ตอนที่ 349 สู้กันแล้ว

ตอนที่ 349 สู้กันแล้ว

 

เสียงเร่งเครื่องยนต์ใกล้เข้ามาแล้ว แสงไฟก็สาดส่องเข้ามา รวมถึงแสงจากไฟฉายด้วย ปรากฏว่าเป็นรถมอเตอร์ไซค์สี่ล้อที่มาจอดอยู่ใกล้ ๆ แต่ยังไม่ได้ดับเครื่อง แสงไฟฉายส่องสว่างจ้ามาที่บนรถของจ้าวเหวินเทา มีคนหนึ่งร้องทัก “พวกนายเป็นใครกันน่ะ! บนรถขนอะไรมา?”

 

จ้าวเหวินเทาหยิบไฟฉายขึ้นมาเช่นกัน พร้อมกับกวาดส่องไปที่บนรถของอีกฝ่าย ดูเหมือนจะมีประมาณห้าถึงหกคน

 

“พวกเราเป็นรถขนส่งสินค้า! ขนพวกธัญพืช พวกนายเป็นใคร?” จ้าวเหวินเทาตอบกลับไป

“พวกเราคือคนรักษาความปลอดภัยบริเวณนี้! ลงมาให้ตรวจสอบหน่อย!” คนคนนั้นพูดอย่างก้าวร้าว

 

จ้าวเหวินเทาหยุดนิ่งไม่ไหวติง ตอบกลับอย่างประหลาดใจ “คนรักษาความปลอดภัย พวกนายเป็นคนรักษาความปลอดภัยของที่ไหน?”

 

“นายไม่มีสิทธิ์มาถามมาก! รีบลงมาจากรถเร็ว ๆ เข้า อย่าให้ฉันต้องขึ้นไปคุมตัวพวกนายลงมา!”

เมิ่งต้ากระซิบเบาๆ “พวกมันเป็นคนรักษาความปลอดภัยจริงเหรอ?”

แต่ชื่อเสียงของคนรักษาความปลอดภัยนั้นก็โด่งดังมากเลยนะ

จ้าวเหวินเทาโบกมือให้เขาพร้อมกับพูดตอบกลับเสียงดัง “นี่น้องชาย พวกนายมีเอกสารรับรองหรือเปล่า เอาเอกสารรับรองออกมาให้พวกเราดูหน่อยได้ไหมล่ะ?”

  

“พวกนายเป็นคนที่ไหนกัน?” อีกคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงดัง

 

“พวกฉันอยู่แถว ๆ หมู่บ้านจางเจียนี่แหละ ตอนนี้รถมีปัญหานิดหน่อย กำลังรอคนมาซ่อมอยู่” จ้าวเหวินเทาพูดออกมาทันทีโดยไม่คิด “พวกนายล่ะ เป็นคนรักษาความปลอดภัยของที่ไหนกัน?”

“หมู่บ้านจางเจียก็ไม่ได้ รีบลงมาจากรถเดี๋ยวนี้!” คนคนนั้นพูดอย่างหยาบคายขึ้นมา

 

จ้าวเหวินเทาพูด “เพื่อนยาก นี่พวกนายบอกให้พวกเราลงจากรถแบบไม่มีเหตุผลแบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรมั้ง? พวกเรายังไม่เห็นเอกสารรับรองของพวกนายเลยนะ!”

 

“พวกนายก็ลงมาสิ แล้วฉันจะให้ดู!”

 

“เพื่อนยาก เสียงรถของพวกนายดังมากเลย ช่วยดับเครื่องหน่อยได้ไหม” จ้าวเหวินเทายังคงพูดต่อไป

เสียงเครื่องยนต์ของรถมอเตอร์ไซค์สี่ล้อนั้นดังมาก ทั้งสองฝ่ายจึงต้องตะโกนคุยกัน

จ้าวเหวินเทาพูดแบบนี้ คนฝั่งนั้นก็ด่ามาอีกประโยคว่าเรื่องเยอะ จึงดับเครื่อง แสงจากไฟฉายทั้งหมดสาดส่องมาที่หน้าของจ้าวเหวินเทาเต็ม ๆ

“เอาล่ะ ดับเครื่องแล้ว รีบลงจากรถมายอมให้ตรวจสอบซะดี ๆ!” คนคนนั้นพูดขึ้น

 

จ้าวเหวินเทาตอบกลับ “พวกนายอยากตรวจสอบอะไรล่ะ จะตรวจสอบธัญพืชหรือคน?”

