ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 292 เยี่ยนจ้าวเกอกลับมาหนุนทัพ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เนื่องจากเยี่ยนตี๋เสียอำนาจหลักในการควบคุมมหาค่ายกลนภา มิติต่างแดนที่สร้างขึ้นด้วยค่ายกลก็พลันไม่เสถียรขึ้นมาทันใด

เหนือฟากฟ้า มิติแตกออกเป็นรอยร้าวสายหนึ่งอยู่ตลอดเวลา พลังอันบ้าคลั่งไหลพุ่งออกมาจากนั้น ประหนึ่งว่าท้องฟ้าหลั่งเลือดอย่างไรอย่างนั้น

พลังอันบ้าคลั่งนี้อาจจะมีต้นตอจากเยี่ยนตี๋ หรืออาจจะมีต้นต่อจากซินตงผิงและหยวนเทียน

ไม่ว่าจะมีที่มาจากผู้ใดก็ตาม กระนั้นตกลงจากฟ้า ล้วนสร้างภัยคุกคามมหาศาลให้แก่เขากว่างเฉิงที่อยู่เบื้องล่าง ราวกับภัยธรรมชาติก็ไม่ปาน

อำนาจควบคุมมหาค่ายกลนภาส่วนใหญ่ในขณะนี้ล้วนตกอยู่ในมือซินตงผิง อานุภาพมหาค่ายกลถูกเขาฉุดดึง รวมไปอยู่ที่ตนเองตลอดเวลา เพื่อใช้จัดการเยี่ยนตี๋

เขากว่างเฉิงในขณะนี้ เสียการป้องกันจากมหาค่ายกลคุ้มกันเขาที่ปกป้องตนเองเป็นปกติสุขเสมอมาแล้ว

พลังน่าพรั่นพรึงแผ่กระจายลงมาจากท้องฟ้า ตกลงไประหว่างกลุ่มเขากว่างเฉิง สร้างความเสียหายฉับพลัน

ไม่ว่าจะตกลงไปยังแห่งใด บริเวณนั้นก็กลายเป็นภาพเหี้ยมโหดอันสั่นแผ่นดินคลอนภูผาไปทั้งผืน

กลุ่มภูเขาทอดยาวที่ยามปกติงามลออ ถูกชะล้างด้วยโลหิตและเพลิงในวันนี้

แปดยอดเขากว่างเฉิง ได้รับพิษภัยร้ายทั้งสิ้น

ถึงแม้ว่าจะไม่มีมหาค่ายกลคุ้มภัยแล้ว ทว่ากลุ่มภูเขากว่างเฉิง จอมยุทธ์กว่างเฉิงแต่ละยุคสมัยที่ผ่านมาเหลือคณานับอาศัยอยู่ที่นี่ ฝึกฝนอยู่ที่นี่

ปณิธานวิถีวรยุทธ์อันมหาศาล สั่งสมแรมเดือนแรมปี ก็กำลังหลอมรวมยอดเขาแต่ลูกอยู่ไม่หยุดหย่อนเช่นกัน

กลุ่มภูผาทอดยาวที่ดูเหมือนสามัญทั่วไป แท้จริงแข็งแกร่งดุจเพชร ไม่เหมือนเช่นตอนเพิ่งก่อตั้งสำนัก ที่สามารถถูกยอดฝีมือวิถีวรยุทธ์ถากยอดเขาให้เรียบได้อย่างง่ายดาย

แปดยอดเขากว่างเฉิงในตอนนี้ ต่อให้ยอดฝีมือมหาปรมาจารย์ระดับสูงบุกเข้ามา ก็ยากยิ่งจะทำลายเช่นกัน

ถึงกระนั้น เหนือฟากฟ้าในตอนนี้ มีประกายกระบี่น่าหวาดหวั่นร่วงลง ตัดยอดเขาพ้นอัคคี หนึ่งในแปดยอดเขาเฉียงออกไปครึ่งหนึ่งโดยพลัน!

