“คุณอย่าทำให้มันตกใจสิคะ” หลินจือขวางเทาเท่เอาไว้
ถึงแม้ว่าเทาเท่จะดูไม่เต็มใจอยู่บ้าง แต่ได้ยินคำพูดของหลินจือแล้วก็ยังคงยืดตัวขึ้นมา แต่เขาก็ยังเอ่ยขึ้นมา : “วันทั้งวันเอาแต่หลบอยู่แบบนี้ แล้วเมื่อไหร่ถึงจะสามารถคุ้นเคยกับคุณได้ล่ะ?”
หลินจือไม่รีบร้อน : “นิสัยของมันเป็นแบบนี้ จะไปบังคับมันทำไมคะ”
เทาเท่เหลือบมองแมวตัวนั้นของเจทาวน์ที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอ แล้วอดที่จะเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ : “ไม่ใช่ว่าคุณมีแมวตัวนี้ของเจทาวน์แล้ว ก็จะไม่สนใจความเป็นความตายของมันหรอกใช่ไหม?”
หลินจือวางเจ้าหนูลง ปล่อยให้มันไปเล่นเอง
หลังจากนั้นก็มองไปยังเทาเท่อย่างจนปัญญาแล้วเอ่ยขึ้น : “ในสายตาของคุณ ฉันเป็นคนใจดำขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
เทาเท่ส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ : “กับคนอื่นคุณเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่กับผมคุณใจดำ”
บอกจะหย่าก็หย่า ไม่เหลือช่องทางเอาไว้ให้เลยแม้แต่นิดเดียว
ตอนนี้บอกว่าจะไม่สนใจเขาก็ไม่สนใจเขาเลย แม้แต่ใบหน้าที่มีรอยยิ้มก็ไม่มีให้เขาอีกด้วย
หลินจือรู้สึกว่าเขากำลังงี่เง่าอยู่ ไม่อยากจะสนใจเขาอีก เธอจึงเปลี่ยนประเด็นไปเลย : “ถ้าหากคุณอยากจะเห็นเจ้าเล็ก เดี๋ยวฉันลองเรียกมันออกมาดูก็ได้ค่ะ”
เทาเท่เอ่ยขึ้นมาอย่างตรงไปตรงมา : “ช่างเถอะครับ”
เดิมทีเขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะมาดูแมวอยู่แล้ว เขามาดูเธอต่างหาก
หลินจือจึงเอ่ยขึ้น : “ถ้าอย่างนั้นคุณก็รีบกลับไปทำงานที่บริษัทเถอะค่ะ”
เทาเท่ : “……….”
นี่เขาเพิ่งจะมา ยังไม่ได้นั่งเลยเสียด้วยซ้ำ เธอก็จะไล่เขาแล้ว?
“ไม่ทานมื้อกลางวันเหรอครับ?” เขามองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความหวังดี
ความจริงแล้วเทาเท่อยากจะทานอาหารที่หลินจือทำ บะหมี่หนึ่งชามก่อนหน้านี้ไม่สามารถแก้ปัญหาความปรารถนาในใจของเขาได้อย่างแท้จริง เขาต้องการมากกว่านี้ อยากย้อนกลับไปเหมือนเมื่อก่อนที่เธอดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง
หลินจือยกมือขึ้นมารวบผมตัวเองแล้วเอ่ยขึ้น : “เดี๋ยวฉันสั่งจากข้างนอกมาค่ะ”
เธอจะต้องเร่งรีบเรื่องต้นฉบับ อาหารกลางวันก็แก้ปัญหาได้พอดี
ตั้งแต่ที่บ้านตัวเองมีแมวเพิ่มมาสองตัวนั้น รู้สึกว่าเวลาไม่พออย่างเห็นได้ชัด เมื่อก่อนเธอใช้เวลาทั้งหมดสามารถเอามาเขียนต้นฉบับได้ แต่ตอนนี้จะต้องดูแลแมว ต้องอยู่เป็นเพื่อนแมว โดยเฉพาะจะต้องปลูกฝังเรื่องความรู้สึกกับเจ้าเล็ก
เทาเท่ได้ยินว่าเธอจะสั่งอาหารมานั้น เขาก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา
“เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าคุณชอบทำอาหารหรอกเหรอครับ? ทำไมตอนนี้ผมรู้สึกว่าวันทั้งวันคุณทำแก้ขัดไปแบบนี้?”เทาเท่พบว่า ดูเหมือนกับตั้งแต่หลังจากที่เธอกลับมาก็ไม่ได้มีการทำอาหารอย่างจริงๆจังๆเลย
“ฉันยุ่งน่ะค่ะ ไม่มีเวลาทำ”หลินจือไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไร “ฉันต้องเร่งต้นฉบับ ตอนนี้ยังต้องดูแลแมวด้วย”
หลังจากที่หลินจือพูดประโยคนี้แล้วนั้น เทาเท่ก็ยืนอยู่ตรงที่เดิม ในใจของเขานั้นรู้สึกเศร้าขึ้นมา
เป็นเพราะว่าเขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าหลินจือไม่ใช่หลินจือคนก่อนอีกแล้ว
ถึงแม้ต่อไปพวกเขายังสามารถคบกันใหม่ได้ พวกเขาก็ไม่สามารถกลับไปเหมือนเมื่อก่อนได้แล้ว เขาเองก็คงข้ามไปไม่ถึงชีวิตที่มีเธอดูแลอย่างพิถีพิถันแบบนั้นได้อีกแล้วเช่นกัน
เนื่องจากว่าเธอมีอาชีพ มีงานของตัวเอง เขาเองก็ไม่ใช่โลกทั้งใบของเธอแล้ว
ความรู้สึกแบบนี้เทาเท่ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกเศร้าดี หรือควรจะดีใจกับเธอ
สุดท้ายแล้ว เขาก็ทำได้เพียงเลือกที่จะบอกลาไป : “ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนคุณแล้ว”
หลินจืออยากจะรีบให้เขากลับไป ดังนั้นจึงส่งแขกกลับไปอย่างสุภาพ
ยืนอยู่ด้านนอกประตู เทาเท่คิดแล้วนั้นก็ยังคงไม่ยอมอยู่ดี จึงเอ่ยขึ้นมา : “ผมให้แมวคุณตัวนึง คุณควรจะเลี้ยงข้าวผมซักมื้อไหม?”
หลินจือพูดไม่ออก เธอไม่เคยเห็นใครให้ของคนอื่นแล้วจะยังเป็นฝ่ายต้องการคำขอบคุณแบบนี้เลย
ดังนั้น เธอเองจึงยิ้มแล้วเอ่ยพูดขึ้นมา : “ฉันคิดว่าคุณให้รางวัลฉันที่ได้สิทธิในการแก้ไขบทละครของคุณจอร์แดนเสียอีกนะคะ”
เทาเท่ : “………”
เขาเงียบไร้คำตอบ
นี่เธอไปเรียนรู้ไหวพริบมากมายขนาดนี้มาจากใครกัน? ถึงได้ช่างพูดและมีปฏิกิริยาตอบสนองได้อย่างว่องไวขนาดนี้?
เขาก้มลงมองเธอ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ : “เลี้ยงข้าวผมมื้อนึงมันเป็นอะไรอย่างนั้นเหรอครับ?”
หลินจือคิดแล้วจึงเอ่ยขึ้น : “ประธานเจทาวน์จะกลับมาในสองสามวันนี้แล้ว การเลี้ยงฉลองความสำเร็จ รอตอนนั้นพวกเราค่อยมาเลี้ยงด้วยกันดีกว่านะคะ”
เทาเท่ไม่อยากสนใจเธอแล้ว หันหลังเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์
หลินจือรู้สึกเพียงแค่ว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาหยุดอยู่ตรงขั้นนี้ก็ดีแล้ว เหมือนกับตอนนี้ที่เป็นเพื่อนร่วมงาม เพื่อนธรรมดาๆ ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ?
ส่วนเทาเท่บอกว่ารักเธอและอยากจะจีบเธอใหม่อีกครั้งอะไรนั่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่านั้น เธอปฏิเสธที่จะรับอยู่แล้ว
ตอนนี้ชีวิตของเธอมุ่งแต่เรื่องงาน และตอนนี้ก็มีแมวอีกหนึ่งตัวเพิ่มขึ้นมา
หลังจากที่บทละครเรื่อง”The Legend of Concubine Rong “เขียนเสร็จแล้วนั้น เธอก็เริ่มรับเรื่อง ฉันจะหาคุณให้เจอคาบเกี่ยวกันกำลังพอดี เธอมีเวลาไปพูดถึงเรื่องรักๆใคร่ๆเสียที่ไหนกัน?
