เจเทาวน์นัดพบลีวายที่ห้องประชุมของเบลดิ้งเอนเตอร์เทนเมนต์ เพราะเมื่อคืนหลินจืออยู่บ้านเจเทาวน์ทั้งคืน ทำให้ลีวายกระวนกระวายใจจนนอนไม่หลับ สีหน้าจึงดูซีดเซียว
ลีวายมาถึงนานแล้ว แต่อารมณ์ยังขุ่นมัวไม่หาย
เมื่อเห็นเจเทาวน์เดินเข้ามาอย่างหน้าชื่นตาบาน หล่อนก็พาลนึกไปถึงเรื่องที่เขาค้างแรมกับหลินจือเมื่อคืน ทันใดนั้นดวงตาพลันแดงก่ำขึ้นมาด้วยความริษยา
เจเทาวน์แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นความผิดปกติของลีวาย เขานั่งลงด้วยท่าทางสุขุมตรงข้ามเธอ แล้วพูดเข้าประเด็น “ลีวาย ในฐานะเพื่อนและเป็นหุ้นส่วนกันมานานหลายปี ผมจำเป็นต้องบอกคุณ ซูซีไม่ใช่ที่พึ่งพิงที่ดีที่สุดของคุณหรอกนะ”
เจเทาวน์รับรู้ตั้งนานแล้วว่าลีวายมีความรู้สึกดีๆ ให้เขา แต่เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้มาตลอด สาเหตุหลักๆ เพราะไม่อยากให้คนที่อยู่ใกล้ชิดกัน พบเจอหน้ากันทุกวันต้องมองหน้าไม่ติด
ลีวายเม้มริมฝีปากนิ่งเงียบไปสักพัก ระงับอารมณ์ตัวเองให้สงบลง
หลังจากนั้นไม่นาน เธอรวบรวมความกล้ามองไปที่เจเทาวน์แล้วเอ่ยถาม “ประธานเจเทาวน์ คุณกำลังแนะนำไม่ให้ฉันไปหาซูซี ตักเตือนฉันในฐานะอะไร”
คำถามนี้ของลีวาย เป็นการบีบบังคับให้เจเทาวน์แสดงความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอออกมาทางอ้อม
อันที่จริงหลายปีที่ผ่านมา เจเทาวน์ไม่ได้มีความรักเชิงหนุ่มสาวให้เธอเลยสักนิด ลีวายเองก็ไม่ใช่ว่าดูไม่ออก แต่ท้ายที่สุดก็ต้องขีดเส้นขอบเขตไว้อย่างชัดเจนว่าได้แค่ตรงนี้ แต่หลังจากถูกการไปค้างคืนที่บ้านเจเทาวน์ของหลินจือกระตุ้น ความหุนหันพลันแล่นของลีวายก็อยู่เหนือการควบคุมของตัวเอง
เจเทาวน์หลับตาลง เพื่อเก็บซ่อนความเกลียดชังเอาไว้
ที่เจเทาวน์ไม่เคยมองลีวายอยู่ในสายตา ประการแรก ในฐานะไอดอลความสามารถสูงอย่างเขา ความต้องการสำหรับอีกฝ่ายต้องมีความโดดเด่นทางด้านรูปลักษณ์ภายนอก ลีวายเธอธรรมดาเกินไป จึงไม่เคยเป็นและไม่ใช่ตัวเลือกของเขา
ประการที่สอง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาท่าทีการแสดงออกของเธอชัดเจนเกินไป
ผู้หญิงแบบนี้ เขาไม่เอาแน่ๆ
เจเทาวน์เคยคิดว่าลีวายควรรู้จักประมาณตนเองบ้าง แต่ตอนนี้เธอกำลังดูถูกตัวเองอย่างชัดเจน
เพราะเห็นแก่ผลงานเรื่องนั้นของเธอ ที่เคยประสบผลสำเร็จจนเขามีหน้ามีตาขึ้นมาครั้งหนึ่ง เจเทาวน์ยังเห็นคุณค่าในตัวเธอ จึงใช้คำพูดที่ถนอมน้ำใจไว้บ้าง “ในฐานะเจ้านายของคุณ และอดีตหุ้นส่วน ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะไปสู่ระดับสูงขึ้นได้ หลังออกจากเบลดิ้งไปแล้ว”
จงเทาวน์พยายามมอย่างเต็มที่เพื่อให้ลีวายมองเห็นถึงความเป็นจริง แต่ความรักยังบังตา และทำให้เธอเป็นสติแตกขึ้นมา
ทันใดนั้นลีวายก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ พูดกับเจเทาวน์ด้วยดวงตาแดงฉาน “คนนอกอาจจะไม่รู้ว่าแฟนสาวคนนั้นที่ใครๆ เขาก็เรียกกันคือหลินจือ แต่ฉันรู้”
ลีวายกัดฟันกรอด “ทำไมต้องเป็นเธอ ฉันไม่ด้อยกว่าเธอตรงไหน”
“ในฐานะนักเขียนบท ดีเลวยังไงผลงานฉันก็ยังโด่งดังเป็นที่นิยม แต่หลินจือมีอะไร? เธอไม่เคยมีประสบการณ์การเขียนอิสระด้วยซ้ำ เธอไม่มีคะแนนอะไรเลย!
