บทที่ 160 ลองแตะต้องเธอด

อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า)

หลินจือมองออกถึงความโมโหของวีนาอยู่แล้ว แต่เธอไม่ได้สนใจ เดินไปนั่งลงตรงข้ามพวกเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเอ่ยถามขึ้นนิ่งๆ : “พวกคุณสองคนมาหาฉันวันนี้ มีธุระอะไรหรือคะ?”

ไกอาเอ่ยขึ้น น้ำเสียงยังนับว่าสุภาพอ่อนโยนอยู่บ้าง : “คือแบบนี้นะ เรื่องที่พินอินทำฉันเองก็เข้าใจอย่างชัดเจน เธอทำเกินไปจริงๆ”

หลินจือเม้มปากไม่ได้พูดออกมา เงียบรอให้ไกอาเอ่ยพูดต่อ

ไกอาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง : “พวกเราคิดว่า ถึงอย่างไรพวกเธอก็เคยเป็นพี่สะใภ้กับน้องสามีกันมา เธอจะเห็นแก่ความรักในอดีตได้ไหม ให้โอกาสเธอในการแก้ไขตัวเองอีกซักครั้ง”

หลังจากที่ไกอาพูดจบแล้วนั้นก็มองเธออย่างเงียบๆ ถึงแม้ว่าไกอาจะดูเหมือนกำลังปรึกษากับหลินจืออยู่นั้น แต่ในแววตาของเขามีความหมายว่าเป็นการเตือนและให้ความรู้สึกบีบบังคับ กลับทำให้รู้สึกกลัว

หลินจือมองสบตาไกอาอย่างนิ่งๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

เดิมทีเธอคิดว่า ท่าทางของไกอาและวีนานั้นจะดูจริงใจกว่านี้หน่อย บางทีเธออาจจะพิจารณาว่าจะฟ้องร้องพินอินต่อดีหรือเปล่า แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ไกอากับวีนากำลังคิดที่จะบีบบังคบเธอให้ยอม

ท่าทางที่ดูสูงส่งนี้เหมือนกับเบลซและซูซีมาก พวกเขาสองตระกูลสมแล้วที่จะได้กลายมาเป็นครอบครัวเดียวกัน

หลังจากที่หลินจือหัวเราะออกมาแล้วนั้นก็ย้อนถามไกอากลับไปอย่างนิ่งๆ : “ถ้าอย่างนั้นตอนที่พินอินทำเรื่องนี้กับฉัน ก็ไม่เคยนึกถึงความเป็นพี่สะใภ้กับน้องสามีเหมือนกันหรือเปล่าคะ?”

ไกอาสำลักคำพูดของหลินจือจนพูดไม่ออก หลินจือจึงพูดเยาะเย้ยขึ้นมาอีกครั้ง : “คุณไม่ต้องพูดเรื่องความรู้สึกที่ผ่านมากับฉันหรอกค่ะ ในใจของพินอินไม่เคยมองฉันเป็นพี่สะใภ้อยู่แล้ว ส่วนพวกคุณ ก็ไม่เคยเห็นฉันเป็นลูกสะใภ้ตระกูลฟอเรนาของพวกคุณด้วยเหมือนกัน!”

น้ำเสียงและสีหน้าของหลินจือนั้นถมึงทึง และคำพูดที่สวยงาม

ไกอาก้มหน้าลงด้วยความโมโห เขาจำได้ว่าหลินจือเป็นคนเงียบขรึม สุภาพ ควบคุมตัวเองเก็บความรู้สึก แต่นี่เธอกลายเป็นคนช่างพูด น่าเกรงขามตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

วีนาโมโหเสียจนเริ่มชี้หน้าด่าว่าหลินจือ : “เธออย่ามาหน้าไม่อาย ตอนนี้พวกเรากำลังปรึกษากับเธอ เชื่อไหมว่าฉันจะหาคนที่จะทำให้เธอจะฟ้องร้องยังไงก็ฟ้องไม่ได้เลยด้วย!”

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็ไปหาคนมาห้ามฉันฟ้องร้องสิคะ”หลินจือไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่นิดเดียว “ฟ้ารู้ดินรู้ ฉันไม่เชื่อว่าพวกคุณจะสามารถปิดบังได้หรอกนะคะ”

วีนากัดฟันด้วยความโมโห ไกอาจับวีนาที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เอาไว้ แล้วมองมายังเด็กผู้หญิงนิ่งสงบมาตลอด แล้วเอ่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง : “หลินจือ พวกเราไม่ได้ล้อเล่นนะ เธอคงจะรู้ว่า ที่เมืองเจสเวิร์ด เธอไม่มีอำนาจ สู้กับพวกเราไม่ได้หรอก”