ตอนที่เจทาวน์วีดิโอคอลกับหลินจือนั้น ได้รู้ว่าหลินจือมีแมวอีกตัวหนึ่งอยู่ด้วย อีกทั้งเป็นของเทาเท่ที่เป็นคนส่งให้ เจทาวน์ที่อยู่ในวีดิโอคอลนั้นก็เงียบไปอยู่พักใหญ่
ซักพักเขาถึงได้เอ่ยขึ้น : “หลินจือ ผมรู้สึกว่าครั้งนี้ประธานเทาเท่….ดูเหมือนจะจริงจังกับคุณ”
หลินจือหัวเราะออกมาเบาๆ : “ไม่ว่าจะจริงจังหรือเปล่า ตอนนี้ฉันไม่คิดเรื่องพวกนั้นหรอกค่ะ”
เจทาวน์คิดแล้วนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอีก : “พรุ่งนี้ผมจะกลับไป ในเมื่อในบ้านคุณมีแมวตัวใหม่แล้ว เจ้าหนูอยู่กับคุณตรงนั้นตลอดก็คงไม่ดีนัก”
หลินจือรีบเอ่ยขึ้น : “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันดูแลได้”
“ผมกลับไปก็มีเรื่องอื่นด้วยพอดีน่ะครับ”เจทาวน์ขมวดคิ้วขึ้นมา : “สองสามวันก่อนลีวายโทรหาผม บอกว่าอยากจะออกจากเบลดิ้งเอนเตอร์เทนเมนต์ ตรงจุดนี้ผมก็ไม่ได้ขัด คนเราจะเดินไปในจุดที่สูงกว่า เธอสามารถมีทางที่ดีกว่า ผมก็ต้องอวยพรให้อยู่แล้ว”
“ผมถามที่ไปใหม่ของเธอ ปรากฏเธอบอกว่าจะไปบริษัทของซูซี”สีหน้าท่าทางของเจเทาวน์นั้นเต็มไปด้วยความกังวล “ซูซีกับบริษัทของเธอในอนาคตไม่มีการพัฒนาอะไรเลยอยู่แล้ว ผมก็เลยอยากจะกลับไปพบลีวาย ไปเจรจากับเธออย่างเป็นทางการหน่อยนะครับ”
“ใช่ค่ะ คุณลักษณะของคนอย่างซูซีก็เห็นอยู่ตรงนั้นแล้ว ลีวายไปอยู่กับซูซี อนาคตไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะพัฒนาไปได้” หลินจือเห็นด้วยกับคำพูดของเจเทาวน์
เจเทาวน์ส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง : “ความจริงแล้วคุณสมบัติของลีวายก็ไม่เป็นยังไงหรอกครับ แต่เธอเป็นคนที่ผมพาเข้ามาในอาชีพนี้ ผมก็อยากจะรับผิดชอบกับอนาคตของเธอด้วย”
“เธออยู่ที่เบลดิ้งเอนเตอร์เทนเมนต์ หลายเรื่องที่ผมข่มเอาไว้ได้ ไม่กล้าทำเกินไป แต่เธอไปอยู่กับซูซีทางนั้น แล้วเข้ากับซูซีได้ดี ถ้าอย่างนั้นวงการนี้ก็จะต้องถูกพวกเธอก่อกวนและฉกฉวยผลประโยชน์ไปแน่ๆ”
“ลีวายดังจากหนังสือและละครในตอนนั้น ผมเองก็รู้ว่าเธอยังมีข้อบกพร่องอีกมากมาย ผมก็ยังพาเธอเข้ามาในอาชีพนี้ หวังว่าเธอจะสามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองด้วยความพยายามและนอบน้อมถ่อมตน เพื่อเข้าสู่อาชีพแห่งการเขียนบทนี้ได้”
“ใครจะรู้ว่าเธอไม่มีความพยายามที่จะก้าวหน้า กลับรู้สึกพอใจที่ตัวเองเข้าสู่อาชีพนี้เป็นผู้เขียนบท ลับหลังทำเรื่องอะไรก็ยิ่งซับซ้อน” พูดถึงลีวายขึ้นมา แม้แต่คนที่อ่อนโยนอย่างเจทาวนี้แบบนี้ ก็ไม่สามารถเอ่ยพูดคำพูดดีๆออกมาได้เช่นกัน
“แต่ถ้าหากตอนนั้นเธอมีความพยายามอ่อนน้อยถ่อมตนซักครึ่งหนึ่งของคุณ ตอนนี้ก็คงจะไม่เป็นแบบนี้”
สุดท้ายแล้วเจทาวน์ก็ทำได้เพียงเอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา : “ผมกลับไปจะพยายามเกลี้ยกล่อมเธอดูว่าไม่ให้เธอไปอยู่กับซูซี ถ้าหากเธอไม่ฟังผม ผมเองก็คงจนปัญญาเหมือนกันครับ ถึงตอนนั้นผมค่อยไปรับเจ้าหนูกลับมา คุณเองก็จะได้ตั้งใจเขียนบทได้มากขึ้นด้วย”
การเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงนั้นไม่ใช่เรื่องเบาๆเลย แทบจะไม่ต่างจากการเลี้ยงดูเด็ก โดยเฉพาะแมวตัวนั้นที่เทาเท่ให้กับหลินจือยังเล็กมาก ยิ่งจำเป็นที่จะต้องใช้ใจและแรงมากด้วย
เจทาวน์ทำใจไม่ได้ที่จะให้หลินจือต้องมาลำบากขนาดนั้น ดังนั้นจึงทำได้เพียงต้องรับแมวของตัวเองกลับไป
เจทาวน์ตัดสินใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลินจือเองก็ทำได้เพียงต้องยอมรับ