บทที่ 301 งานกินข้าว ข้ารอเจ้าที่นี่

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินเขียนกลอนตอบออกมาได้แล้ว นางก็หายใจอย่างโล่งอก นางแอบปาดเหงื่อเงียบๆ ตอนที่ไม่มีใครเห็น ดีนะที่ไม่เสียหน้า ว่าแล้วการเป็นหญิงมากความสามารถนั้นไม่ง่ายเลย

มีคนกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาจะต้องเล่นต่อบทกวีกัน แต่ไม่คิดว่าท่านซูเหยียนจะเล่นเลห์เหลี่ยม ออกบทกวีที่ยากอย่างมากแต่เริ่ม ตอนที่เสี่ยวเอ้อนำบทกวีมาให้นั้น เขารู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย

แม้ว่าเขาจะเป็นแค่คนรับใช้รุ่นน้อง แต่เขากลับมีความรู้มากยิ่งกว่าเหล่าคนที่เรียนหนังสือ เขาสามารถต่อกวีได้ทุกบท ในหอจู๋เฟิงนี้ คงไม่มีใครที่สามารถต่อบทกวีได้แม้แต่กลอนเดียว แค่ท่านซูเหยียนกลับออกบทกวีมาทีเดียวห้าบท เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจกลั่นแกล้งคุณชายใหญ่

ทันทีที่โคลงกวีทั้งห้าถูกแขวนเผยออก ทั้งในและนอกหอจู๋เฟิงต่างก็เงียบสงบลง แววตาของทุกคนจับจ้องไปที่โครงกวีทั้งห้านี้ จากนั้นก็กระซิบคุยกัน

“นี่จะต่อยังไงกัน? มันจะต้องยากแน่ๆ”

“มันยากเกินไปหรือไม่? ข้าจะต้องรู้สึกดีใจที่โคลงกวีเข้าหอจูเหยียนนี้ท่านซูเหยียนมิได้เป็นคน มิฉะนั้น เกรงว่าข้าคงมิได้เข้ามาเหยียบที่นี่ทั้งชีวิต

“ห้าโคลงแรกนี้ให้เวลาเพียงสิบห้านาที ท่านซูเหยียนตั้งใจจะทำให้คุณชายใหญ่ต้องอับอายหรือ”

ทุกคนเป็นห่วงหวังจิ่นหลิงอย่างมาก มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินที่ดูผ่อนคลาย บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มปรากฏ ไม่มีความกังวลเลยแม้แต่น้อย

“คุณหนูไม่กังวลแทนคุณชายเลยหรือ?” สาวใช้ที่อยู่ข้างหลังถามด้วยเสียงเบา

“มีอะไรให้ต้องกังวล?” เฟิ่งชิงเฉินทำหน้าบึ้ง นางกังวลเพียงเรื่องเดียว คือโครงกวีในห้องส่วนตัวนั้นนางสามารถต่อได้หรือไม่?”

“โคลงเหล่านี้ยากเช่นนี้ หากคุณชายต่อมิได้จะทำอย่างไร?” มีเวลาเพียงสิบห้านาที จะต้องเป็นคนที่มากความสามารถจริงๆ จึงจะต่อมันได้

เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้า มองไปที่หวงัจิ่นหลิงที่กำลังใคร่ครวญและกล่าวว่า “หากเป็นผู้อื่น ข้าอาจต้องกังวล แต่หากเป็นคุณชายใหญ่เช่นนั้นมิต้องกังวลหรอก ท่านซูเหยียนไม่สามารถชนะคุณชายใหญ่ได้”

“เจ้าเชื่อมั่นในตัวข้าเช่นนี้เชียวหรือ?” หวังจิ่นหลิงกำลังจะหยิบพู่กันขึ้นมาเขียน เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็หยุดลงมองไปที่เฟิ่งชิงเฉิน แววตาของเขามีความสุข