  

“ตรวจสอบทั้งธัญพืชทั้งคนนั่นแหละ!”

  

“งั้นพวกนายก็ขึ้นมาแล้วกัน ธัญพืชมากมายขนาดนี้พวกเราคงออกห่างจากรถไม่ได้”

“จะไม่ลงมาใช่ไหม ถ้าไม่ลงมางั้นพวกฉันจะเจาะยางรถแล้วนะ!” ขณะที่พูด อีกฝั่งก็มีคนหนึ่งกระโดดลงมาจากบนรถ ในมือถือพลั่วอยู่หนึ่งด้าม พุ่งตรงมาเพื่อเจาะยางรถ

 

จ้าวเหวินเทาถึงกับมีน้ำโหทันทีที่เห็น มารดามันเถอะ กล้ามาแตะต้องรถของข้าเหรอ! มือของเขาคว้าเชือกที่มัดเสบียงอาหารไว้แล้วกระโดดลงจากรถ พร้อมกับพกท่อนไม้ลงไปหนึ่งแท่ง

“แม่งเอ๊ย ขอดูหน่อยว่าใครหน้าไหนมันกล้ามาแตะต้องรถของข้า!”

 

ครั้งนี้เขาลงไปบุกเดี่ยวแบบปุบปับเกินไป ทั้งเมิ่งต้ากับชุยต้าถึงกับมึนงงไปหมด พี่สี่จ้าวเป็นคนแรกที่ได้สติกลับมา กระโดดตามลงไปและเดินตามหลังจ้าวเหวินเทาพร้อมกับโบกท่อนไม้ไปมา

คนที่อยู่หลังรถเมื่อเห็นจ้าวเหวินเทาเริ่มลงมือแล้ว ก็พากันทยอยลงรถตามมา เฉินเซิ่งที่อยู่ด้านหน้าก็เห็นเช่นกัน จึงตะโกนเรียกคนที่ดูแลสินค้าอยู่ด้วยกันให้กระโดดขึ้นรถไปและเริ่มต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม

 

ชุยต้ากับเมิ่งต้าเห็นว่าเริ่มสู้กันแล้ว แต่กลับไม่ได้กลัวขนาดนั้น รีบลงจากรถไปเสริมกำลัง

จ้าวเหวินเทาจัดว่าเป็นคนที่เก่งด้านการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก เติบโตมากับการต่อสู้ เฉินเซิ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง ติดตามดูแลสินค้าบนรถมานานหลายปี ไม่ว่าจะเหตุการณ์อะไรก็เจอมาหมดแล้ว เรื่องต่อยตีกันยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ไม่กี่คนพวกนั้นก็เริ่มร้องขอชีวิต

 

จ้าวเหวินเทาหัวเราะเยาะพร้อมกับคว้าคอเสื้อคนคนนั้นที่พูดกับเขาขึ้นมา “ฉันถามแก ว่าแกเป็นใคร ไม่ต้องบอกว่าเป็นคนรักษาความปลอดภัยอะไรนั่น แกคิดว่าฉันเป็นเด็กน้อยสามขวบหรือไง!”

คนคนนั้นถึงกับหวาดกลัว ไม่เคยเจอคนที่ต่อสู้กลับแบบนี้มาก่อน “บอกแล้ว! ฉันบอกแล้ว! ฉันเป็นชาวบ้านของหมู่บ้านหลิวเจียไม่ใช่คนรักษาความปลอดภัย!”

ที่แท้เขาก็เล็งไว้ตั้งแต่ตอนที่พวกจ้าวเหวินเทาหยุดจอดรถกินข้าวกันที่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งช่วงเที่ยงนี่เอง เขาแอบได้ยินชุยต้ากับเมิ่งต้าพูดคุยกัน จึงทราบว่าพวกเขาเป็นคนต่างถิ่น ตอนค่ำไม่ได้พักที่โรงแรม แต่พักตามป่าตามเขา จึงไปยืมรถมอเตอร์ไซค์สี่ล้อมา และรวมตัวพรรคพวกทั้งญาติและคนในหมู่บ้านมาเพื่อมาปล้น

 

เวลานี้ไม่ค่อยสงบสุขสักเท่าไรนัก การปล้นจึงเป็นเรื่องปกติ เมื่อถึงเวลาที่จะไปปล้นก็แค่ตามสืบว่าพวกเขาจะไปที่ไหน ดังนั้นตอนค่ำจึงออกตามหา และเล่นบทเป็นคนรักษาความปลอดภัย คิดจะขู่เข็ญให้จ้าวเหวินเทาหวาดกลัว ทำให้พวกเขายอมจำนน แค่นี้ก็สบายหายห่วงแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าจ้าวเหวินเทาจะห้าวกว่าพวกเขาเสียอีก!