หลินจือตอบกลับอย่างไม่ได้รับผลกระทบใดๆ : “ฉันเองก็ไม่ได้ล้อเล่นกับพวกคุณเหมือนกันค่ะ”

“หลินจือ!”วีนาลุกขึ้นจากโซฟา เธอไม่สามารถทนต่อไปได้แล้วจริงๆ

ตอนที่ไกอาบอกว่าจะมาคุยกับหลินจือเธอก็ไม่เห็นด้วยแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เธอเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่าหลินจือในตอนนี้ที่เหมือนกับเปลี่ยนคนไปจากเมื่อก่อนน่าโมโหขนาดไหน ตอนนี้เป็นไงล่ะ มาเจอกับความโมโหนี้ขึ้นมาอีกครั้ง เสียหน้าไปหมด

วีนามองแล้วนั้น ไม่ควรจะมาหาหลินจืออยู่แล้ว หาคนมาจัดการกับหลินจือเลยจะดีกว่า

เพิ่งจะสิ้นเสียงตวาดของวีนา เสียงเคาะประตูทางด้านนอกก็ดังขึ้น

จากนั้นก็มีเสียงที่ร้อนใจของเทาเท่ดังขึ้นมาด้วย : “หลินจือ เปิดประตู”

หลินจือยังไม่ทันรอให้มีปฏิกิริยาตอบสนองนั้น วีนาก็ตะโกนขึ้นมาก่อน : “ไม่อนุญาตให้เปิดนะ!”

ถ้าหากเทาเท่เข้ามา พวกเขาทั้งสามคนจะต้องทะเลาะกันอีกอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นเพราะไม่รู้ว่าลูกชายคนนั้นของเธอไปกินยาอะไรผิดมา ถึงได้พูดออกมาว่ารักหลินจือเข้าแล้ว

อีกทั้งเรื่องนี้เขายังบอกว่าจะยืนอยู่ข้างหลินจือ ไม่สนใจความรู้สึกของพวกเขาและพินอินเลยอีกด้วย

และถ้าหากพวกเขาทะเลาะกันขึ้นมา หลินจือเห็นก็คงจะเป็นเรื่องตลกไปอีก ก็จะยิ่งทำให้หลินจือยิ่งได้ใจขึ้นมา

หลินจือลุกขึ้นมาจากโซฟาด้วยความขี้เกียจ แล้วตอบกลับวีนาไปนิ่งๆ : “นี่บ้านของฉันค่ะ ไม่ใช่ว่าคุณพูดแล้วฉันจะต้องเชื่อคุณ”

วีนาโมโห เกือบจะเป็นเหมือนครั้งที่แล้ว ที่โมโหหลินจือจนเป็นลมสลบไป

แต่ถึงแม้ว่าปากของหลินจือจะบอกว่าไม่ต้องเชื่อวีนา แต่ก็ไม่ได้เดินไปเปิดประตูให้เทาเท่

หลินจือไม่ได้จะเปิดประตูให้เขาอยู่แล้ว เรื่องนี้เธอไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งเทาเท่ให้มาแก้ปัญหา แล้วก็ไม่ต้องการที่จะติดหนี้เขาด้วยเช่นกัน

เธอยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสุภาพเรียบร้อย เอ่ยพูดกับไกอาและวีนานิ่งๆ : “คุณไกอา คุณวีนา พวกคุณทั้งสองเคยได้ยินชื่อของอาจารย์จอร์แดนหรือเปล่าคะ?”

“แล้วทำไม?”ไกอากับวีนารู้จักจอร์แดนอยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรเบลซก็เพิ่งจะใช้เส้นหาคนไปหาจอร์แดนเพราะเรื่องของซูซี ถึงแม้ว่าเทาเท่กับซูซีตอนนี้จะทะเลาะกันอยู่ แต่ไกอาและวีนาก็ยังคงติดต่อกับเบลซและภรรยาอยู่

หลินจือเอ่ยขึ้นอีกครั้ง : “ตอนนี้ฉันเป็นลูกสาวบุญธรรมของอาจารย์จอร์แดน ถ้าหากพวกคุณต้องการจะใช้อำนาจมาบีบฉัน ถ้าอย่างนั้นฉันเองก็ไม่กลัวที่จะให้อาจารย์จอร์แดนออกมาแล้วนะคะ”

หลินจือไม่ใช่คนที่จะใช้อำนาจมาข่มเหงคนอื่นไปทั่วอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องซูซีกับเบลซเมื่อวาน หรือว่าเรื่องของไกอากับวีนาในวันนี้ พวกเขารังแกคนอื่นเกินไปจริงๆ

หลินจือทนไม่ไหวอีกแล้ว จึงทำได้เพียงต้องเอาชื่อของจอร์แดนออกมา

พอดีที่เมื่อวานนี้จอร์แดนก็พูดขึ้นมาว่าเธอมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่แข็งแกร่งเป็นถึงตระกูลแม็กซิมัส ก็ไม่มีคนกล้ารังแกเธออีกแล้ว คำพูดนี้ทำให้เธอมีความมั่นใจที่จะพูดถึงชื่อจอร์แดนออกมาในวันนี้

ไกอาเสียงหาย : “อะไรนะ? เธอเป็นลูกสาวบุญธรรมของจอร์แดนอย่างนั้นหรือ?”

