จากนั้นหลินจือก็บอกเรื่องนี้กับนานิ นานิตื่นเต้นดีใจยิ่งกว่าเธอเสียอีก ส่งเสียงร้องออกมาดังทางโทรศัพท์ : “อ๊าอ๊าอ๊าอ๊าอ๊า–”
“หลินจือ เสน่ห์ของเธอนี่ไม่มีขอบเขตจริงๆเลยนะ ไปเมืองเวลฟ์ ก็ได้พ่อบุญธรรมที่มีชื่อเสียงอำนาจมาคนนึงด้วย!”นานิเอ่ยพูดขึ้นอย่างระบายความโกรธ “ฉันจะดูว่าซูซีจะยังกล้ามารังแกเธอได้หรือเปล่า ฉันจะดูว่าอยู่ต่อหน้าเธอแล้วยังจะสามารถทำเป็นแข็งแกร่งได้อยู่ไหม!”
ฐานะทางครอบครัวและชื่อเสียงบารมี จอร์แดนสูงส่งและมีอำนาจมากกว่าเบลซมาก
จอร์แดนไม่เพียงแค่เป็นเป็นนักเขียนหลักและอาชีพผู้เขียนบทหลักเท่านั้น ตระกูลแม็กซิมัสที่อยู่เบื้องหลังของจอร์แดนก็เป็นวงตระกูลที่มีชื่อเสียงและมีอำนาจมากอีกด้วย ควบคุมทุกสถานการณ์ที่เมืองเวลฟ์ นับประสาอะไรกับเบลซเพียงคนเดียว?
หลินจือถอนหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม นานิก็เดาได้ว่าเธอกำลังกลุ้มใจเรื่องอะไร จึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง : “อย่าบอกฉันนะว่าเธอไม่คู่ควรกับความสูงส่งนี้ เธอคิดดูนะ สองสามีภรรยาอย่างอาจารย์จอร์แดนหลายปีมานี้คนแบบไหนที่ไม่เคยได้เจอบ้าง ทำไมจะต้องดันมาเลือกเธอเป็นลูกสาวบุญธรรม? นั่นก็จะต้องเป็นเพราะว่าเธอดีไง”
นานิกัดฟันเอ่ยขึ้นมาอย่างหงุดหงิด : “ยัยโง่ เธอถูกเทาเท่ผู้ชายสารเลวคนนั้นทำร้ายมากเกินไปแล้ว ไม่มีความมั่นใจเลยซักนิดเลยรึไง”
นานิให้กำลังใจหลินจืออย่างอารมณ์ดี : “เธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและดีที่สุด เป็นผู้หญิงที่มีความสามารถที่สุดในโลกแล้ว เธอไม่เป็นลูกสาวบุญธรรมของอาจารย์จอร์แดน แล้วใครจะกล้าเป็นล่ะ?”
หลินจือถูกหยอกล้อด้วยคำพูดของนานิจนหัวเราะออกมา ยืดเอวขึ้นแล้วเอ่ยพูดขึ้นมาอย่างล้อเล่น : “โอเคๆรู้แล้วล่ ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก!”
แล้วนานิถึงได้รู้สึกพอใจขึ้นมา : “ใช่ๆๆ เธอควรจะต้องมีท่าทางและความมั่นใจแบบนี้แหล่ะ”
ต้องโทษเทาเท่คนบ้านั่น ที่โจมตีหลินจือในช่วงชีวิตการแต่งงานสามปีนั่นจนทำให้แทบไม่เหลือความมั่นใจ เดิมทีเธอเป็นถึงดาวมหาวิทยาลัยสาขาภาษาจีน เป็นผู้หญิงที่มีความสามารถและสวยที่สุดของมหาวิทยลัยเมืองเจสเวิร์ด ไม่ว่าจะหน้าตาและนิสัยก็สามารถอยู่ในระดับเข้าวงการได้เลย
“ขอบคุณเธอมากนะนานิ”หลินจือพูดขอบคุณนานิเบาๆ
จากที่คุยกับนานิด้วยความสบายใจแล้วนั้นหลินจือรู้สึกว่าในใจไม่ได้มีความกดดันมากขนาดนั้นแล้ว นิสัยของนานิมีเสน่ห์มากขนาดนี้ มักจะแพร่ให้คนรอบๆข้างอย่างไม่รู้ตัว
นานิเอ่ยขึ้นอย่างล้อเล่น : “คำขอบคุณน่ะไม่ต้องหรอก ต่อไปเธอรุ่งเรืองขึ้นมาแล้วก็อย่าลืมเพื่อนสนิทอย่างฉันก็พอ”
หลินจือรับปาก : “ต่อไปฉันจะเขียนเรื่องให้เธอโดยเฉพาะเรื่องนึงเลย ขอบคุณที่เธออยู่กับฉันมาตั้งหลายปีขนาดนี้”
โดยเฉพาะในช่วงชีวิตแต่งงานที่ทุกข์ทรมานสามปีกับเทาเท่ ถ้าหากไม่ได้นานิคอยปลอบใจเธออยู่บ่อยๆ เธอก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร
“เชรด จริงไหม?”นานิดีใจมาก แต่หลังจากที่ดีใจแล้วนั้นก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาอีกครั้ง : “ถ้าหากฉันกับนัตสึไม่มีบทสรุปล่ะ? เธอจะเขียนยังไง?”