“เพราะเจ้าคือหวังจิ่นหลิง” เฟิ่งชิงเฉินตอบด้วยรอยยิ้ม

พวกเขาสบตากัน ในแววตาของกันและมีความไว้วางใจและความชื่นชมต่อกัน แต่ไม่มีความรัก หรือพวกเขาอาจซ่อนมันเอาไว้อยู่ส่วนลึกของหัวใจ

“ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่ ข้าคือหวังจิ่นหลิง” คุณชายผู้สง่างามหัวเราะออกมาเต็มเสียง ไม่เพียงแต่ไม่อยาหคาย แต่กลับให้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่งออกมา

การเขียนพู่กันของ หวังจิ่นหลิงโด่งดังเรื่องงาม ทันทีที่ลงมือเขียน ทุกคนที่อยู่ในนั้นต่างก็เอ่ยปากพร้อมกันว่า “เขียนสวยอย่างมาก”

เมื่อหวังจิ่นหลิงต่อกวีแรกเสร็จ คนที่อยู่ในนั้นต่างก็กล่าวพร้อมกันว่า “ต่อได้ดีอย่างมาก”

มีคุณชายหลายท่านเร่งสั่งให้คนใช้ไปซื้อกระดาษและพู่กันทันที พวกเขาเตรียมที่จะจดบทกวีนี้กลับไปด้วย

หลังจากต่อกลอนบทแรกจบแล้ว หวังจิ่นหลิงเขียนบทที่สอง บทที่สาม….จนบทสุดท้ายออกมาโดยไม่ต้องครุ่นคิด

“เป็นคนหัวไว มีความรู้ท่วมหัว สมแล้วที่เป็นคนสอนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาจี้เซี่ย ” พี่ชายของจิ้งเยวี่ยชื่นชมเขาจากใจจริง “มีเพียงคนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเชิญท่านซูเหยียนออกมาร่วมสนุกได้ ข้าคงทำมิได้”

“คุณชายเก่งมาก” สาวใช้ทั้งสองไม่สงบเหมือนก่อน พวกนางปรบมืออย่างมีความสุข เฟิ่งชิงเฉินยิ้มแต่มิได้กล่าวกระไร

จิ่นหลิงเก่งอย่างมาก แต่จะมีใครรู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังของความเก่งนั้น หวังจิ่นหลิงต้องทุ่มเทมากเพียงใด

เขามองไม่เห็น และเมื่อเขามองไม่เห็นโลกใบนี้ เส้นทางการศึกษาของเขานั้นจะยากกว่าคนทั่วไปถึงพันเท่าหมื่นเท่า ทุกคนเห็นเพียงความสง่างามที่แวววาวของหวังจิ่นหลิง แต่ไม่มีใครรู้ว่า แม้เขาอยู่ใต้พระอาทิตย์ที่สองแสงเจิดจ้า แต่เขากลับเห็นเพียงความมืดและความเดียวดาย

หลังจากต่อบทกวีทั้งห้าเรียบร้อยแล้ว ท่านซูเหยียนก็ไม่สามารถทำให้หวังจิ่นหลิงอับอายได้อีกต่อไป ตามกฎแล้วเฟิ่งชิงเฉินต้องคิดโคลงเริ่มมาก่อนหนึ่งโครง มีคนมากมายรอดูอยู่เช่นนี้ หวังจิ่นหลิงไม่สามารถเขียนแทนนางได้ ทำได้เพียงแค่ช่วยเขียนตามที่นางกล่าว

“ชิงเฉิน เจ้าออกโครงกวีเริ่มมา ข้าจะช่วยเจ้าเขียนไปด้วย”

“ได้เลย” เฟิ่งชิงเฉินคิดมานานแล้ว จากนั้นนางก็กล่าวออกมาทันทีว่า “บ่อสะท้อนจันทร์ เงาสะท้อนจันทรา เงาจันทรานั้นสะท้อนอยู่กลางบ่อสะท้อนจันทร์ บ่อสะท้อนจันทร์นั้นอยู่มานานนับหมื่นปี เงาสะท้อนจันทราอยู่มานานนับหมื่นปี”

หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินกล่าวคำสุดท้าย หวังจิ่นหลิงก็เขียนเสร็จพอดีเช่นกัน

“คุณชายใหญ่ คุณหนูเพิ่ง ทั้งสองเชิญได้เลยขอรับ” หลังจากที่หมึกแห้งแล้ว คนใช้ในร้านก็เร่งเก็บโครงเริ่มบทกวีไป

นี่เป็นตัวอักษรที่เขียนโดยคุณชายใหญ่ ปกติแล้วยากมากที่จะได้มันมา หากเอาป้ายนี้มาแขวน จะต้องทำให้หอจู๋เฟิงมีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

หวังจิ่นหลิงถือเป็นคนโฆษณาที่ดีที่สุดของหอจู๋เฟิง!

หลังจากที่หวังจิ่นหลิงและ เฟิ่งชิงเฉินเข้าไปในหอแล้ว คนที่เข้ามาดูยังมิได้กระจายออกไป แต่พวกเขาต่างก็ล้อมรอบคนใช้ประจำร้านเอาไว้ ให้เขาเผยอักษรที่หวังจิ่นหลิงเขียนออกมาให้ชม

ส่วนจะซื้อหรือไม่นั้น?

พวกเขาอยากซื้อ เพียงแต่รู้ดีว่างานเขียนของหวังจิ่นหลิงนั้นไม่มีทางนำมาขาย แม้ว่าจะให้ราคาหมื่นตำลึงทองก็ตาม เพราะตระกูลหวังไม่ขาดแคลนเงิน

พี่ชายของจิ้งเยวี่ยมองดูหวังจิ่นหลิงและเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไป จนเมื่อทั้งสองหายไปแล้ว เขาจึงหันกลับมากล่าวว่า “ในเมื่อข้ามาที่ตงหลิง ข้าไม่รู้จักใครไม่เป็นกระไร แต่ข้าต้อทำความรู้จักกับสองคนนี้ให้ได้”

“จิ้งเยวี่ย ไปกันเถอะ เราเข้าวังไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิแห่งแคว้นตงหลิงกันเถิด” พี่ชายของจิ้งเยวี่ย ดึงจิ้งเยว่ที่ยืนมึนงงอยู่

เสด็จอาเก้ามิได้ตัดสินใจกลับไปที่จวนอ๋องเก้า แต่เขาไปที่จวนนอกที่ตั้งอยู่นอกเมือง ทันทีที่ไปถึงจวนนอกเสด็จอาเก้าก็ให้คนใช้ถอยออกไป เขากลับเข้าไปที่ห้องหนังสือ และเปิดปิดประตูที่นำไปสู่ห้องลับ

เมื่อเดินไปตามทางเดินลับที่ยาวและแคบที่อยู่ใต้โต๊ะ เสด็จอาเก้ามาถึงสถานที่เก็บดินปืนและระเบิดเทียนเหล่ย

“นายท่าน” ในห้องลับไม่มีแสงสว่าง มีเพียงเงาดำที่มองเห็นได้จาง ๆ

“เอาของมาได้หรือยัง มีเท่าไหร่?”

“มีระเบิดเทียนเหล่ยทั้งหมด367ลูก เหลือไว้ให้ฮ่องเต้26ลูก มีของอีก18กล่อง ข้าน้อยไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด รู้เพียงแต่ว่าของสิ่งนั้นหากต้องไฟ จะเผาไหม้ทันที ข้าน้อยเอากลับมาด้วยขอรับ” ชายชุดดำตอบด้วยความเคารพ คณะเดียวกันก็นำพาเสด็จอาเก้าเข้าไปที่ห้องลับ และเปิดกล่องออกมา

ระเบิดเทียนเหล่ยแค่เช็คก็พอ สิ่งสำคัญที่สุดคือส่งทั้ง18กล่องที่ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด

มีระเบิดเทียนเหล่ยสิบลูกต่อกล่อง เมื่อมองไปที่ระเบิดเทียนเหล่ยที่กองเต็มห้องลับ บนใบหน้าของเสด็จอาเก้ามิได้มีความสุขแม้แต่น้อย

หากหลี่เซี่ยงโยนระเบิดเหล่านี้ไปที่เมืองหลวงพร้อมกัน เช่นนั้นเมืองหลวงแห่งแคว้นตงหลิงจะกลายเป็นซากปรักหักพัง และผู้คนในเมืองหลวงแห่งแคว้นตงหลิงคงจะต้องตายกันหมด

ตงหลิงจิ่วดีใจที่หลี่เซี่ยงไม่ได้ทำการโจมตีที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ และในขณะเดียวกัน เขาก็ดีใจยิ่งกว่าที่ของพวกนี้ตกไปอยู่ในมือของเขา

ไม่มีบุคคลระดับสูงคนใดสามารถปฏิเสธอาวุธที่ไร้เทีนยมทานดั่งระเบิดเทียนเหล่ยนี้ได้ แต่เขาจะไม่นำสิ่งเหล่านี้มาใช้กับประชาชน

หลังจากตรวจสอบระเบิดเทียนเหล่ยแล้ว ตงหลิงจิ่วก็ไปดูของทั้ง18กล่องนั้น หลังจากเปิดกล่องแล้ว กลิ่นฉุนพุ่งออกมา เหมือนกับกลิ่นของนะเบิดเทียนเหล่ย

“ข้าน้อยต่างก็เดาว่าสิ่งเหล่านี้อาจใช้สำหรับในการสร้างระเบิดเทียนเหล่ย เพียงแต่พวกเรายังไม่รู้วิธีใช้ แต่ไม่รู้วิธีสร้างมันออกมา อีกเรื่องหนึ่งคือ มีหลายคนบาดเจ็บเพราะของเหล่านี้ขอรับ”

ตงหลิงจิ่วเอานิ้วมือไปแตะเล็กน้อย มันเป็นแป้ง รู้สึกไหม้ผิวเล็กน้อย และมีกลิ่นของหินเหล็กไฟและการระเบิดเล็กน้อย ” เก็บระเบิดเทียนเหล่ยให้ดี ส่วนของเหล่านนี้เอาไว้ในหน้า ห้ามไปยุ่งกับมัน ข้าจะสั่งคนมาจัดการ”

ลุงจิ่วฮวงมีคนในใจที่คิดเอาไว้แล้ว

บุคคลนั้นสามารถปิดบังฮ่องเต้ได้ แต่ปิดบังเขาไม่ได้

ไม่รู้หรือ? หากไม่รู้แล้วเหตุใดจึงจงใจเช่นนั้น

เดิมข้ามิอยากเอาเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เข้ากลับเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้เสียเอง

เสด็จอาเก้าหันหลังเดินออกจากห้องลับไป กลับไปที่ห้องอ่านหนังสือเขาบดหมึกเอง จากนั้นก็เขียนใบเชิญ “มานี่สิ”

“มีกระไรหรือท่านอ๋อง?” ขันทีที่อยู่ข้างๆ เสด็จอาเห้าได้เดินเข้ามาและถามด้วยความเคารพว่า

หมึกแห้งพอดี เสด็จอาเก้าปิดใบเชิญเรียบร้อย “นำใบเชิญนี้ไปส่งที่จวนเฟิ่ง จะต้องนำส่งกับมือเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น และบอกนางว่าข้ารออยู่”

“ขอรับ” ขันทีตอบรับเสียงดัง และแอบดีใจ ในที่สุดก็ไม่ต้องอิจฉาคนอื่น หรือรู้สึกหนาวเหน็บใจแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินที่เพิ่งเดินออกจากหอจู๋เฟิงรู้สึกหนาวสั่นอย่างบอกไม่ถูก นางเร่งเอามือกอดตัวเองและเดินไปที่รถม้า……..