บทที่ 302 เสด็จอาเก้า ทำดีต่อกันโดยไร้เหตุ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินกลับไปที่จวนเฟิ่ง นางยังไม่ทันได้นั่ง พ่อบ้านก็มาแจ้งว่า ” คุณหนู คนของจวนเสด็จอาเก้าขอพบ”

คนของจวนเสด็จอาเก้ามาหานางเพื่อการใด?

เฟิ่ง ชิงเฉิน งุนงง แต่ก็พบเขาอย่างเชื่อฟัง เพราะท้ายที่สุดจวนเสด็จอาเก้า แม้แต่คนใช้ยังน่าเกรงขามยิ่งกว่าข้าราชการทั่วไป คนรอบกายมหาเสนาบดีต่างก็มียศสูง และนับประสากระไรกับเสด็จอาเก้าที่มีอำนาจอยู่ใต้คนเพียงผู้เดียวแต่อยู่เหนือคนทั่วหล้า

“เสด็จอาเก้าเชิญข้าไปทานข้าว? ข้าอ่านผิดหรือเปล่า?” เฟิ่ง ชิงเฉิน อ่านคำเชิญไปมาสิบรอบ นางรู้ตัวอักษรทุกคำ แต่เมื่อเอามารวมกัน เหตุใดนางถึงไม่เข้าใจ

เสด็จอาเก้าเชิญนางไปร่วมทานข้าว นี่ถือเป็นสิ่งที่เสียความสูงส่งของท่านอย่างมาก มีแต่คนที่อยากจะขอให้ช่วยเท่านั้นที่จะเชิญคนผู้นั้นไปกินข้าว ตัวอย่างเช่น เมื่อนางเชิญหวังจิ่นหลิงมาทานข้าว ก็เพื่อที่จะขอให้ตระกูลหวังออกแรงเล็กน้อย เพื่อเจิ้นกั๋วกง

แน่นอนว่าตระกูลหวังก็ได้ผลประโยชน์เช่นกัน ตำแหน่งเจ้าหน้าที่เหล่านั้นล้วนเป็นตำแหน่งที่มีน้อย หากมีคนถูกกำจัด ก็จะต้องมีคนเข้ามาแทน ตระกูลหวังสามารถเอาคนของตนเข้าไปวางในตำแหน่งเหล่านี้ได้

งานเลี้ยงนั้นต่างก็เกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ปกติคนฐานะต่ำจะเป็นคนเชิญคนสูงศักดิ์ แต่เสด็จอาเก้าเชิญมาไปกินข้าวนับเป็นประเภทไหน? จะขอให้นางช่วยทำกระไรหรือ?

อะแฮ่ม หากเสด็จอาเก้าต้องการให้นางทำกระไร แต่สั่งก็ย่อมได้ จะต้องถึงขั้นเชิญไปทานข้าวเลยหรือ? อีกอย่างเชิญอย่างเปิดเผยอย่างมาก เสด็จอาเปิดเผยเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

ต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉิน ขันทีคนหนึ่งเร่งก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว เขาอาจหยิ่งต่อหน้าคนอื่น แต่เขาไม่กล้าทำต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉิน เขากล่าวด้วยความเคารพ ” คุณหนูเฟิ่งมิได้มองผิด เสด็จอาเก้ากำลังรอคุณหนูเฟิ่งขอรับ”

“คืนนี้?” เฟิ่งชิงเฉินอ่านคำเชิญอีกครั้ง บนนั้นไม่มีเวลาระบุชัดเจน นางรู้สึกตลอดว่าใบเชิญนี้แปลก ที่แท้ก็แปลตรงนี้นี่เอง

ส่วนตัวอักษรนั้น เป็นอักษรที่สวยงามอย่างมาก ความสงบและความเยือกเย็นของเสด็จอาเก้าต่างจากคนอื่นเล็กน้อย ตัวอักษรที่เสด็จอาเก้าเขียนนั้น แหลมคมและทรงพลัง

“ใช่ เสด็จอาเก้าตอนนี้อยู่ในจวนนอก และเชิญเฟิ่งชิงเฉินมากินข้าวด้วยกัน” ขันทียิ้มและดูคาดหวัง ดูใจดีและเป็นมิตร

“ชมดอกไม้ คราวนี้มีดอกไม้อะไรให้ชม เสด็จอาเก้า เชิญข้าเพียงคนเดียวหรือ?” หากเป็นอย่างนั้น นางคงไม่สามารถไปตามนัดหมายได้

ในเมืองหลวงนี้คุณหนูที่ชื่นชอบเสด็จอาเก้ามีมากมาย หากนางไปตามนัดอย่างเปิดเผยเช่นนี้ จะต้องถูกกำจัดอย่างแน่นอน และนี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ……..

ชื่อเสียงของกว่าจะกู้กลับมาได้เล็กน้อยนั้น ไม่ง่ายเลย หากตอนนี้ไปตามนัดเพียงลำพัง วันพรุ่งคงจะมีข่าวออกมาว่า เฟิ่งชิงเฉินเสนอตัว เสด็จอาเก้กลายเป็นแขกของเฟิ่งชิงเฉิน

“คุณหนูเฟิ่ง ช่วงนี้ดอกบัวเข้าฤดู มีสระบัวที่ลานอีกด้านของจวนเสด็จอาเก้า ดอกบัวผลิบานสวยงาม กลิ่นลอยมาทำให้คนหลงใหล คราวนี้หากล่องเรือในสระบัว ชมดอกบัว กินเม็ดบัว คงเป็นสิ่งที่สวยงามอย่างมากในโลกนี้” ขันทีกล่าวอย่างน่าฟังอย่างมาก อันที่จริงเฟิ่งชิงเฉินเองก็หวั่นไหวเช่นกัน

นับตั้งแต่วันแต่งงานครั้งนั้น เหตุการณ์ที่นางตื่นมาในแถบชานเมืองและสวมเสื้อผ้าเพียงน้อยชิ้น ชีวิตของนางเต็มไปด้วยความตึงเครียดและวุ่นวาย นางไม่มีเวลาว่างหรือเวลาเดินทางและเพลิดเพลินกับดอกไม้เลย มาฟังคำอธิบายของขันที เฟิ่งชิงเฉินดูเหมือนจะได้กลิ่นความสง่างาม กลิ่นหอมของดอกบัว สายลมที่พัดใบบัวเป็นชั้นๆ ทีละชั้น ช่างเป็นสิ่งที่สวยงามยิ่งนัก

เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้ ขันทีรู้ว่านางหวั่นไหว ขันทีจึงพูดในขณะที่นางหวั่นไหว ” คุณหนูเฟิ่ง เสด็จอาเก้านอกจากจะเชิญเจ้าแล้ว ยังเชิญองค์รัชทายาท ลั่วอ๋อง องค์ชายชุนหยู องค์หญิงอันผิง องค์หญิงเหยาหวา ซูหว่าน ตี๋ซื่อจื่อ คุณชายหวังจิ่นหลิง คุณชายเจ็ดตระกูลหวัง คุณชายสามตระกูลเซี่ย คนเหล่านี้ต่างก็เป็นคนที่เจ้าคุ้นเคย อีกอย่างมีองค์ชายรองของเป่ยหลิงอีกด้วย”

ขันทีเลือกเอ่ยถึงคนสำคัญสองสามคนและรายงานออกมา

แม้ว่าลุงจิ่วฮวงจะเน้นไปที่การเชิญคุณหนูเฟิ้ง แต่หากเชิญคุณหนูเฟิ่งเพียงคนเดียวนั้น มันเสี่ยงเกินไป ไม่เพียงแต่จะเป็นอันตรายต่อชื่อเสียงของคุณหนูเฟิ่ง อีกทั้งยังดึงดูดความสนใจของฝ่าบาทอีกด้วย แต่เชิญคนมากมายนั้นดียิ่งกว่า แม้ว่าจะวุ่นวาย แต่สะดวกที่จะทำภารกิจ

“เสด็จอาเก้าเชิญคนมากมายเพียงเพื่อให้ชมดอกบัว?” เฟิ่งชิงเฉิน พยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า นางไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะมีคนมากมาย

“ขอรับ” ขันทีพูดอย่างมั่นใจ

เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่สามารถเดาความหมายของการเคลื่อนไหวของเสด็จอาเก้าได้ เมื่อมองจากผิวหน้าแล้ว ดูเหมือนว่าจะเชื่อมสายสัมพันธ์ให้กับองค์หญิงอันผิงและองค์ชายของเป่ยหลิง แต่เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเสด็จอาเก้ามิได้ว่างขนาดนั้น ที่จะมาทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อ

ไม่ใช่เพื่อเชื่อมสายสัมพันธ์ แล้วทำเพื่ออะไร?

คิดไม่ออก เฟิ่งชิงเฉินก็ขี้เกียจคิด เพราะไม่ว่าอย่างไร เธอถือเป็นคนที่เด่นน้อยที่สุดในหมู่คนกลุ่มนี้ นางไปเป็นพิธีอย่างแน่นอน แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะมีแผนกระไร ก็ไม่เกี่ยวกับนาง เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจ ” ขันทีโปรดรอ ชิงเฉินเปลี่ยนชุดแล้วจะตามไป”

เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นและคำนับขันที

ไม่มีใครที่เชิญแขกแล้วยังเร่งรีบเช่นนี้ อย่าน้อยต้องให้เวลาแขกเตรียมตัวหนึ่งวัน แต่เสด็จอาเก้านั้น ดัน………

หากเยินยอก็คือเป็นคนง่ายๆ อันที่จริงก็คือคนที่ไม่วางแผน จู่ๆ ก็เชิญกะทันหัน หากว่านางมีธุระ ก็คงไม่สามารถวางแผนรับมือได้