หลินจือพูดขึ้นมาอย่างผ่อนคลาย : “ถ้าหากในชีวิตจริงไม่มี ฉันก็ทำให้สมบูรณ์เองในเรื่อง ถ้าหากในชีวิตจริงสมบูรณ์อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย ฉันจะเขียนออกมาตามชีวิตจริงของพวกเธอเลยไงล่ะ”
ความคิดนี้ของหลินจือมีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ลงมือเท่านั้น
สองสามปีก่อนเธอจมอยู่ในชีวิตการแต่งงานกับเทาเท่ เป็นทุกข์ในทุกๆวัน มีอารมณ์เขียนเสียที่ไหนกัน
ตอนนี้เธอก็ยุ่งกับงาน ในมือมีบทละครอีกสองเรื่องกำลังรออยู่
แต่เธอยังคงแอบสาบานอยู่ในใจว่ารอให้เธอดึงเวลาออกมาได้ จะต้องเริ่มเขียนอย่างแน่นอน
นานิกับนัตสึค่อยๆคบกันมาในอดีตนั้นเธอรู้ดี จะต้องเขียนได้อย่างราบรื่นแน่นอน ถ้าหากนานิกับนัตสึจะมีส่วนที่เกี่ยวเนื่องกันอีกในอนาคต ถ้าเช่นนั้นก็คงจะเป็นเรื่องราวความรักตั้งแต่ชุดนักเรียนจนถึงชุดแต่งงานแล้ว
ตอนนี้ละครภาพยนตร์กำลังเป็นที่นิยมมากเช่นกัน หลินจือรู้สึกว่าความเป็นไปได้ที่จะได้เอามาทำเป็นละครภาพยนตร์นั้นมีสูงมาก ถึงตอนนั้นนานิมาแสดงเป็นนางเอก ไม่มีอะไรที่ไม่กลมกลืนเลย
นานิดีใจมาก : “หลินจือ ฉันรักเธอมากจริงๆ รักเธอจะตายอยู่แล้ว”
เรื่องราวความรักของตัวเองถ้าหากสามารถนำมาเขียนเป็นหนังสือได้ นั่นเป็นเรื่องที่มีความสุขมากจริงๆ
ไม่ว่าตอนจบจะดีหรือไม่ดี ก็ล้วนแต่เป็นความสุขแบบหนึ่ง
หลินจือนอนหลับสนิททั้งคืน หลังจากที่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว เธอคิดจะโทรหาจอร์แดน เพื่อแสดงความยินยอมอย่างเป็นทางการที่จะเป็นลูกสาวบุญธรรมของเขา ผลปรากฏว่าได้ต้อนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญคู่หนึ่งก่อน
คนที่มานั้นก็คือไกอาและวีนานั่นเอง อาการที่แสดงออกบนใบหน้าของทั้งสองคนนั้นดูไม่ดีนัก
โดยเฉพาะวีนา หลังจากที่หลินจือเปิดประตูแล้วนั้นก็ละสายตาออกไปอย่างเหยียดๆทันที ท่าทางสูงส่งที่ไม่อยากแม้แต่จะมองหลินจือเลยแม้แต่แวบเดียว
ในใจของหลินจือนั้นยิ้มเยาะออกมา เกือบจะปิดประตูกระแทกใส่หน้าวีนาอยู่แล้ว
ถ้าหากไม่ใช่ว่าการศึกษาของเธอนั้นเตือนเธอเอาไว้ว่าไม่สามารถทำแบบนี้ได้ เธอคงกระแทกประตูใส่แล้วจริงๆ
ท่าทางของไกอานั้นยังดีอยู่บ้างเล็กน้อย หลังจากที่พยักหน้าให้กับหลินจือแล้วก็เอ่ยถามขึ้น : “พวกเราเข้าไปนั่งข้างในได้ไหม มีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ”
หลินจือเอียงตัวให้พวกเขาเข้ามา เธอไม่ต้องคิดเลยก็รู้ว่าไกอากับวีนามาเพื่อเรื่องที่เธอฟ้องพินอินนั่นเอง
