ตอนที่ 409 ช่วยชีวิตไว้

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

หากชิวหลิงไม่ได้ล้มป่วยนางต้องเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากแน่ นี่นางเพิ่งจะฟื้นตัวจากอาการป่วย แต่พลังอันน่าสะพรึงกลัวนั้นก็ได้แผ่ซ่านออกไป ทำให้เจ้าหมูอ้วนผู้นั้นหวาดกลัวจนต้องคุกเข่ายอมจำนน

เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “นะ นายท่าน ได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย! ข้าน้อยมีตาแต่หามีแววไม่ ได้ล่วงเกินนายท่าน ข้าน้อยผิดไปแล้ว! ”

“ตุบ! ” เขากระอักเลือดคำโตออกมา และสีหน้าก็ซีดเผือด

มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เจ้าหมอนี่ จะฆ่าทิ้งหรือจะเก็บเอาไว้ดีล่ะ? ”

“เก็บเอาไว้เถอะ! ” ชิวหลิงกล่าว

หากเก็บเอาไว้ไม่ทำอะไรเลยก็จะไม่สบายใจ ชิวหลิงหยิบยาลูกกลอนเม็ดสีดำออกมาเม็ดหนึ่งและยื่นให้เจ้าหมูอ้วนผู้นี้ “กินยาพิษนี้ซะ! ”

เจ้าหมูอ้วนผู้นี้รู้สึกได้ว่ายาเม็ดนี้ไม่ใช่ยาดีแน่ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เขาจำใจต้องกินมันอยู่ดี

มู่เฉียนซีกล่าว “ยาเม็ดนี้พิษอาจจะน้อยไปหน่อย ใช้ยาของข้าจะดีกว่า” กล่าวจบ นางก็หยิบยาเม็ดหนึ่งออกมา ยาเม็ดนี้ไร้สี ไร้กลิ่น เมื่อเจ้าหมูอ้วนเห็นเช่นนี้หัวใจก็แทบจะหัวใจวาย

‘หญิงสาวของคนนี้หน้าตาก็สวย แต่จิตใจโหดเหี้ยมยิ่งกว่าอะไรดี’

หมอกับยาพิษนั้นเป็นของคู่กัน ฝีมือการรักษาของมู่เฉียนซีนั้นน่าทึ่งเป็นอย่างมาก ชิวหลิงจึงไม่แปลกใจหากนางจะเก่งกาจในเรื่องยาพิษ ชิวหลิงพยักหน้าพลางกล่าว “อืม เช่นนั้นก็ใช้ของเจ้าเถอะ”

มู่เฉียนซียื่นเม็ดยานั้นให้เจ้าหมูอ้วนพลางกล่าวอย่างเกียจคร้าน “กินเข้าไปสิ! เจ้าคงไม่อยากให้ข้าต้องลงมือกับเจ้าหรอกใช่ไหม! ”

ตอนนี้เจ้าหมูอ้วนเหงื่อไหลพรากเต็มหลังด้วยความหวาดกลัว เขารีบพยักหน้าตอบรับพลางกล่าว “กิน กิน! ข้าจะกินเดี๋ยวนี้……” สุดท้ายเขาก็กลืนเม็ดยาของมู่เฉียนซีลงไป

มู่เฉียนซีกล่าว “หากเจ้าไม่อยากให้กระดูกในร่างของเจ้าถูกกัดกร่อนเป็นผุยผงแล้วล่ะก็ ต่อไปเจ้าต้องเป็นผู้ติดตามของหลินเอ๋อร์ คอยปกป้องดูแลเขา เข้าใจหรือไหม! ”

เจ้าหมูอ้วนหันไปมองเด็กผู้ชายตัวผอม ๆ ที่ดูเหมือนจะขาดสารอาหารผู้นั้น เขาเป็นถึงยอดฝีมือขั้นจักรพรรดิ เดิมทีสามารถเดินเฉิดฉายทำตัวหยิ่งผยองได้ทั่วทั้งเซี่ยโจว นึกไม่ถึงเลยสักนิดว่าวันนี้จะต้องมาเป็นคนติดตามของเจ้าเด็กขาดสารอาหารผู้นี้ได้

มู่เฉียนซีเลิกคิ้วพลางกล่าวถาม “เป็นอะไรไปล่ะ? ไม่ยินยอมงั้นเหรอ เช่นนั้นข้าก็จะทำให้พิษในตัวเจ้ากำเริบเดี๋ยวนี้”

เจ้าหมูอ้วนได้ยินเช่นนี้ก็กลัวจนตัวสั่น รีบพรวดเข้าไปคุกเข่าตรงหน้าหลินเอ๋อร์ “ไม่ ๆ ๆ……ข้าน้อยตกลง ข้าน้อยยินยอม”

“นายน้อย ต่อไปนี้ข้าจะคอยดูแลและปกป้องนายน้อยอย่างเต็มที่”