วีนาเองก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน จอร์แดนเป็นใครนั้นพวกเขาเองรู้ดีอย่างชัดเจนมาก สามารถพูดได้ว่าไม่ว่าจะเป็นตระกูลฟอเรนาหรือว่าตระกูลโดโนแวน หรือจะเป็นตระกูลฟอเรนากับตระกูลโดโนแวนมารวมกัน ก็ไม่เท่ากับตระกูลแม็กซิมัสแห่งเมืองเวลฟ์….

“ใช่ค่ะ ถ้าหากคุณไม่เชื่อ ฉันสามารถโทรหาเขาตอนนี้เลยก็ได้นะคะ” หลินจือว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วกดโทรออกหาจอร์แดนท่ามกลางสายตาที่งงงันและตกตะลึงของไกอาและวีนา

ด้านนอกเสียงเคาะประตูของเทาเท่นั้นยิ่งดังถี่ขึ้น แต่หลินจือไม่ได้สนใจเลย

หลังจากที่เธอโทรหาจอร์แดนและกล่าวทักทายเขาแล้วนั้นก็เอ่ยพูดขึ้น : “อาจารย์จอร์แดนคะ เมื่อวานนี้ที่คุณเสนอมาฉันตกลงนะคะ ได้มาเป็นลูกสาวบุญธรรมของคุณ เป็นโชคชะตาที่ฉันสร้างมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ฉันยินดีมากๆเลยค่ะ”

“ดีจริงๆ!”เสียงดีใจของจอร์แดนดังขึ้นจากลำโพง “ถ้าอย่างนั้นรอให้ภรรยาผมออกจากโรงพยาบาล พวกเราจะเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่เอาไว้ แล้วจะไปพบพ่อแม่ของคุณที่เมืองเจสเวิร์ดด้วยตัวเองนะ”

ตอนนี้จอร์แดนยังไม่รู้ถึงสถานการณ์ทางด้านครอบครัวของหลินจือ หลินจือเองก็ไม่ได้อธิบายด้วยเช่นกัน เธอเพียงแค่เอ่ยขอโทษออกมา : “ของขวัญไม่ต้องหรอกค่ะ แต่อาจจะรบกวนให้คุณช่วยฉันจัดการเรื่องบางเรื่องก่อนนะคะ”

“เป็นอะไรหรือ?”หลังจากที่จอร์แดนอเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วงแล้วนั้น ก็เอ่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงใจอีกครั้ง : “มีเรื่องอะไรบอกผมได้เลยนะ ผมจะต้องช่วยคุณอย่างแน่นอน ต่อให้ความสามารถของผมทำไม่ได้ ผมก็จะไหว้วานคนอื่นให้ทำให้คุณให้ได้เหมือนกัน!”

คำพูดของจอร์แดนนั้นทำให้ขอบตาของหลินจืออดที่จะแดงขึ้นมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ หลังจากที่มารดาของเธอเสียชีวิตไปนั้น เธอก็ไม่เคยได้รับความรักความห่วงใจจากผู้ใหญ่ของตัวเองมาเป็นเวลานานมากแล้ว

หลินจือระงับอารมณ์ที่หมุนขึ้นลงอยู่ในใจเอาไว้ แล้วพูดเรื่องที่ตัวเองถูกพินอินลักพาตัวไปให้จอร์แดนฟัง แน่นอนว่าก็บอกเขาด้วยเช่นกันว่าเวลานี้พ่อแม่ของพินอินก็อยู่ในบ้านของเธอ ขู่ให้เธอปล่อยพินอินไป

จอร์แดนที่อยู่ทางปลายสายนั้นโมโหมาก : “ลูกสาวของตัวเองทำเรื่องร้ายแรงแบบนั้นแล้ว พวกเขายังกล้ามาขู่คุณอีกหรือ?”

“ผมจะดูว่าถ้าพวกเขากล้าแตะต้องคุณแม้แต่ผมเส้นเดียว ก็ลองดู!”สองสามประโยคนั้นพูดจบแล้ว การปกป้องที่จอร์แดนมีต่อหลินจือนั้นก็แสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว