บทที่ 155 ผู้ประมาทส่งโลงศพ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

ปากทางเข้าถ้ำนั้นอยู่ในมุมที่ซ่อนเร้นมาก และยังมีเถาวัลย์ที่ปกคลุมไปทั่ว ถ้าคนสายตาไม่ดีอาจจะมองไม่เห็นอย่างแน่นอน

“ผู้บัญชาซือ ตรงนี้เลยครับ”

“หัวหน้ากงกับหัวหน้าจี้เข้าไปในถ้ำนี้ ถึงตอนนี้ยังไม่ออกมาเลยครับ”

เมื่อถึงสถานที่เกิดเหตุ ตำรวจที่รับผิดชอบนำทางก็รีบอธิบายให้กับซือเฮ่าเจียฟัง

ก่อนที่ซือเฮ่าเจียจะตอบสนอง เย่เทียนที่เต็มไปด้วยความกังวลก็รีบพูดขึ้นก่อน “จะเสียเวลาทำไม รีบเข้าไปเลยสิ”

แต่ว่า หลังจากที่เสียงของเย่เทียนลดลง เหลยซวี่ก็รีบหยุดพวกเขาทันที

“วัยรุ่นที่มีความมั่นใจสูงก็ดีเหมือนกัน แต่ถ้ามั่นใจตัวเองมากเกินไป มันอาจไม่ใช่เรื่องดีก็ได้นะ!”

“หัวหน้ากงกับหัวหน้าจี้ทั้งสองต่างก็ไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว แต่ถ้าเข้าไปนานขนาดนี้แล้วยังไม่ออกมา แสดงว่าฝีมือของคุณยายกระดาษไหว้เจ้าต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”

“ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในถ้ำ แล้วใครจะไปรู้ล่ะว่าจะมีกับดักอะไรอยู่ในนั้น?”

ซือเฮ่าเจียก็พยักหน้าเห็นด้วย เขาไม่ใช่นักบู๊ แล้วเขาจะประมาทง่ายๆ ได้อย่างไร?

“แล้วหัวหน้าเหลยครับ จากประสบการณ์ของคุณ คุณคิดว่าเราควรทำยังไงดีครับ?”

“ผู้บัญชาซือไม่ต้องห่วงครับ ให้ผมนำทางเอง ขอแค่คนร้ายหลบอยู่ในถ้ำนี้ รับรองว่าหนีไม่พ้นแน่!”

เหลยซวี่พูดด้วยรอยยิ้มอันเย้ยหยันและเต็มไปด้วยความมั่นใจ

เย่เทียนที่ได้ยินเช่นนี้ก็แสยะยิ้มเบาๆ แต่เขาไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เดิมตามทีมนี้เข้าไปในถ้ำอย่างเงียบๆ

ในทุกๆ ระยะห้าสิบเมตรข้างหน้า ทุกคนต่างก็ระวังตัวกันมาก

เหลยซวี่ที่คิดว่าอาจมีกับดักของคุณยายกระดาษไหว้เจ้ามาตลอด แต่จนถึงตอนนี้ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมและไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สิ่งนี้จึงทำให้เขาหงุดหงิดและทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ

“ดูเหมือนว่าเรื่องของคุณยายกระดาษไหว้เจ้าก็แค่ขี้โม้สินะ ถ้าเก่งจริง มันออกมาฆ่าพวกเราตั้งนานแล้ว”

“หรือบางทีมันอาจจะมีความสามารถก็ได้ แต่ถ้าเจอผมเข้าไป รับรองว่ามันอยู่ได้ไม่ถึงสามนาทีหรอก!”

แต่ว่า ทันทีที่เสียงพูดของเขาจบลง เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายก็ดังก้องออกมาจากปากถ้ำ

“ปากเก่งไม่เบาเลยนะ จะเก่งอย่างที่พูดหรือเปล่า!”

เหลยซวี่ขมวดคิ้วทันที “ใครน่ะ?”

เมื่อมองตามเสียงนั้นที่ดังขึ้น พวกเขาก็เห็นชายวัยกลางคนที่จ้องเขม็งมาด้วยสายตาอาฆาต ซึ่งดูก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน

“ทังหยูหลง ผู้ประมาทส่งโลงศพ?!”

เมื่อเห็นใบหน้าของชายวัยกลางคน สีหน้าของเย่เทียนก็ดูแปลกประหลาดทันที

ในชาติก่อน ทังหยูหลงก็เหมือนกับคุณยายกระดาษไหว้เจ้า ทั้งสองอยู่ในกลุ่มนักฆ่าทีมเล็กๆ ที่มีชื่อว่า ‘จัดศพ’ ซึ่งในทีมมีสมาชิกทั้งหมดห้าคน และนอกเหนือจากพวกเขาสองคนแล้ว ยังมีคุณปู่ดนตรี สาวอ่อนร้องศพ และลูกเด็กบรรจุศพที่ลึกลับที่สุด!

ในช่วงนั้น เพื่อตามหาฆาตกรที่ทำร้ายตระกูลเฉิน เย่เทียนก็ถือว่าได้สร้างศัตรูกับองค์กรลับที่มีชื่อไปแทบทั้งหมดแล้ว ดังนั้น ครั้งหนึ่งจึงมีคนเคยจ้างสมาชิกของจัดศพเพื่อมาลอบสังหารเย่เทียนแล้วด้วย

สำหรับทังหยูหลงแล้ว แค่ฟังจากชื่อก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งและทรงพลังมาก เขาไม่เพียงแต่มีความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถในการต้านทานความแข็งแกร่งได้อีกด้วย หรือเรียกได้อีกชื่อว่ารถถังที่อึดถึกทนนั้นเอง

แน่นอนว่า ด้วยสายตาของเย่เทียน เขาสามารถดูออกว่าฝีมือทังหยูหลงนั้นเทียบไม่ได้กับชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ฝีมือของเขาก็ยังแข็งแกร่งว่าเหลยซวี่อยู่ดี ซึ่งเกรงว่าอย่างน้อยฝีมือของเขาก็คงอยู่ในระดับดำตอนกลางก็เป็นไปได้!

“ดูเหมือนว่าคุณยายกระดาษไหว้เจ้าคนนี้ไม่คิดจะหนีเลยสินะ!”

“ถูกหมายหัวแล้วยังไม่คิดจะหนี? แต่กลับย้ายมาอยู่ในถ้ำเน่าๆ แห่งนี้ อีกทั้งยังเรียกทังหยูหลงคนนี้มาช่วยอีกด้วย หรือว่าในถ้ำแห่งนี้จะมีอะไรมากไปกว่าที่คิด?”

เย่เทียนครุ่นคิดในใจ และเชื่อว่าอาจมีบางอย่างแปลก ๆ ในถ้ำนี้ ถึงทำให้คุณยายกระดาษไหว้เจ้าไม่คิดจะหนีไปจากที่นี่เลย

ชายวัยกลางคนดูสงบและไม่เร่งรีบ เขาจุดบุหรี่ช้าๆ และพูดอย่างขี้เล่นว่า “ผมจะเป็นใครไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือถ้าพวกคุณจะเข้าไปในนี้ ต้องผ่านศพผมไปก่อน!”

“คุณ คุณก็คือทังหยูหลง?”

ก่อนที่เหลยซวี่จะตอบ ซือเฮ่าเจียที่ยืนอยู่ในกลุ่มแปดคนก็มองทังหยูหลงอย่างละเอียดและถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ

“เหล่าซือ ทังหยูหลงคือใคร?”

แต่กลับเป็นโจ๋หย่วนหันที่รู้สึกสงสัยมากกว่า

ซือเฮ่าเจียพูดอย่างขมขื่นว่า “เหล่าโจ๋ คุณยังจำเหตุการณ์สังหารหมู่ในเมืองหยุนเตียนเมื่อแปดปีก่อนที่ทำให้โด่งดังไปทั้งประเทศและแม้กระทั่งต่างประเทศได้ไหม?”

“คุณหมายถึงการสังหาร 39 คนในหมู่บ้านชายแดนที่ติดกับประเทศ T งั้นเหรอ?”

เมื่อถึงจุดนี้ สีหน้าของโจ๋หย่วนหันก็หม่นหมองอย่างดูไม่ได้

“ใช่ ทังหยูหลงคนนี้ก็คือฆาตกรในตอนนั้น เป็นฆาตกรที่หนีออกจากประเทศ T ฝีมือของเขาดีมาก เพราะในตอนนั้น มีทหารนับพันที่ปิดล้อมเขา แต่เขากลับหนีไปได้”

สีหน้าของซือเฮ่าเจียดูเคร่งเครียดจนสุดขีด

“เหอะๆ ไม่คิดเลยนะ ว่าแปดปีผ่านไปยังมีคนจำผมได้”

ทังหยูหลงหัวเราะคิกคักและสะบัดคอจนเสียงดังกร๊อบแกร๊บ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอาฆาต “แต่ว่า ในเมื่อพวกคุณรู้จักผม งั้นผมคงปล่อยพวกคุณไปไม่ได้แล้วล่ะ!”

“คุยโวโอ้อวดไม่รู้สึกกระดากอายจริงๆ! คุณคิดว่าคุณใหญ่ค้ำฟ้ามาจากไหน? พวกเราคนเยอะขนาดนี้ จำเป็นต้องกลัวคุณงั้นเหรอ?”

สีหน้าของเหลยซวี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในฐานะที่เขาเป็นตำรวจและเป็นนักบู๊อยู่แล้ว ทำไมเขาต้องยอมแพ้ง่ายๆ ก่อนที่จะวัดฝีมือกันด้วยล่ะ?

แต่ถึงจะยอมแพ้ จุดจบมันก็คือน้อมรับความตายอย่างไร้ค่า!

สุนักที่กลัวยังกระโดดกำแพงหนีได้ ตราบใดที่ยังไม่ถึงวินาทีสุดท้าย ไม่มีใครยอมน้อมรับความตายอย่างเสียเปล่าหรอก!

“พูดจาใช่ย่อยเลยนะ เก่งจริงก็มาลองดูสิ!”

ทังหยูหลงไม่ได้รีบร้อนอะไรเลย ซึ่งเขาคิดว่ากลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าต่างก็เป็นพวกไร้ค่า และสถานการณ์ตอนนี้ก็เหมือนแมวจับหนูเท่านั้น

“เหอะ! คิดว่าผมกลัวอย่างนั้นเหรอ?”

เหลยซวี่ก้าวออกมาอย่างห้าวหาญ พลังงานภายในที่แข็งแรงของเขาก็เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว และออร่าของนักบู๊ระดับดำตอนต้นก็แผ่กระจายออกมาจากตัวเขา

“ถึงว่า ทำไมถึงปากดีขนาดนี้ ที่แท้ก็มีฝีมืออยู่ในระดับดำตอนต้นนี่เอง”

“แต่เสียดายนะ ต่อให้คุณจะเก่งแค่ไหน มันก็ไม่คู่ควรที่จะเอามาอวดต่อหน้าทังหยูหลงคนนี้หรอก!”

ทังหยูหลงสีหน้าไม่พอใจและแสยะยิ้มพูดต่อ “แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ผมรับรองว่าไอ้พวกตำรวจกระจอกอย่างพวกคุณจะไม่ตายฟรีอย่างแน่นอน!”

“เพราะว่าบนเขานี้มีสัตว์ป่าตั้งมากมาย ผมเชื่อว่าพวกมันต้องชอบพวกคุณแน่!”

แน่นอนว่านักสู้ย่อมอารมณ์ร้อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อถูกทังหยูหลงเยาะเย้ยอย่างไม่หยุดแบบนี้ เหลยซวี่จึงไม่สามารถจะทนได้อีก

“อยากตายใช่ไหม!”

เขาตวาดออกมาอย่างเสียงดัง จากนั้นกระทืบเท้าและพื้นดินก็ยุบลงไปเป็นหลุมขนาดใหญ่ และในชั่วพริบตา เขาก็พุ่งเข้าไปอยู่ต่อหน้าทังหยูหลง

กำปั้นขนาดเท่าหม้อที่ดูเหมือนจะสามารถตัดผ่านความว่างเปล่า และเสียงลมหวีดหวิวก็ดังขึ้น

แต่ทังหยูหลงกลับดูเหมือนไม่กลัวอันตรายใดๆ แม้กระทั่งยังมีรอยยิ้มที่โหดร้ายบนใบหน้าของเขา จากนั้น เขาก็ยกกำปั้นขึ้นแล้วชกออกไปด้วยความแรงและไม่มีการลังเลใดๆ

ทุกคนในที่นี้ต่างกลั้นหายใจรอฉากเซอร์ไพรซ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

บู๊ม!

น่าเสียดายที่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง เพราะหลังจากสองหมัดที่ปะทะเข้าหากัน ทั้งสองก็แยกจากกันอย่างรวดเร็ว

ทังหยูหลงนั้นยืนอยู่กับที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับมีรากงอกใต้ขาของเขา

แต่เหลยซวี่นั้นต่างกัน เขาได้แต่ส่งเสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดและถอยหลังออกไปหลายก้าว ถ้าไม่ใช่เพราะกลุ่มตำรวจติดอาวุธที่มากับเขาและรับเขาได้ทันเวลา เขาอาจจะฟาดล้มลงกับพื้นโดยจบไม่เป็นท่าอย่างแน่นอน

ถึงแม้จะรับเหลยซวี่ได้ทันเวลาก็จริง แต่มือขวาของเขาดูเหมือนจะเป็นโรคพาร์กินสันที่สั่นรุนแรงอย่างไม่หยุด

ใครแพ้ใครชนะ ซึ่งดูก็รู้ในทันที!