เธอให้พวกเขาเข้ามา อยากจะลองดูว่าพวกเขาวางแผนจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร จะเหมือนกับเบลชจัดการเรื่องของซูซีหรือเปล่า ปกป้องให้ท้ายแบบนั้น
หลินจือปิดประตู ยังไม่ทันรอให้หันกลับมายังห้องรับแขก โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น
เป็นเทาเท่โทรเข้ามา หลังจากที่เธอกดรับสายแล้วก็ได้ยินเสียงที่ดูหนักหน่วงของเขา : “พ่อกับแม่ผมไปหาคุณ คุณอย่าเพิ่งเปิดประตูให้พวกเขา รอผมไปก่อน”
หลินจือมองไปยังไกอาและวีนาที่นั่งอยู่บนโซฟาห้องรับแขกของเธอ แล้วตอบกลับไปอย่างนิ่งๆ : “พวกเขาเข้ามาแล้วค่ะ”
เทาเท่เอ่ยขึ้นมาอีก : “ถ้าอย่างนั้นคุณอย่าเพิ่งคุยอะไรกับพวกเขา อีกห้านาทีผมถึง”
หลินจือคิดแล้วจึงตอบกลับเขาไป : “คุณไม่ต้องมาหรอกค่ะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”
เหมือนกับเทาเท่รู้สึกเจ็บกับคำพูดนี้ของเธอ หลังจากที่เงียบไปพักหนึ่งนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สูงขึ้น : “ทำไมจะไม่เกี่ยวกับผม? ผมบอกแล้วว่าผมจะจีบคุณ จะปกป้องคุณ!”
ไม่คำนึงถึงว่าจะเป็นศัตรูกับพ่อแม่ของเขา ก็จะปกป้องเธอ
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าพ่อแม่ของเขาจะไปหาเธอ เขาก็รีบไปหาเธอทันที กลัวว่าเธอจะถูกพ่อแม่ของเขากลั่นแกล้งรังแก
แต่สำหรับหลินจือแล้ว เทาเท่ไม่พูดคำพูดแบบนี้ความรู้สึกของเธอยังโอเคกว่า พอเขาพูดว่าจะปกป้องเธออะไรแบบนั้น ความโมโหในใจของเธอถูกจุดประกายขึ้นมา
“เทาเท่ คุณไม่รู้สึกว่าตอนนี้มาพูดแบบนี้ ทำแบบนี้มันไม่สายเกินไปเหรอคะ?” หลินจือเอ่ยขึ้นมาด้วยความเยือกเย็นเสร็จแล้วก็วางสายไปอย่างเย็นชา
ตอนที่เธอเป็นภรรยาเขาต้องการให้เขาปกป้องเธอมากที่สุดนั้น เขากลับละเลยเย็นชากับเธอ
ตอนนี้เธอเป็นแฟนของคนอื่นไปแล้ว อีกทั้งตอนนี้เธอมีจอร์แดนเป็นผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งแล้ว เขากลับเข้ามาใกล้ชิดเธอต้องการจะปกป้องเธอ ไม่รู้สึกว่าน่าเยาะเย้ยอย่างนั้นหรือ?
คำพูดท่าทางแบบนี้ที่มีต่อเทาเท่ เกือบจะทำให้วีนาที่นั่งอยู่ตรงโซฟานั้นโมโหขึ้นมา
ไม่คิดว่าหลินจือจะกล้าเย็นชากับลูกชายเธอแบบนี้?
ไม่คิดว่าจะกล้าวางสายใส่ลูกชายของเธอ?
ไม่คิดว่าจะกล้าใช้น้ำเสียงที่หมดความอดทนและตำหนิลูกชายของเธอแบบนี้?
วีนาทนไม่ได้จะเอ่ยพูดขึ้นตำหนิหลินจือ แต่ถูกไกอาส่งสายตาห้ามเอาไว้
ไกอายังนับว่ามีความบันยะบันยังอยู่ รู้ว่าตอนนี้หลินจือไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพวกเขาตระกูลฟอเรนาแล้วแม้แต่นิดเดียว พวกเขาไม่สามารถใช้สถานะพ่อแม่สามีมาตำหนิว่ากล่าวอะไรหลินจือได้อีกแล้ว