้างหนึ่งของร่างนภากว่างเฉิงแตกเป็นเสี่ยงๆ ในชั่วพริบตา หน้าอกครึ่งท่อนที่เชื่อมติดกับบ่าก็แตกสลายออกมาเช่นกัน

ซินตงผิงซัดอีกกระบี่หนึ่งออกมา ประกายกระบี่แตกแยกสาขาออกเป็นส่วนเล็กส่วนน้อย ปกคลุมผู้อาวุโสจาง แปรสภาพเป็นโลกขนาดเล็กใหญ่อย่างไม่คาดคิด

ในโลกขนาดเล็ก เจตจำนงกระบี่ที่เลื่อนลอยและแน่นิ่ง จู่โจมออกมาจากทั่วสารทิศพร้อมกัน

ผู้อาวุโสจางกัดฟันกรอด ต้านทานอย่างทุกข์ทรมานยิ่ง ถูกพันธนการอยู่ในนั้นยากปลีกหนี

ซินตงผิงกลับถือกระบี่ขึ้นอีกครั้ง ร่วมกับหยวนเทียนล้อมโจมตีเยี่ยนตี๋

ถึงแม้ในการยึดแย่งมหาค่ายกล เยี่ยนตี๋จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ กระนั้นก็ยังคงพยายามเชื่อมประสานมหาค่ายกลนภา แข่งขันกำลังกับซินตงผิง

เขาพาดเสื้อคลุมนภา ปราณบริสุทธิ์หลากสายไหลออกมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน คงมิติต่างแดนเอาไว้ไม่ให้สลายไป

ดาบสวรรค์มังกรทะยานราวกับมังกรแสงสีม่วง กำลังขวักไขว่อยู่ในอากาศไม่หยุดยั้ง เข้าปะทะหยวนเทียนและซินตงผิงซึ่งๆ หน้า

เยี่ยนตี๋ถือดาบมือขวา มือซ้ายตั้งสองนิ้วขึ้นประดุจกระบี่ กระบี่เล่มหนึ่งชี้ออกมา คล้ายปิดคล้ายผนึก เรียบง่าย ทว่าพลังปราณมากล้นทรงพลัง ครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง

วิชากระบี่อำพันลี้ลับ หนึ่งในยอดวิชาแปดพิภพนั่นเอง

กระบี่หนึ่งเป็นปราการ พร้อมตั้งรับพร้อมรุกตี รวมเป็นหนึ่งไม่อาจแบ่งแยก

มือขวาเยี่ยนตี๋บุกด้วยดาบนภาไร้จำกัดเป็นหลัก มือซ้ายตั้งรับด้วยวิชากระบี่อำพันลี้ลับ กระทบกระแทกหยวนเทียนและซินตงผิงซึ่งหน้า ไม่ถอยแม้ครึ่งก้าว!

ซินตงผิงไม่ร้อนไม่รน เอื้อยเอ่ยอย่างเฉยชา “เยี่ยนตี๋ ข้าคิดว่าสายตาข้าดีพอ คิดไม่ถึงว่าจะมองเจ้าผิดไป พยายามประมาณเจ้าสูงแล้ว ไม่คิดว่าผลกลับยังคงประเมินเจ้าต่ำไป”

“แต่เสียการเสริมแกร่งของมหาค่ายกลนภาไป แม้เจ้าจะก้าวสู่ขั้นบรรลุธรรม ขับเคลื่อนเสื้อคลุมนภาก็ยังคงมีขีดจำกัดเช่นกัน ผลาญพลังมหาศาล ยืดเยื้อเวลาออกไป เจ้ายิ่งจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ”

เขาฟันกระบี่หนึ่งออกไป กระทบกับดาบนภาไร้จำกัดของเยี่ยนตี๋

มิติต่างแดน ผันผวนอีกครั้งหนึ่งฉับพลัน ราวกับจะถล่มทลายลงได้ทุกเมื่อ!

——————————–