โชคดีที่ หวังจิ่นหลิงเป็นคนพูดง่าย หากนางยังคงเกลี้ยกล่อมหวังจิ่นหลิงที่หอจู๋เฟิงล่ะก็ นายคนนี้คงจะขัดขวางสิ่งที่นางจะทำ เพียงเพื่อเสด็จอาเก้า

เห้อ หากเฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าขันทีได้รับคำสั่งจากเสด็จอาเก้า และไปที่หอจู๋เฟิงโดยตรง และเอาใบเชิญให้เฟิ่งชิงเฉิน และเมื่อเฟิ่งชิงเฉินจากไป จึงเอาใบเชิญไปให้หวังจิ่นหลิงอีกที เช่นนั้นเฟิ่งชิงเฉินคงจะไม่เข้าใจอย่างมาก

ขันทีก้าวไปข้างหน้าและขวางทางของเฟิ่งชิงเฉิน “คุณหนูเฟิ่ง เสด็จอาเก้ากำลังรอคุณอยู่”

“แต่…” นางออกไปกินข้าวเที่ยง บนเสื้อคงจะมีกลิ่นติดมาเล็กน้อย การเข้าพบใครด้วยสภาพนี้มันไร้มารยาทอย่างมาก
“ตอนนี้คุณหนูเฟิ่งดูดีอย่างมาก” ขันทีไม่ยอม มีเพียงเท่านี้ ที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่า เฟิ่งชิงเฉินจะรีบไปทันทีที่นางได้รับใบเชิญจากเสด็จอาเก้า ขันทีพูดในใจอย่างเงียบๆ “คุณหนูเฟิ่ง อย่าคิดว่าข้าทำให้เจ้าลำบากใจ ข้าทำเช่นนี้เพื่อเจ้า เจ้าใส่ชุดนี้ไป เสด็จอาเก้าจะดีใจยิ่งกว่า”

“คุณหนู ใช้ถุงหอมดีกว่า” สาวใช้ก้าวเข้าไปและยื่นถุงหอมให้นาง กลิ่นหอมจากถุงหอมปิดกลิ่นอื่นๆ บนเสื้อเอาไว้

“ไปกันเถอะ” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้แสดงความไม่พอใจของตนออกมา

ขันทีสัมผัสเหงื่อของเขาและช่วยเฟิ่งชิงเฉินขึ้นบนรถม้าอย่างตั้งใจ

สมัยนี้เป็นคนดีมันยาก!

หลังจากรถม้าที่เฟิ่งชิงเฉินนั่งได้ออกจากเมือง ใบเชิญที่เสด็จอาเก้าเชิญองค์รัชทายาทและคนอื่นๆ เพิ่งจะส่งถึง หากเฟิ่งชิงเฉินเห็นมันนางจะรู้ว่าลายมือของใบเชิญที่นางได้รับนั้นแตกต่างจากใบเชิญของคนอื่น ของนางต่างหากที่เสด็จอาเก้าเขียนเองกับมือ ที่ส่วนของคนอื่นๆ เขียนโดยคนของเสด็จอาเก้า

แม้ว่าลานของเสด็จอาเก้าจะอยู่นอกเมือง แต่ก็อยู่ไม่ไกลนัก ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนางก็ไปถึง

สถานที่ในเมืองใหญ่แค่นั้น หากจะขยายถือเป็นเรื่องยาก ฉะนั้นทุกคนจึงชอบที่จะสร้างจวนนอกไว้นอกเมือง เพื่อครองภูเขาสร้างใกล้ภูเขา แม้ว่าจะเป็นจวนนอก แต่กลับมีที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่าจวนหลักในเมืองหลวงเสียอีก

เฟิ่งชิงเฉินลงจากรถม้า ก็มีคนใช้ขับรถเกวียนน้ำมันเข้ามา ขันทีอธิบาย สี “คุณหนูเฟิ่ง จวนนอกนั้นกว้างอย่างมาก หากว่าเดินคงต้องใช้เวลาอีกนาน ในจวนนอกนั้นมีรถม้าให้นั่งแทน นี่เป็นรถม้าสำหรับคุณหนูเฟิ่ง สาวใช้ที่ตามคุณหนูมาจะมีงานต้องทำ”

ขณะพูด เขาแยกเฟิ่งชิงเฉินกับสาวใช้สองคนของนางออกจากกันโดยไร้ร่องรอย และพยุงเฟิ่งชิงเฉินขึ้นรถม้า

“คุณหนู” สาวใช้ทั้งสองเรียกอย่างกังวลใจ

เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างผ่อนคลาย “ไม่เป็นไร นี่เป็นจวนนอกของเสด็จอาเก้า” ไม่ได้รับรองว่าจะไม่เกิดเรื่อง แต่หากเกินเรื่องเสด็จอาเก้าจะโกรธเคืองอย่างมาก

สาวใช้ทั้งสองคิด ก็จริง หากเกิดเรื่องที่เสื่อมเสียชื่อเสียของคุณหนูไป เช่นนั้นคนที่เสียเปรียบจะเป็นเสด็จอาเก้า……..