ยอดเขาที่เดิมทีเรียบและเกลี้ยงเกลาดุจกระจก บัดนี้เปลี่ยนเป็นตะปุ่มตะป่ำแหลมคมอีกครั้ง

ไอมารอนิจจังอันน่าพรั่นใจดุจหมอกควันซัดสาดไล่หลัง รั่วไหลออกมาจากรอยแยกบนท้องฟ้า ลอยสะพัดไปแต่ละพื้นที่ของเขากว่างเฉิง

ไม่ว่าจะจอมยุทธ์กว่างเฉิงหรือจอมยุทธ์ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต ผู้คนที่สัมผัสเข้ากับไอมารอนิจจังเหล่านี้ ล้วนเคลิบเคลิ้มใจลอย รู้สึกหายใจไม่ออกอยู่ในที

จอมยุทธ์ที่ระดับพลังฝึกปรือค่อนข้างต่ำ ครั้นถูกหมอกควันหม่นมัวปกคลุม ก็พลันขาดใจสิ้นชีพ หมดสิ้นชะตาชีวิต!

แม้กระทั่งมหาค่ายกลแดนมารที่ฟางจุ่นพยายามยับยั้ง ทันทีที่ได้รับผลกระทบพลังเหล่านี้ สมดุลที่เดิมอ่อนแอยิ่งทวีความผันผวนขึ้นเรื่อยๆ อยากระงับขึ้นมากลับยากยิ่งขึ้น

หลังจากรอยแยกกลางท้องฟ้าปรากฏ พลังทำลายล้างอันน่าหวาดผวารั่วไหลออกมา จากนั้นก็เชื่อมประสานแนบสนิทอีกครั้งในชั่วพริบตา

หากแต่ไม่นานนัก ก็จะมีรอยแยกใหม่ปรากฏขึ้นอีกหน

ที่ยิ่งทำให้ผู้คนเป็นกังวลคือ รอยแยกปรากฏถี่ขึ้น เว้นช่วงสั้นลง และมีจำนวนยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

หลายครั้งมีรอยแยกน่าประหวั่นหลายสายปรากฏขึ้นพร้อมๆ กัน นำมาซึ่งมหันตภัยแก่เขากว่างเฉิง

ผู้อาวุโสเหอที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่ที่ยอดเขามหาคุณ สถานที่เข้าฌานของหยวนเจิ้งเฟิง ครั้นเห็นเช่นนั้น ดวงหน้าของเขาก็เครียดเกร็งขึ้นมา

ร่างของหญิงชราหลังค่อมยามนี้ยืดตรง เทียบกับร่างกายผอมลีบของนางแล้ว ร่างนภากว่างเฉิงที่ตระหง่านอยู่ระหว่างกลุ่มยอดเขากว่างเฉิงนั้นมโหฬารจนไม่อาจเปรียบได้

ฝ่ามือนภากว่างเฉิงอันมหาศาลทรงพลัง ในขณะที่ตั้งฝ่ามือ มีอานุภาพพลิกฟ้า บัดนี้ชูขึ้นเบื้องบน กลับคล้ายเสาค้ำฟ้าอย่างไรอย่างนั้น

ด้วยความพยายามจากด้านนอกของผู้อาวุโสเหอ มิติต่างแดนบนฟากฟ้าเหมือนว่ามั่นคงขึ้นมาอยู่บ้าง ไม่พังทลายถี่ยิบเช่นนั้นอีก

ทว่ามิติบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง นำแรงกดดันมาให้ผู้อาวุโสเหอตลอดเวลา บีบจนร่างกายนางโก่งงอลงเรื่อยๆ

ขณะนี้ บริเวณไกลออกไปมีธารแสงสายหนึ่งห้อตะบึง พุ่งทะยานมาทางเขากว่างเฉิง

นั่นคือกลุ่มของเยี่ยนจ้าวเกอและสือเถี่ยที่หลังจากขจัดปัญหามหาค่ายกลแดนมารในเขตเชื่อมทะเลสาบแล้ว กลับมาหนุนกำลังสำนักอย่างเร็วรี่

เยี่ยนจ้าวเกอและคนอื่นๆ ทอดข้ามท้องฟ้า รีบเร่งมายังเขากว่างเฉิง โดยมีสือเถี่ยเป็นผู้นำ

เมื่อใกล้เข้ามาถึง พวกเราแลเห็นภาพที่มหาค่ายกลนภาปะทุความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันพอดี

คล้ายกับว่าขณะถูกธนูยักษ์ไร้รูปร่างสองดอกยิง มันได้รับการโจมตีขนานใหญ่ หากทอดมองจากไกลๆ บัดนี้มหาค่ายกลประหนึ่งผ้าวาดภาพบิดเบี้ยวอย่างไรอย่างนั้น

ชายหนุ่มย่นหัวคิ้วขึ้น สัมผัสรับรู้การเปลี่ยนแปลงมหาค่ายกลอย่างละเอียด อดเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อยไม่ได้ “มหาค่ายกลเปลี่ยนแปลงจนยุ่งเหยิงสุดจะรับไหว แต่ท่ามกลางปรากฏการณ์อันวุ่นวาย กลับมีร่องรอยอื่นสามารถตามได้ มีคนกำลังได้ทีขี่แพะไล่อยู่ในนั้น”

สวีเฟยสีหน้าท่าทีเคร่งขรึม “อาจารย์อาเยี่ยนรับช่วงต่อมหาค่ายกลกับมือท่านอาจารย์ปู่ ไม่จำเป็นต้องแปรเปลี่ยนเป็นพิเศษ ขอเพียงสำแดงอานุภาพค่ายกลเช่นปกติก็ใช้ได้”

“เกิดเหตุเช่นนี้ เป็นไปได้ว่ามีคนวางแผนยึดค่ายกล!”

นิ้วเยี่ยนจ้าวเกอนวดขมับตนเอง “ซินตงผิง! นอกจากเขาไม่มีคนอื่นแล้ว ที่เลวร้ายคือ หากดูจากสถานการณ์ตอนนี้ เกรงว่าเขาจะทำสำเร็จแล้ว”

ทุกคนล้วนรู้สึกหนักใจ

มหาค่ายกลคุ้มกันเขาตกอยู่ในอำนาจควบคุมซินตงผิง มันหมายความว่าอย่างไร ทุกคนต่างกระจ่างชัดอย่างยิ่ง

แต่ไรซินตงผิงก็ยืนอยู่เหนือบรรดามหาปรมาจารย์ ห่างจากขั้นศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่ก้าวหนึ่ง

ปัจจุบันจอมยุทธ์มหาปรมาจารย์ทั่วทั้งโลกแปดพิภพ ผู้ที่กล้าพูดว่าชนะเหนือซินตงผิงได้ มีเพียงหยวนเจิ้งเฟิงที่กำลังกักตนเข้าฌานอยู่เท่านั้น

“ถ้าหากท่านพ่อเหยียบย่างเข้าขั้นบรรลุธรรม ก็สามารถมีชัยเหนือผีแก่ผู้นั้นได้เช่นกัน” เยี่ยนจ้าวเกอใจยาวๆ ครั้งหนึ่ง “แต่มหาค่ายกลนภาตกอยู่ในมือซินตงผิง พลังความสามารถของเขาก็เทียบเท่าขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังผนวกจอมมารศักดิ์สิทธิ์เข้าไปอีก ต่อให้ท่านพ่อจะต้านทานได้ เขากว่างเฉิงก็คงเสียหายแล้วเช่นกัน”

สีหน้าอารมณ์สือเถี่ยเคร่งขรึมจริงจัง จดจ้องทิศเขากว่างเฉิง สายตามิเคลื่อนย้ายแม้เสี้ยวนาที

อาหู่แยกเขี้ยวคำรามเสียงต่ำ “คุณชาย คลื่นเมื่อครู่นั่น เกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือขอรับ?”

เยี่ยนจ้าวเกอเอื้อนเอ่ย “การรุกโจมตีจากภายนอก แบ่งกันสั่นคลอนมหาค่ายกลจากสองทิศทาง เพื่อเพิ่มโอกาสให้แก่ซินตงผิง”

“สายฟ้าถล่มนภาทลายค่ายกล ผลพลิกตะวัน ยันต์พลิกแผ่นดินหนี คาถาเก้าชั้นฟ้าอลหม่าย.. คร่าวๆ ก็น่าจะหนึ่งอย่างหรือหลายอย่างจากบรรดาของเหล่านี้” เยี่ยนจ้าวเกอหันกลับไปมองทางเหนืออัคคีพิภพ “ข้าลองคิดดูแล้ว ได้ยินมาว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เคยมีผลพลิกตะวันอยู่สองสามลูก แต่ก็เป็นเรื่องของเมื่อหกร้อยปีก่อน”

“ดูท่าคงหาพบอีกหลายลูกแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเย็นพลางมองไปยังปฐพีพิภพที่อยู่ด้านทิศตะวันออก “ขับเคลื่อนผลพลิกตะวัน อย่างต่ำที่สุดจำเป็นต้องเป็นคันธนูวิเศษระดับชั้นอาวุธวิญญาณระดับสูง ผลพลิกตะวันสองลูกยิงมาจากทิศทางต่างกันในเวลาเดียวกัน วันนี้เรื่องนี้นอกจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ตำหนักอัสนีสวรรค์ก็ผสมโรงเข้ามาแล้วเช่นกัน”

สีหน้าสือเถี่ยหนักแน่นดุจโลหะ “ผ่านหายนะวันนี้ให้ได้ก่อน ค่อยคิดบัญชีทีละคน”

เยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสความเปลี่ยนแปลงของปราณวิญญาณในค่ายกล ก่อนจะพูดโพล่งออกมาในทันที “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ ช้าก่อน”

สือเถี่ยมองยังเขา เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าเอาจริงเอาจรัง “บางทีข้าอาจคิดวิธีได้ หากแต่ต้องให้ข้าครุ่นคิดทบทวนการเปลี่ยนแปลงของมหาค่ายกลอย่างละเอียดครู่หนึ่งก่อน”

“ตกลง” สือเถี่ยเลือกเชื่อเยี่ยนจ้าวเกอ ผู้ที่แต่ไรมามีระดับความรู้ซึ้งอันโดดเด่นในวิถีของค่ายกล แม้ว่าจะร้อนใจประดุจถูกไฟแผดเผา ทว่าก็หยุดฝีเท้าลงแล้ว

ครั้นลงถึงพื้น เยี่ยนจ้าวเกอก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง กดฝ่ามือไปบนพื้นดิน

พื้นดินปรากฏลวดลายหลากสายถี่ยิบ โดยมีมือของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นศูนย์กลาง ตอบสนองกับมหาค่ายกลนภาที่ปกคลุมทั้งสี่ทิศบนท้องฟ้า

เยี่ยนจ้าวเกอคิดคำนวณตลอดเวลา ส่วนสือเถี่ยและคนอื่นๆ เฝ้าอยู่ข้างกายเขา

เวลานี้ไกลออกไปพลันมีคนเข้ามาใกล้ เป็นหญิงสาวสองคน ได้แก่เฟิงอวิ๋นเซิงและซือคงจิง

พวกนางเห็นเยี่ยนจ้าวเกอและสือเถี่ยแล้ว ต่างก็ผ่อนลมหายใจคำหนึ่ง “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ อาจารย์ให้พวกข้าออกมารับพวกท่านกลับไปเสริมกำลังโดยเร็ว สถานการณ์ของสำนักในตอนนี้อันตรายอย่างยิ่ง”

สือเถี่ยเอ่ยถาม “รายละเอียดเหตุการณ์เป็นเช่นไร?”

เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวตอบเร็วรี่ “ผู้อาวุโสสูงสุดซินแห่งหอคัมภีร์เป็นไส้ศึก เป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามหาค่ายกลนภาจะตกอยู่ในมือเขา บัดนี้กำลังร่วมมือกับจอมมารหยวนเทียน ต่อสู้กับท่านอาจารย์อาเยี่ยนและผู้อาวุโสจางอยู่ภายในค่ายกล ขณะนี้ผู้อาวุโสจางได้รับบาดเจ็บหนัก”

“หุบเขาผนึกเวหามีมหาค่ายกลแดนมารกำลังชักนำนพยมโลกมาเยือน อาจารย์ลุงฟางกำลังยับยั้ง ผู้อาวุโสเหอเฝ้าคุ้มกันท่านอาจารย์ปู่เข้าฌาน ส่วนท่านอาจารย์นำคณะศิษย์ร่วมสำนักและผู้อาวุโสสูงสุดกงแห่งหุบเขาผนึกเวหาประมือกับจอมยุทธ์ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต อีกฝ่ายมียอดฝีมือไม่น้อย”

ทุกคนได้ยินดังนั้นแล้ว ล้วนมีสีหน้าหนักแน่นจริงจัง

————————