ระหว่างทาง หลังจากคำอธิบายของโจ๋หย่วนหันทั้งสอง ในที่สุดเย่เทียนเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
มีลูกศิษย์แบบไหนก็ย่อมมีอาจารย์แบบนั้น การที่จี้เยียนหรันเป็นคนเกลียดคนร้ายเป็นดั่งศัตรูของเธอนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับกงหย่วนอย่างแน่นอน
เมื่อวานนี้ หลังจากที่กงหย่วนให้เย่เทียนขับรถของเขาไป เขาก็โทรหาจี้เยียนหรันให้มารับเขา ในระหว่างทางนั้น เขาได้เล่าคดีฆาตกรรมในเมืองเอกให้กับจี้เยียนหรันฟังคร่าวๆ และจากนั้นจี้เยียนหรันก็บอกจะช่วยเหลือเขาทันที
เดิมทีหลังจากได้รับข้อมูลคนร้ายจากปากของเย่เทียน กงหย่วนก็ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้แล้ว และหลังจากได้รับการยุยงจากจี้เยียนหรัน ทั้งสองจึงไม่ได้กลับสถานีตำรวจเลยด้วยซ้ำ
ตามเหตุผลแล้ว เรื่องนี้จี้เยียนหรันจำเป็นต้องรายงานให้กับโจ๋หย่วนหันและได้รับการอนุญาตจากเขาก่อน แต่บังเอิญว่าโจ๋หย่วนหันกำลังติดประชุมอยู่ จี้เยียนหรันจึงส่งข้อความเพื่อเป็นการรายงานสถานการณ์เท่านั้น
เมื่อหลังจากโจ๋หย่วนหันเสร็จสิ้นการประชุม ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว ต่อให้เขาจะรีบร้อนยังไง ก็สู้ความใจร้อนของจี้เยียนหรันไม่ได้ไม่ใช่หรือ?
ฉะนั้น หลังจากใช้เวลาทั้งคืนในการจัดการกับเรื่องของสถานีตำรวจในเจียงหนันเสร็จ เขาจึงตามมาที่เมืองเอกในเช้าวันรุ่งขึ้น
พูดง่ายๆ ก็คือ ความเป็นจริงแล้ว โจ๋หย่วนหันก็เพิ่งมาถึงก่อนเย่เทียนเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
และในระหว่างทาง อาจเป็นการแสดงขอโทษสำหรับการกระทำในสถานีตำรวจก่อนหน้านี้ ซือเฮ่าเจียได้แต่ถามคำตอบคำ ไม่ได้คิดว่าจะพูดขึ้นก่อน ซึ่งมันก็ทำให้เย่เทียนเข้าใจถึงสถานการณ์ในตอนนี้
ในเมื่อเขามีไหวพริบที่ดีขนาดนี้ เย่เทียนก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และคิดเสียว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ก่อนหน้านี้เขาโกรธสำหรับพฤติกรรมของซือเฮ่าเจียมากก็จริง แต่ตอนนี้เขาใจเย็นลงแล้ว คิดว่าโกรธไปก็ไร้ความหมาย
เพราะมันก็เหมือนสุนัขที่วิ่งตัดถนนในระหว่างที่ขับรถอยู่ แล้วจะให้เขาตะโกนด่าสุนัขตัวนั้นหรือ?
ในมุมมองของเย่เทียนนั้น เขาคิดว่าตัวเองแตกต่างกับซือเฮ่าเจียมาก และเกรงว่าหลังจากจบเรื่องนี้ไปคงไม่ได้เจอกันอีก แล้วจะเสียเวลากับเขาทำไม?
หลังจากขับรถไปเกือบชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดรถก็ต้องจอดลงที่หลินหยุนซานในเขตชานเมืองของเมืองเอก ไม่ใช่ว่าไม่อยากขับไปต่อ แต่ไม่มีถนนให้ขับต่อไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่เดินเท้าเท่านั้น
หลินหยุนซานเป็นจุดชมวิวของรอบเมืองเอกที่เต็มไปด้วยก้อนหินอันแปลกตา ซึ่งเหมาะสำหรับการชมพระอาทิตย์ขึ้น และยังเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการตั้งแคมป์อีกด้วย
“ผู้บัญชาซือ มาสักทีนะครับ”
ซือเฮ่าเจียไม่กล้ารอช้าอีก และเดินเข้าไปถามตรงประเด็นว่า “หัวหน้ากงกับหัวหน้าจี้ล่ะ?!”
“อยู่ในถ้ำร้างบนภูเขาครับ ตอนนี้มีเจ้าหน้าที่ของเราคอยซุ่มเฝ้าดูอยู่ครับ นอกจากคุณยายกระดาษไหว้เจ้าคนนั้นแล้ว ยังมีชายวัยกลางคนอีกคนครับ”
“ชายวัยกลางคน?”
เย่เทียนเลิกคิ้วขึ้นและครุ่นคิดในใจว่า เขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับชายวัยกลางคนคนนี้เลย
จะว่าไป จากครั้งล่าสุดที่เย่เทียนได้เจอกับคุณยายกระดาษไหว้เจ้าคนนี้ มันก็หลายปีผ่านไปแล้ว และช่วงเวลานี้ก็ได้เกิดเรื่องมากมาย ซึ่งไม่แปลกหรอกที่จะมีการเปลี่ยนแปลง
ก่อนที่ซือเฮ่าเจียจะตอบกลับ จู่ ๆ รถตำรวจคันหนึ่งก็ซิ่งเข้ามาจากด้านหลัง
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ติดอาวุธทั้งสี่นายก็ลงมาจากรถ ซึ่งหัวหน้าของพวกเขาคือชายวัยกลางคนในชุดสูท ร่างกายของเขากำยำล่ำสัน ดวงตาเคร่งขรึมที่ซึ่งดูแล้วน่าเกรงขามมาก!
เขาเดินเข้ามาและชำเลืองมองไปที่เย่เทียน และในที่สุดก็หันกลับมามองที่ซือเฮ่าเจีย “ผู้บัญชาซือ ไม่นึกเลยว่าคุณจะมาเร็วกว่าผมนะครับ”
หลังจากหยุดไปสักพัก เขาขมวดคิ้วพูดต่อ “ผู้บัญชาซือครับ ภารกิจในครั้งนี้คือการตามล่าผู้หลบหนีคดีฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมนะครับ คุณควรปิดสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังให้คนนอกเข้ามาได้ด้วย?”
หัวหน้าคนนี้ชื่อว่าเหลยซวี่ เขาเป็นถึงผู้กำกับกองพันตำรวจภูธรภาค ซึ่งมีผู้ใต้บังคับบัญชาหลายร้อยคน และยังเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงในเมืองเอกแห่งนี้ด้วย!
อย่างน้อย สำหรับความรู้สึกของเย่เทียนนั้น ความแข็งแกร่งของชายคนนี้ต้องอยู่ไม่ต่ำกว่าระดับดำอย่างแน่นอน และฝีมือของเขาต้องเหนือกว่ากงหย่วนอยู่แล้ว!
การตายของเหยื่อเหล่านี้ในเมืองเอกนั้นน่าสังเวชเกินไป ซึ่งเลือดของทุกคนถูกดูดจนแห้งไปหมด ฉะนั้น ภาพที่สยองขวัญนี้จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญต่างก็รู้ว่าไม่ใช่ฝีมือของคนธรรมดาอย่างแน่นอน!
ซือเฮ่าเจียที่ได้ยินเช่นนี้ก็กำลังเตรียมจะแนะนำอย่างเป็นทางการ แต่เย่เทียนก็ตัดคำพูดของเขาโดยไม่เกรงใจอีก
“จะพูดมากทำไมกัน? ตอนนี้เยียนหรันกับหัวหน้ากงอยู่ในมือของศัตรูนะ ยิ่งเราล่าช้าหนึ่งนาที ทั้งสองคนก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นหนึ่งนาที!”
ซือเฮ่าเจียถึงกับทำตัวไม่ถูก เขาจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่แนะนำคร่าวๆ ว่าเย่เทียนเป็นที่ปรึกษาของหัวหน้ากงและถูกเชิญมาจากเมืองเจียงหนัน
จากการแสดงออกของซือเฮ่าเจีย จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเหลยซวี่ที่จะสรุปเรื่องที่น่าสนใจบางอย่าง และในใจของเขาก็รู้สึกประหลาดใจมาก
ไม่ว่ายังไงซือเฮ่าเจียก็เป็นถึงรองผู้บัญชาการอยู่แล้ว และอำนาจของเขาไม่น้อยเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมต่อหน้าเย่เทียนแล้วเขากลับให้ความเคารพขนาดนี้?
สิ่งนี้จึงทำให้เหลยซวี่อดไม่ได้ที่จะมองไปที่เย่เทียน และคิดในใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ? หรือว่าเปิดโลกกว้าง? หรือมาปิดทองหลังพระกันแน่?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เหลยซวี่ก็ค่อยๆ พูดขึ้น “ผู้บัญชาซือ ผู้ต้องหาในครั้งนี้อาจจะเป็นนักบู๊นะ คุณพาเด็กวัยรุ่นมาแบบนี้ ถ้าเกิดเหตุคับขันขึ้นมา ผมไม่มีเวลามาช่วยนะครับ”
“หัวหน้าเหลย ความจริงแล้วคุณชายเย่ก็เป็นนักบู๊เหมือนกันครับ”
“ผมจะบอกความจริงให้นะครับ ก่อนหน้านี้ เฉิงหลงในเขตทหารในเจียงหนันก็แพ้ให้เขามาแล้วครับ”
หลังจากเงียบมาตลอด ในที่สุดโจ๋หย่วนหันก็พบโอกาสที่จะพูด
“เฉิงหลงแพ้งั้นเหรอ?”
เหลยซวี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและจ้องไปที่เย่เทียนอย่างลึกซึ้ง เขาไม่สามารถตรวจจับข้อเท็จจริงของเย่เทียนได้ แต่ก็เริ่มเชื่อสำหรับข้อมูลของเย่เทียนที่ได้รับ
“พวกคุณพูดจบกันแล้วยัง? พูดจบเราก็รีบไปกันเถอะ!”
เย่เทียนอดไม่ได้ที่จะเร่งเร้าพวกเขา
ว่ากันว่าการช่วยชีวิตก็เหมือนการดับเพลิง ถ้าหากจี้เยียนหรันกับกงหย่วนถูกแมงมุมร้อยพิษเจ็ดสีกัดเข้า ต่อให้เขามียาแก้พิษ ถ้าปล่อยเวลานานไป มันก็อาจรักษาไม่ได้!
“น้องชาย ต่อให้เอ็งเป็นนักบู๊ แต่เอ็งไม่ใช่มืออาชีพ เดี๋ยวถ้าเจอคุณยายกระดาษไหว้เจ้าให้พี่เป็นคนจัดการแทนนะ ถ้ามีพี่อยู่ พี่จะฆ่ามันเหมือนฆ่าไก่ให้ดู!”
เหลยซวี่พูดกับเย่เทียนอย่างเย้ยหยัน เพราะเขาไม่พอใจกับความไร้มารยาทของเย่เทียน
แต่เหลยซวี่รู้ดีกว่าสิ่งที่เย่เทียนพูดก็ไม่ผิด เพราะเป็นการเตือนพวกเขาว่าต้องรีบขึ้นเขาแล้ว
และสำหรับเย่เทียนนั้น เขาไม่ได้สนใจเหลยซวี่คนนี้สักเท่าไหร่ ต่อให้เขาเป็นนักบู๊ในระดับดำก็ตาม
เพราะฝีมือในการใช้ยาพิษของคุณยายกระดาษไหว้เจ้านั้น ถ้าหากไม่ทันระวังก็อาจจะถูกเล่นงานง่ายๆ ก็เป็นไปได้ และถ้าถึงเวลานั้น การที่จะฆ่าเหลยซวี่มันก็ง่ายยิ่งกว่าการปอกกล้วยเข้าปากด้วยซ็ำ
แต่ถึงอย่างนั้น เย่เทียนก็ไม่ได้เตือนเขาก่อน เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งเสียเวลา รีบออกเดินทางกันก่อนจะดีกว่า!
ในเวลานี้ ถ้ารวมเย่เทียนด้วย กลุ่มคนแปดคนก็ได้ออกเดินทางไปยังหลินหยุนซาน
“ครั้งนี้เราส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเกือบสองร้อยนายเพื่อไปสืบสวนร้านขายกระดาษไหว้เจ้าครับ นอกจากนี้เรายังใช้กล้องซีซีทีวีและพยานหลักฐานจากคนในพื้นที่ จนในที่สุด เราก็ได้เบาะแสของคุณยายกระดาษไหว้เจ้าในเช้าตรู่ของวันนี้ครับ”
“แต่ว่า หัวหน้ากงกับหัวหน้าจี้ทนรอไม่ได้ ทั้งสองท่านจึงได้เข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ในถ้ำก่อน แต่ถึงตอนนี้แล้วพวกเขายังไม่ออกมาเลยครับ เกรงว่าน่าจะถูกคุณยายกระดาษไหว้เจ้าจับตัวไว้แล้วครับ”
จากนั้นไม่รู้ใช้เวลานานเท่าไหร่ ด้วยการอธิบายของตำรวจในเครื่องแบบผู้ซึ่งเป็นผู้นำทางของพวกเขา ในที่สุดทางเข้าถ้ำที่ซ่อนอยู่ก็ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า……