หลินเอ๋อร์เห็นเจ้าหมูอ้วนผู้นี้ที่เมื่อครู่ทำท่าทางหยิ่งผยองอวดดี แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเชื่อฟังเช่นนี้เขาก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก “ท่านแม่กับพี่สาวมู่ยอดเยี่ยมไปเลย! ”

การที่ชิวหลิงพาหลินเอ่อร์มาซ่อนตัวอยู่ในที่เปลี่ยวเช่นนี้แน่นอนว่านางต้องมีเหตุผลของนาง มู่เฉียนซีไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายเรื่องของนางมากนัก เพียงแต่ก่อนที่นางจะจากไปนางได้บอกกับชิวหลิงว่า “หากมีเรื่องอันใดเจ้าสามารถไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลมู่ได้ตลอดเวลา ได้รู้จักกันแล้วก็นับว่าเป็นคนกันเอง ห้ามปฏิเสธความช่วยเหลือเด็ดขาด”

ชิวหลิงพยักหน้าพลางกล่าว “อืม”

“อันที่จริงแล้วข้าก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องขอความช่วยเหลือหรอก ชีวิตนี้ ข้าเพียงแค่อยากเห็นหลินเอ๋อร์เติบโตขึ้นอย่างปลอดภัย ก็แค่นั้นเอง” ชิวหลิงกล่าวอย่างอ่อนโยน

“อืม เช่นนั้นข้าต้องขอตัวลาก่อน! ” มู่เฉียนซีโบกมือพลางกล่าว

หลินเอ๋อร์ “พี่สาวมู่ รักษาตัวด้วยนะ! ”

“อืม รอให้ข้าจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จ ข้าจะเลี้ยงของอร่อย ๆ เจ้ามื้อใหญ่ ดีไหม” มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว

“อืม! ”

กล่าวจบ ร่างของมู่เฉียนซีก็ค่อย ๆ อันตรธานหายเข้าไปในป่าชีชง

จากนั้นเจ้าหมูอ้วนก็กล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “ฮูหยิน เมื่อครู่ฮูหยินบอกว่าแม่นางผู้นั้น แซ่มู่เหรอขอรับ? ”

“พี่สาวมู่ นางก็ต้องแซ่มู่น่ะสิ! ” หลินเอ๋อร์กล่าว

“เช่นนั้นนางก็……หรือว่านางคือมู่เฉียนซี ผู้นำตระกูลมู่! พระเจ้า! ขะ ข้า……เหตุใดข้าถึงได้ตาบอดถึงเพียงนี้นะ! ข้าล่วงเกินยมทูตเอาซะแล้ว” ตอนนี้เจ้าหมูอ้วนแทบอยากจะร้องไห้

“ผู้นำตระกูลมู่เหรอ? ” ชิวหลิงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจผงะไปครู่หนึ่ง “เสี่ยวซีอายุยังน้อยเช่นนั้นเนี่ยนะ เป็นผู้นำตระกูลมู่”

เจ้าหมูอ้วนกล่าว “ฮูหยินไม่รู้อะไรซะแล้ว ผู้นำตระกูลมู่ผู้นี้เป็นผู้นำที่อายุน้อยที่สุดในเซี่ยโจว ได้รับตำแหน่งเป็นผู้นำตระกูลมู่ตั้งแต่อายุสิบสามปี พออายุครบสิบหกปีก็ได้ควบคุมตระกูลมู่เต็มตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้นางก็ได้ช่วยทัพของแคว้นจื่อเยี่ยบุกโจมตีแคว้นชิงได้สำเร็จ ตอนนี้อีกสองแคว้นของทางตก อีกทั้งสำนักนิกายครึ่งระดับทุก ๆ สำนัก เวลาจะทำการใดก็ต้องไว้หน้าตระกูลมู่ทั้งนั้น! ”

“ตระกูลมู่ของนางไม่เพียงแต่ร่ำรวยมหาศาล ยาวิญญาณที่ขายอยู่ในทางตกของเซี่ยโจวแห่งนี้ล้วนแต่เป็น……” เจ้าหมูน้อยได้เล่าเรื่องราวของผู้นำตระกูลมู่ให้ทั้งสองฟังอย่างต่อเนื่อง หลินเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้แล้วก็ตื่นเต้นมาก “พี่สาวมู่ยอดเยี่ยมมาก! ”

ชิวหลิงหันมองไปทางป่าชีชง เดิมทีก็คิดว่าเสี่ยวซีเป็นแค่อัจฉริยะคนหนึ่งที่ไม่ยอมหยุดไขว่คว้าหาประสบการณ์ มีพรสวรรค์ในการปรุงยาที่น่าทึ่ง นึกไม่ถึงเลยว่านางจะเป็นผู้นำที่เก่งกาจเช่นนี้

นางเปรียบดั่งฟินิกซ์ผู้ยิ่งใหญ่ ป่าชีชง ป่าหนานอู้ที่ว่าอันตราย เกรงว่าจะทำอะไรนางไม่ได้ หวังว่านางจะเข้าไปในเจดีย์เทพได้ และผ่านการทดสอบของเจดีย์เทพนั้นได้!