“น้องจ้าว เอาไงดี?” เฉินเซิ่งเรียกจ้าวเหวินเทาพลางเอ่ยถาม

 

จ้าวเหวินเทาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอบไปว่า “พวกเรารีบเดินทางกันคืนนี้กันเถอะ!”

“ผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน พวกเราทำอะไรพวกนั้นไม่ได้ ปล่อยพวกมันกลับไป ถ้าพวกมันไปเรียกพรรคพวกในหมู่บ้านมาที่นี่ พวกมันคนเยอะกว่าแรงก็เยอะกว่า พวกเราจะเสียเปรียบมันไม่ได้เด็ดขาด!”

  

จ้าวเหวินเทาพูด “พี่เฉิน พี่ช่วยไปบอกคนขับรถว่าขอรบกวนเขาสักหน่อยนะ พวกเราจะออกเดินทางกันตอนนี้เลย!”

“โอเค!”

จ้าวเหวินเทาเรียกทุกคนให้ขึ้นรถ และไม่ได้ไปสนใจคนพวกนั้นแล้ว เมื่อคนขับสตาร์ทรถ ก็รีบบึ่งออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว

“พี่หก พวกนั้นคงไม่ตามพวกเรามาใช่ไหม!” ภายในใจของเมิ่งต้ายังคงหวาดกลัว จับเชือกไว้แน่น ๆ พลางเอ่ยถาม

“ไม่หรอก รถมอเตอร์ไซค์สี่ล้อคงไม่ได้สตาร์ทติดได้ง่าย ๆ ขนาดนั้น!” จ้าวเหวินเทาตอบ

รถมอเตอร์ไซค์สี่ล้อกับรถพ่วงใหญ่ไม่เหมือนกัน อันนั้นเป็นรถที่ต้องใช้คันโยกเร่งเครื่องยนต์ วันนี้อากาศเย็นขนาดนี้ อีกทั้งดับเครื่องไปตั้งสิบกว่านาที คงต้องเปลืองแรงสักหน่อยกว่าจะเร่งเครื่องได้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจ้าวเหวินเทาถึงให้พวกเขาดับเครื่อง

“พี่หก พี่รู้ได้ไงว่าพวกมันต้องดับเครื่องแน่ ๆ?” ชุยต้าเอ่ยถาม

 

“พวกมันคิดว่าพวกเราต้องกลัวมันไง พวกรักษาความปลอดภัยเก่งกาจขนาดไหนกัน ไม่น่าเชื่อว่าพวกเราจะลงมือจัดการได้ ดังนั้นพวกมันเลยต้องเอาเรื่องดับเครื่องมาหลอกล่อให้พวกเราลงจากรถ” จ้าวเหวินเทาพูดวิเคราะห์

 

พี่สี่จ้าวก็พูดเสริมขึ้นมาอีกคำ “นายบอกว่าไม่ให้ลงจากรถ แต่นายกลับเป็นคนแรกที่กระโดดลงจากรถนะ”

จ้าวเหวินเทาพูดเคล้ารอยยิ้ม “พี่สี่ ถ้าผมไม่โดดลงจากรถ พวกมันคงได้เจาะยางรถของพวกเราไปแล้ว แล้วเราจะหนีได้ยังไง อีกอย่าง ไม่ให้โดดลงจากรถ แล้วพี่โดดลงไปทำไม?”

พี่สี่จ้าวตอบเสียงดัง “ก่อนหน้านี้มีครั้งไหนบ้างที่ฉันไม่ไปร่วมทัพกับนายเวลาทะเลาะกับชาวบ้านน่ะ!”

  

จ้าวเหวินเทาหัวเราะลั่น “ใช่ พี่สี่ มีพี่คอยหนุนหลังผมอยู่ผมก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น!”

พี่สี่จ้าวแค่นเสียงพ่นลมออกจากจมูก “นายสะใจที่ได้ทะเลาะกับชาวบ้าน แต่สุดท้ายก็ต้องเป็นฉันที่กลายเป็นแพะรับบาป ถูกพ่อทุบอีก!”

 

พูดถึงเรื่องเรื่องน่าอายในตอนเด็ก ๆ บรรยากาศก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นเยอะเลย

“พี่หก พี่รู้ได้ยังไงว่าที่นี่มีหมู่บ้านจางเจีย?” เมิ่งต้าเอ่ยถาม

“ฉันแค่พูดมั่ว ๆ ไปงั้นแหละ นายก็เชื่อกับเขาด้วยเรอะ!”

เมิ่งต้าหมดคำจะพูด ที่แท้ก็แค่เรื่องที่แต่งขึ้นมาลอย ๆ ตอนนั้นเขาก็เชื่อไปแล้วจริง ๆ

“ผมนึกว่าคนพวกนั้นเป็นพวกรักษาความปลอดภัยจริง ๆ เสียอีก! ไม่ให้ซื้อขายธัญพืช ทำเอาผมตกใจหมดเลย!” เมิ่งต้าพูด

 

“ฉันเองก็ตกใจแทบแย่!” ชุยต้ายังคงไม่ปิดบังความปอดแหกของตัวเอง “ข้างนอกนี่ไม่สงบสุขเลยจริง ๆ !”

  

“ไม่เป็นไรหรอก มีประสบการณ์เยอะขึ้นก็ดีขึ้นแล้ว” จ้าวเหวินเทาพูดปลอบใจ

 

“พี่หก เรื่องแบบนี้ผมเจอแค่ครั้งเดียวก็ไม่อยากเจอประสบการณ์แบบนี้อีกแล้ว!”

 

ชุยต้าและเมิ่งต้าเป็นคนตรงไปตรงมาทั้งคู่ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีเรื่องชกต่อย คิดไม่ถึงว่าแค่ชกต่อยครั้งแรกก็ถึงขั้นได้เห็นเลือดแล้ว ช่างน่ากลัวจริง ๆ

  

โชคดีที่การเดินทางหลังจากนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นตลอดทาง หลังจากฟ้าสว่างทุกคนก็หยิบผ้าผันแผลออกมา ใช้ยาทิงเจอร์ไอโอดีนทำแผล แต่ก็ไม่ได้มีอุปสรรคอื่น

 

ในที่สุดก็เดินทางมาถึงเมืองผานจิ่น เฉินเซิ่งเจอศูนย์การจำหน่าย-กระจายสินค้าที่ติดต่อไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงทำการขายข้าวฟ่าง ซื้อข้าวสาร ไม่กี่วันก็เดินทางกลับ

 

ตอนที่เดินทางกลับ ชุยต้าและเมิ่งต้าดูผ่อนคลายขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงอย่างไรก็เคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง ในใจจึงเริ่มคุ้นเคยขึ้นมาบ้าง ตอนที่ขับรถใกล้ถึงในเมือง ทุกคนพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก กลับบ้านเรานี่แหละดีที่สุดแล้ว!

ข้าวสารเป็นสินค้าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ขนส่งเข้ามาในเมืองก็ขายหมดเกลี้ยงภายในวันเดียว เมื่อคำนวณเงินให้กับเหล่าคนขับรถเรียบร้อยแล้ว จ้าวเหวินเทาก็พาพี่สี่จ้าว คนอื่น ๆ รวมถึงถุงข้าวสารที่เหลือนิดหน่อยกลับบ้าน

ครั้งนี้พวกเขาใช้เวลาไปกลับรวมทั้งหมดประมาณยี่สิบกว่าวัน ทุกคนเหนื่อยล้ากันไม่ไหวแล้ว ได้ไปเปิดหูเปิดตาพบเจอกับโลกภายนอกที่ไม่ใช่ภูมิลำเนาของตน ทั้งยังเจอประสบการณ์โดนปล้นอีก การเดินทางครั้งนี้ถือว่าได้รับทรัพย์ไปแบบเต็ม ๆ เลยทีเดียว!

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

น่ากลัวมาก ดักปล้นกันตอนกลางคืนดึกดื่น ยังดีที่อีกฝ่ายไม่มีปืน

รับของมาขายก็เหนื่อยมากเหมือนกันนะคะ ทางบ้านเป็นห่วงแย่แล้วมั้งเนี่ย ไปกันเกือบเดือนหนึ่งเลย

ไหหม่า(海馬)