“เธอก็มีเพียงหน้าตาอ่อนหวานน่าสมเพชนั่น แล้วก็มีความคิดที่เอาไว้หลอกล่อพวกผู้ชาย!” อารมณ์ของลีวายควบคุมไม่ได้อีกต่อไป คำพูดที่เปล่งออกมาก็เช่นกัน
สีหน้าของเจเทาวน์หมองลง เขายอมรับที่ลีวายสงสัยเขาปฏิเสธเขาได้ แต่ยอมรับที่ลีวายพูดจาใส่ร้ายหลินจือไม่ได้!
ปากกาในมือเจเทาวน์ถูกเขาหักเป็นสองท่อน ลีวายจ้องมองชายหนุ่มด้วยความตกใจ
เจเทาวน์กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ลีวาย ยิ่งคุณเอะอะโวยวายคุณยิ่งดูน่ารังเกียจ งั้นผมจะบอกคุณให้ก็ได้ คุณไม่มีอะไรสู้เธอได้เลย”
ทุกคำพูดที่เจเทาวน์เปล่งออกมาช่างเยือกเย็น ใบหน้าของลีวายไม่หลงเหลือสีสันใดๆ
ราวกับถูกตบหน้าแรงๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว จนเริ่มรู้สึกอับอายขึ้นมา
เจเทาวน์เป็นคนสุภาพอ่อนโยน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นสำหรับลีวายหรือพนักงานรอบตัวเขา น้อยครั้งมากที่เขาจะอารมณ์ร้อน สิ่งนี้ราวกับเป็นภาพลวงตาสำหรับเธอ เจเทาวน์ผู้ที่ไม่เคยโหดร้ายแบบนี้มาก่อน
ตอนนี้ก็ดี เธอได้คืบจะเอาศอกไม่หยุด ก็ต้องได้รับความอัปยศไม่รู้จบแบบนี้
น้ำตาเธอร่วงหล่นลงมาเพราะความโกรธแค้น ลีวายบีบโทรศัพท์แน่น “เจเทาวน์ ฉันจะทำให้คุณเสียใจในสิ่งที่คุณพูดวันนี้!”
ทิ้งท้ายไว้เพียงคำพูดแข็งกระด้าง จากนั้นลีวายก็วิ่งพลางร้องไห้ออกไปจากห้องประชุม พาเมลโล่ออกไปจากเบลดิ้งเอนเตอร์เทนเมนต์โดยสมบูรณ์
เจเทาวน์นั่งอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าบูดบึ้ง แค่รู้สึกว่าลีวายคนนี้ช่างไร้เหตุผลจริงๆ
เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นคนเริ่มพูดจาไม่ดีก่อน เธอพูดใส่ร้ายหลินจือ จะไม่ให้เขาตอบโต้กลับเลยงั้นหรือ
ที่ลีวายเลือกบากหน้าไปขอพึ่งพาอาศัยซูซีก็ดีเหมือนกัน เพราะนั่นหมายความว่าเธอเริ่มต้นหาเรื่องตายให้ตัวเองแล้ว
หลังจากเจเทาวน์ปล่อยหลินจือลงที่ประตูหน้าหมู่บ้านเขาก็จากออกมา ส่วนหลินจือเดินกลับบ้านตัวเอง
ช่วงเวลาสงบๆ สมองเธอเคยชินกับการคิดพล็อตเรื่องละคร หมกมุ่นอยู่ในโลกของตัวเองจนไม่ทันสังเกตเห็นรถหรูสีดำที่จอดอยู่ชั้นล่างภายในบ้าน
กระทั่งเธอเดินมาถึงหน้าบ้านตัวเอง เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเทาเท่ยืนเป็นสากกะเบืออยู่หน้าประตู หลินจือพลันตกใจสะดุ้งตัวโยน
ก่อนที่เธอจะได้ตอบโต้อะไรกลับไป เทาเท่ผู้กำลังยืนล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยมือข้างเดียวพูดขึ้นมาว่า “คุณยังรู้จักกลับมาสินะ? ผมได้ยินเสียงเจ้าเล็กร้องอยู่ข้างใน!”
เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้าเล็ก ดังนั้นหลินจือจึงไม่สนใจสิ่งอื่นใด รีบหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูโดยเร็ว
ผลคือ หลังจากประตูถูกเปิดออก หลินจือคิดว่าตัวเองคงกังวลใจไปคนเดียว
เพราะไม่มีเหตุการณ์อย่างที่เทาเท่บอกมา เจ้าเล็กไม่ได้เอาแต่ร้องไม่หยุด และยิ่งไปกว่านั้นไม่มีเจ้าเล็กมุดออกมาจากใต้โซฟาด้วย
หลังจากที่เจ้าเล็กมาอยู่ที่นี่ มันมักแอบอยู่ใต้โซฟาเสมอ ตอนที่หลินจือทำงานอยู่ในห้องหนังสือหรือหลับพักผ่อนอยู่ในห้องนอน มันค่อยออกมาเดินเล่น สำรวจสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ
หลินจือไม่อยากบีบบังคับมัน ตราบใดที่มันยังกินอิ่มนอนหลับ ให้อารมณ์ของมันเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป หล่อเลี้ยงไปอย่างช้าๆ
หลินจือไม่อยากพูดอะไรกับการกระทำของเทาเท่ “คิดไม่ถึงว่าท่านประธานเทาเท่จะไม่หน้าแดงหรือใจเต้นแรง แม้ว่าจะกำลังโกหกอยู่ก็ตาม”
เมื่อเจอคำพูดประชดประชันของหลินจือ เทาเท่ก็เอาแต่ลืมตาพูดคำบอดอยู่เช่นเดิม “เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงแมวร้องจริงๆ”
หลินจือขี้เกียจสนใจเขา จึงหันไปถามว่า “คุณมาทำไม”
หากหลินจือสังเกตให้ดี เธอจะเห็นความเหนื่อยล้าในดวงตาคู่นั้นของเขา
เมื่อคืนเขานอนไม่หลับตลอดทั้งคืน แม้ว่าได้ข้อมูลจากเจเทาวน์ว่าเขากำลังป่วย แต่เพียงคิดว่าหลินจือและเจเทาวน์อยู่ด้วยกัน เทาเท่ก็เป็นกังวลกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุขจนนอนไม่ได้
แต่เวลานี้แค่พูดคุยกันหลินจือยังไม่มองเขาด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจ้องมองอย่างใกล้ชิด ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเทาเท่นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน
ตรงข้ามกับเธอที่หลับสบายเป็นตาย เพื่อให้ได้ยินความเคลื่อนไหวของเจเทาวน์ เธอไม่ได้นอนในห้องพักของเจเทาวน์ แต่ไปนอนบนโซฟาในห้องนั่งเล่นแทน
ต้องยอมรับว่า โซฟาที่บ้านของเจเทาวน์ราคาแพงและหรูหรามาก นอนสบายเสียยิ่งกว่าเตียงของเธออีก
เธอจึงหลับสบาย และฝันดีตลอดทั้งคืน
เทาเท่ผู้ถูกเธอถามแบบนี้ ตอบกลับอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “ผมมาเยี่ยมเจ้าเล็ก”
หลินจือถอนหายใจ “งั้นก็ไปเยี่ยมสิ”
พูดจบเธอคิดว่าจะเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์ที่ห้องหนังสือ ระหว่างทางที่เดินกลับมาเมื่อครู่ เธอนึกพล็อตเรื่องดีๆ ขึ้นมาได้ ต้องรีบไปเขียนไว้ก่อนจะลืม
ใครจะไปรู้ว่าเทาเท่กลับคว้าตัวเธอไว้ ไม่รู้ว่าเขาแรงเยอะหรือเธอผอมเกินไปกันแน่ เพียงชั่วพริบตาเทาเท่ก็ดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนตัวเองได้อย่างง่ายดาย
จมูกของหลินจือได้กลิ่นสดชื่นอันคุ้นเคยบนตัวเขา ภายในใจทั้งรู้สึกหงุดหงิดทั้งอายขึ้นมาทันใด
เธอผลักมือเขาออกแรงๆ แล้วถามอย่างหัวเสีย “คุณทำบ้าอะไร”