ตูม!

ต้องบอกเลยว่าเส้นทางจากที่นี่เข้าไปในเทือกเขาชีชงนั้นไม่ได้ปลอดภัยเหมือนเส้นทางจากเมืองฉู่ไปเทือกเขาชีชงเลย

เส้นทางนี้มีสัตว์วิญญาณจำนวนมากปรากฏกายออกมา การต่อสู้กับสัตว์วิญญาณจำนวนมากเช่นนี้ทำให้คนเหนื่อยและหมดแรงได้ หากนางเตรียมยาวิญญาณมาไม่เพียงพอ มีหวังต้องหมดแรงก่อนที่จะเข้าไปในเทือกเขาชีชงเป็นแน่

“มังกรเพลิงพิฆาต! ” เปลวไฟสีแดงเข้มพุ่งออกไปที่กลุ่มหมาป่าด้านหน้า ร่างชุดม่วงรีบพรวดไปเพราะไม่อยากเสียเวลาพัวพันกับกลุ่มสัตว์วิญญาณพวกนี้มากนัก

ภายในเทือกเขาชีชง มู่เฉียนซีได้เดินทางไปทางทิศใต้ตามแผนที่ที่ชิวหลิงได้วาดให้ นอกจากนี้มู่เฉียนซีไม่ให้อู๋ตี้กับเสี่ยวหงออกมาช่วยแต่อย่างใด นอกเสียจากว่าจะมีการเคลื่อนไหวของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ การเดินทางเข้ามาครั้งนี้มีการต่อสู้ตลอดทาง ทำให้เสื้อผ้าของนางขาดรุ่งริ่งไปทั้งตัว

นางเดินทางมาหลายวันแล้วก็ไม่เห็นมีคนผ่านไปผ่านมาสักคน สถานที่ที่อันตรายเช่นนี้ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาจริง ๆ ด้วย ครั้งนี้มู่เฉียนซีตกอยู่ในที่นั่งลำบากเสียแล้ว เพราะในตอนนี้มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสองกำลังเพ่งเล็งนางอยู่

สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “ราชาแห่งภูตระดับหนึ่ง ช่วงนี้เหล่ามนุษย์ช่างไม่รู้จักกลัวตัวตายจริง ๆ แต่ก็ดี ข้าจะได้กินอิ่ม”

ในขณะที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้กำลังจะลงมือโจมตีมู่เฉียนซี แต่ทันใดนั้นเองนางได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งเข้ามาใกล้ จากนั้นร่างชุดขาวร่างหนึ่งก็พรวดออกมาพร้อมกับเงากระบี่เล่มหนึ่ง คมกระบี่เล่มนั้นกระทบกับร่างของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นทันที

คนชุดชาวผู้นี้คือชายหนุ่มที่มีอายุประมาณสามสิบปีเศษ มีพลังที่แข็งแกร่ง รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาหมดจด มีพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับสาม

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดิแห่งภูตระดับสามเช่นนี้ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสองไม่อาจสู้ได้เลย! อีกทั้งพลังกดดันของจักรพรรดิระดับเก้าที่ของผู้ที่ตามมานั้นทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้หวาดกลัวจนต้องรีบวิ่งหนีไป

ชายหนุ่มผู้นี้มองไปที่มู่เฉียนซีและกล่าวถามว่า “แม่นาง เป็นอะไรหรือเปล่า! ”

เมื่อเขาเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่าหญิงสาวผู้นี้รูปร่างหน้าตางดงามมากจนน่าประหลาดใจ ผิวขาวราวหิมะอย่างไร้ที่ติ

ส่วนมู่เฉียนซีรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ได้เจอผู้คนในสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้ อีกทั้งยังมีพลังวิญญาณแข็งแกร่งถึงเพียงนี้อีก จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้น “พี่ใหญ่อวิ๋น รอข้าด้วยสิ”

“อินอิน ช้า ๆ หน่อย ระวังหน่อยสิ”

มู่เฉียนซีพบว่าไม่เพียงแต่ชายชุดขาวพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิระดับสาม และจักรพรรดิระดับเก้าเท่านั้น แต่ยังมีอีกสองคนที่ตามมาอีกด้วย สองคนที่กำลังวิ่งมานั้นเป็นคู่หญิงสาว อายุประมาณยี่สิบปีเศษ สวมเสื้อผ้าอาภรณ์งดงามพร้อมเครื่องประดับมากมายราวนกยูง ทำให้มู่เฉียนซีมีความรู้สึกราวกับอยู่ในสวนสัตว์ก็มิปาน

อย่างไรก็ตามหน้าตาของทั้งสองนั้นงดงามมากเช่นกัน หนานอินรีบวิ่งตามมา จากนั้นก็ได้เห็นกับหญิงสาวชุดม่วงคนหนึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ อวิ๋นฮวา นางจึงรีบกล่าวตะคอกว่า “นี่เจ้าเป็นใคร? แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ”