ตอนที่ 223 ข้ามทาง

บุตรอสูรบรรพกาล

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 223 ข้ามทาง

 

“หยงเวยเอ้ย เจ้ากังวลเรื่องอะไรกัน” เจ้าอาวาสแห่งวัดบนยอดเขาถามพลางเดินมานั่งข้างๆหยงเวยที่อยู่ริมหน้าผา

 

“เปล่าขอรับ” หยงเวยตอบพลางก้มหน้าลงเล็กน้อย ความจริงมันก็เป็นห่วงมาราจิ้งจอกของมันอยู่บ้างเพราะเป็นช่วงสงคราม แต่นางก็คงอยู่ในเขตอสูรของนางไม่ออกม่ร่วมสงครามแน่ๆ

 

“เจ้ายังจําได้หรือไม่ว่าเจ้ายังไม่ได้ออกบวช” เจ้าอาวาสถามพลางมองสีหน้าของหยงเวย มันเอาแต่นั่งมองไปสุดขอบฟ้าต่อให้เป็นเด็กก็ดูออกว่ามันกําลังคิดมาก

 

“ขอรับ”หยงเวยตอบพลางพยักหน้าข้าๆ เพ ราะมันฝึกฝนวิชามารมันจึงบวชไม่ได้แต่เรื่องนั้นเกี่ยวอะ ไรงั้นหรือ? “เจ้าไม่ใช่พระ ไม่จําเป็นต้องตัดขาดทางโลกก็ได้ หากเป็นห่วงก็ไปเสียเถอะ ข้าไม่ได้ห้ามเจ้ากลับมาที่วัดเสียหน่อย”เจ้าอาวาสหัวเราะด้วยท่าที่อ่อนโยนพลางตบบ่าของหยงเวยเบาๆ

 

“ขอรับ…”หยงตอบรับพลางลุกขึ้นยืนช้าๆภูเขาหิมะที่มารดาจิ้งจอกของมันอยู่นั้นต้องผ่านกลางสงครามไปอีก เพราะอาณาจักรอู่โดนรุมถึง 4 อาณาจักรทําให้โดนกดดันจน เมืองหน้าด่านหายไปที่ละเมืองๆสร้างแรงกดดันให้คนใน อาณาจักรไม่น้อยเลย ยิ่งเห็นขบวนรถที่อพยพมาจากเมืองอื่นหยงเวยก็ยิงใจไม่สงบแม้จะมีโอกาสน้อยแต่ก็ไม่ ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่ภูเขาของมารดามันจะไม่โดนรุกล้ํา

 

ฟุบ! ร่างของหยงเวยกระโดดวูบออกไปทางหน้าผาอย่างรวดเร็ว ด้วยความสูงระดับนี้หากเป็นคนธรรมดาหรี อผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณระดับต่ําคงตายไปแล้วแต่หยงผู้สา มารถควบคุมดินได้ราวกับมือของตนเองนั้นกลับตกลงไปในดินราวกับร่วงลงน้ําไม่มีผิด เพียงครู่เดียวร่างของมันก็โผล่ขึ้นมาจากดินอย่างปลอดภัยพลางออกวิ่งในทันที แม้วิชาตัวเบาของหยงเวยจะอ่อนด้อยที่สุดเมื่อเทียบกับพวกไปจูเหวินกับ ธุ์หมิง แต่มันก็มีความเร็วพอตัวทีเดียวแต่ความเร็วของมันนั้นคงต้องใช้เวลาหลายวันเลยกว่าจะไปถึงภูเขาที่มารดามันอยู่

 

ตูม! ระหว่างเดินทาง แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่หยงเวยจะผ่านทางได้โดยไม่เจอกับสนามรบเลย เพราะอาณาจักรแทบจะโดนล้อมไปด้วยสงครามเลยก็ว่าได้

 

เปรี้ยง! เสียงปะทะกันดังก้องไปทั้งสนามรบทําเอาหยงเวยอดเสียวสันหลังไม่ได้ แม้พลังของมันยามนี้จะรับมือกับคนระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 ได้ในระดับหนึ่ง แต่ในสงครามที่มีผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณระดับเทียนเซียนขั้น 10 และยอดฝี มืออีกเพียบนั้นพลังของมันแทบทําอะไรไม่ได้เลยยิ่งได้เห็นการรบใกล้ๆแล้วยิ่งรู้สึกอ่อนด้อยขึ้นมาเลย

 

“ถ้าอยากได้พลังก็จงมอบวิญญาณให้ข้าซะ เสียงของมารภายในใจของหยงเวยดังขึ้นทําเอาหยงเวยต้องรีบสงบใจเอาไว้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่มันก็ต้องสู้กับพลังมารแบบนี้ไปเรื่อยๆหากพลาดจนโดนพลังมารกลืนกินเข้าไปมีหวังตัวมันได้ออกอาลาวาดฆ่าคนไม่เลือกแน่ๆ

 

“อะไรกัน เจ้านี่มันชาวบ้านหรือไง” ชายคนหนึ่งถา มพลางมองมาทางหยงเวยเพราะเมื่อครู่มัวแต่ตั้งสมาธิตอบ โต้จิตมารทําให้มันโดนเจอตัวเสียอย่างนั้น

 

“โชคร้ายหน่อยนะ พวกเราเป็นคนของศัตรูว่ะ คงต้องจัด การแกแล้วล่ะ”ทหารคนนั้นว่าพลางนํากระบี่เล่มหนึ่งออก มาจากมิติของมันดูจากที่มันไม่ได้เข้าไปร่วมกลางสงค รามแล้วท่าทางจะไม่ได้มีพลังอะไรมากมายหยงเวยเลยถอนหายใจออกมาพลางเริ่มสร้างเกราะมรกตช้าๆ

 

เปรี้ยง! อยู่ๆทหารตรงหน้าหยงเวยก็โดนซัดจนปลิวทําเอาทั้งทหารและหยงเวยตกใจเป็นอย่างมาก

 

“ใครวะ” เหล่าทหารที่โดนเล่นงานตกใจอย่างมากเมื่อโดนโจมตีเข้าที่เผลอแต่พอมองกลับไปแล้วพวกมันถึงได้ท ราบว่าคนที่โจมตีพวกมันเป็นหญิงสาวชุดขาวที่ดูแล้วราวกับเทพธิดาจากสวรรค์ลงมาโปรดเลยทีเดียว

 

“ความจริงข้าก็ไม่อยากยุ่งหรอกนะ” หญิงสาวพูดพ ลางถอนหายใจออกมา

 

“แต่ข้าไม่ชอบเวลาพวกเจ้ารังแกชาวบ้านธรรมดา” หญิงสาวว่าพลางซัดฝ่ามือใส่พวกมันไปอีกหลายที หยงเวยไม่ท ราบว่าพลังของนางอยู่ระดับไหนแต่พริบตาเดียวเหล่าทหาร ที่แตกแถวออกมาก็โดนจัดการไปจนหมดทําให้เห็นได้ชัดเจนเลยว่านางแข็งแกร่งมาก

 

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” หญิงสาวถามพลางมองหยงเวยนิ่งใบหน้าของนางนั้นงดงามก็จริง แต่หยงเวยกลับรู้สึกว่าใบหน้าของนางนั้นคล้ายกับมารดาของมันอยู่ไม่น้อย ทําให้มันรู้สึกคุ้นเคยมากกว่ารู้สึกตกตะลึงในความงามของนางเสียอีก

 

“ขอรับ ข้าไม่เป็นอะไร” หยงเวยตอบมันไม่คิดเลยว่าจะถูกช่วยเอาไว้แบบนี้

 

“พวกนั้นบอกว่าเจ้าเป็นชาวบ้าน ทําไมถึงมาโผล่ในสงครามแบบนี้กัน” หญิงสาวถามพลางมองหยงเวยอย่างสงสัย นางแอบมองสงครามนี้มาได้สักพักแล้วความจริงก็ไม่อยาก เข้ามายุ่งเท่าไหร่แต่เห็นคนโดนรังแกเช่นนี้ก็อดไม่ได้จริงๆ

 

“ข้าเป็นห่วงท่านแม่ของข้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามขอรับ” หยงเวยตอบพลางชี้ไปที่กลางสงคราม ที่หยงเวยยังเดินทางต่อไม่ได้นั้นเป็นเพราะสงครามแทบจะปิดทางทั้งหมดเอาไว้แถมถ้าอยากจะผ่านไปให้ได้นั่นคือหยงเวยต้องฝ่าการรบที่ เต็มไปด้วยคนระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 และเหล่ายอดฝีมือไป

 

“เจ้าอยากจะผ่านไปนี่เอง” หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจพอบอกว่ามารดาของมันอยู่อีกฝั่งของการรบหญิงสาวก็มีท่าที่เห็นใจทันที

 

“เอาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปเอง” หญิงสาวท่าทางจะสงสาร รื่องของมันจริงๆ แม้หยงเวยจะอยากบอกว่ามันสามารถใช้การดําดินผ่านไปได้แต่ท่าทางนางจะไม่ได้รอฟังเสียแล้วเพราะนางเล่นเดินเข้าไปกลางสงครามเลยทีเดียว

 

เปรี้ยงๆๆๆ หญิงสาวผู้มีเส้นผมสีขาวงดงามเดินเข้าไปกลางสนามรบอย่างกับเดินเล่นไม่มีผิด ฝ่ามือของนางปรากฎหมอกควันสีขาวออกมาก่อนจะดึงเอาร่างของเหล่าท หารรอบๆเข้ามาหาตัวนางและเพียงการโจมตีเพียงครั้งเดียวพวกมันก็โดนซัดจนล้มลงไปกองกับพื้น

 

“ตามมาสิ” หญิงสาวว่าพลางมองมาทางหยงเวยเห็นอีกฝ่ายมั่นใจขนาดนั้นหยงเวยเลยยอมเดินตามไปแต่โดยดี

 

“นังนี่มันเป็นใครกัน”เหล่าทหารที่กําลังปะทะกันอย่างดุเดือดสะดุ้งโหยงพลางมองร่างของหญิงสาวที่เดินผ่านพวกมันไปราวกับไม่ได้เห็นพวกมันอยู่ในสายตาเลย

 

เปรี้ยงๆ ดาบและกระบี่ทิ่มแทงเข้ามาใส่ร่างของนางในทันทีทําเอาหยงเวยอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ก่อนที่มันจะยื่นมือเข้าช่วยดาบและกระบี่ที่ทิ่มแทงเข้ามากลับหยุดอยู่ กลางอากาศราวกับมีกําแพงโปร่งใสกันเอาไว้

 

“พวกเจ้าเป็นคนของอาณาจักรอี้ใช่หรือไม่” หญิงสาวถามพลางมองมาทางคนที่หันกระบี่ใส่ตนเอง

 

“ชะ ใช่” ชายคนนั้นตอบพลางถอยกระบี่ไป อยู่ๆแขนมันก็ไม่มีแรงทําให้กระบี่ที่แทงออกไปหยุดลงดื้อๆเลย

 

“ไปบอกคนของเจ้าว่าข้าเป็นพวกเดียวกับอาณาจักรและข้าจะช่วยพวกเจ้าจัดการฝั่งตรงข้ามเอง” หญิงสาวว่าพลางหันไปมองฝั่งของอาณาจักรอื่น ในสงครามเขตนี้ เหมือนจะมีคนของอาณาจักรฮัวเท่านั้นกระมัง

 

“ขะ ขอรับ” ชายคนนั้นตอบรับพลางวิ่งกลับไปในทันทีแม้หยงเวยจะไม่ทราบว่าพลังของชายคนนั้นอยู่ระดับใด แต่ วิชากระบี่ที่มันใช้เมื่อครู่ไม่ธรรมดาเลยแถมมันยังใช้วิชาตัวเบาที่รวดเร็วกลับไปหาคนของมันและรายงานคนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าของมันด้วยตัวเองอีกต่างหาก ท่าทางมันจะ ไม่ใช่คนชั้นธรรมดาเสียแล้วแต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวตรงหน้ามันก็สามารถรับมือชายคนนั้นได้ง่ายๆราวกับเล่านกับเด็กไม่มีผิด

 

วูม… สายลมเย็นสายหนึ่งแล่นเข้ามารอบๆตัวหญิงสาวเพียงพริบตาเดียวฝั่งอาณาจักรฮัวก็ปรากฏน้ําแข็งจํานวนมากเกาะกุมพื้นเอาไว้

 

“คิดจะใช้น้ําแข็งสู้กับพวกเรางั้นเหรอ” เหล่าชนชั้นยอดฝีมือพูดพลางมองมาทางหญิงสาวเป็นตาเดียวอาราจักรฮัวขี้นชื่อเรื่องการใช้ไฟธาตุน้ําแข็งนั้นเป็นปรปักษ์กับธาตุไฟไม่ต่างกับน้ําทําให้การใช้น้ําแข็งต่อหน้าคนของอาณาจักรฮัวนั้นไม่ต่างจากประกาศวัดพลังเลย

 

“เสียดายความสวยจริงๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้ นี่มันสงครามนี่นะ” ชายคนหนึ่งในกลุ่มยอดฝีมือว่าพลางสร้างลูกไฟในมือของมัน ก่อนที่ลูกไฟในมือของมันจะขยายใหญ่จนมี เส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 2 เมตร ทําเอาเหล่าทหารระดับล่างๆพากันตกใจเป็นอย่างมาก ยิ่งหยงเวยเองที่ยืนอยู่ด้า นหลังนางยังอดหวั่นใจไม่ได้ลุกไฟขนาดนั้นคงมีพลังทําลายมหาศาลน่าดู

 

ฟุบ! ชายคนนั้นปาลูกไฟใส่ร่างของหญิงสาวทันที ที่รวบรวมพลังเสร็จวินาทีนั้นพวกคนของอาณาจักรฮัวพากันคิดว่าน่าเสียดาบความงามของนางจริงๆโดนลูกไฟลุก นี้ไปคงหมดสวยแน่ๆ

 

ฟู… ราวกับเวลาหยุดนิ่ง ลูกไฟที่ปาเข้ามาใส่ร่างของหญิงสาวหายไปเสียเฉยๆราวกับหมดเชื้อไฟ

 

“เฮ้ย นี่แกออมมืองั้นเหรอ” ชายคนหนึ่งหันไปถามคนที่ปล่อยลูกไฟออกไปแม้จะเป็นหญิงงามก็จริงแต่มันไม่ควรออมมือให้ศัตรูนะ

 

“ปะ เปล่า” ชายคนที่ปาลูกไฟออกไปคงจะเป็นคนที่ตกใจ ที่สุด แม้จะไม่ได้เป็นลูกไฟที่ทรงพลังที่สุดของมันแต่ก็เป็นลูกไฟที่มันใช้ยามปกติไม่ได้ออมมือเลยเป็นไปไม่ได้ที่ นางจะรับมือได้โดยไม่ขยับตัวเสียด้วยซ้ํา

 

เปรี้ยงๆๆๆๆๆ อยู่ๆตรงหน้าพวกมันก็ปรากฏแท่งน้ําแข็งจํานวนมากพุ่งเข้าใส่ แม้คมของน้ําแข็งจะไม่อาจทําลายพลังคุ้มกันของพวกยอดฝีมือได้แต่การโดนอักซ้ําๆก็ทํา เอาพวกมันเจ็บไม่น้อย

 

“นังนั่นมันตัวอะไรกัน” ชายอีกคนว่าพลางกัดฟันกรอดนอกจากน้ําแข็งรอบๆจะไม่ละลายแล้ว อากาศยังเริ่มหนาวขึ้นอีกด้วย เผลอเพียงครู่เดียวส นามรบของพวกมันก็กลายเป็นทุ่งหิมะไปเสียแล้ว

 

“เดี๋ยวสิ นางไม่มีพลังวิญญาณไม่ใช่หรือ” ชายคนหนึ่งพูดด้วยท่าที่ตกใจ

 

“จริงของเข้า ข้าสัมผัสพลังวิญญาณจากนางไม่ ได้เลย”ชายอีกคนเองก็ยืนยันเช่นเดียวกัน

 

“หรือว่านางจะเป็นอสูร”ได้ยินเช่นนั้นเหล่าทหารก็พากันมองหญิงสาวเป็นตาเดียว มิน่าเล่าผู้คนถึงโดนอสูรหลอกเอาบ่อยๆ เพราะนางช่างเหมือนมนุษย์และยังงดงามมาก อีกด้วย หากนางไม่โผล่มาในสงครามและใช้พลังที่น่าเหลือเชื่อขนาดนี้พวกมันคงแยกไม่ออกแน่ๆ

 

“ในเมื่อเป็นอสูรก็ไม่ต้องเกรงใจ ฆ่านางซะ” พวกยอกฝีมือว่าพลางกระโจนเข้ามาใส่ร่างของหญิงสาวพร้อมกัน

 

อีก…กระบี่และดาบที่พุ่งเข้ามาหยุดลงกลางอากาศราวกับมีกําแพงล่องหนอีกครั้ง ทั้งๆที่นางก็ยืนเฉยๆแท้ๆ ไม่ทราบทําไมไม่ว่าจะพยายามโจมตีเท่าไหร่ก็ไม่สามารถโจมตีถึงตัวนางได้เลย

 

“ไปกันเถอะ” หญิงสาวว่าพลางมองมาทางหยงเวย นางเดินนําหยงเวยไปช้าๆราวกับไม่ได้สนใจพวกที่โจมตีนางอยู่เลย แต่ก็อย่างที่เห็น พวกมันโจมตีเข้ามาหานางไม่ได้ ต่อให้ ใช้พลังธาตุพวกมันก็ยังไม่สามารถเจาะการป้องกันของนางได้เลย ทําให้หยงเวยและนางเดินผ่านสงครามได้ไม่ต่าง จากเดินเล่นเลย

 

“เอาล่ะ ถึงแล้ว” หญิงสาวว่าพลางพาหยงเวยมาส่งอีกฝั่งของสงครามได้อย่างที่บอกจริงๆ

 

“เอ่อ ท่าน…”หยงเวยไม่ทราบจะพูดอะไรออกไปดี

 

“เจ้าไปเถอะ ไม่ได้ยินหรือว่าข้าเป็นอสูร” หญิงสาวว่าพลางยิ้มบางๆโดยที่ด้านหลังของนางยังมีเหล่ายอดฝี4 คนยืนจ้องมองอย่างกินเลือดกินเนื้ออยู่

 

“เอ่อ…ข้าไม่ได้บอกท่านว่าท่านแม่ที่ข้ากําลังจะไปหาก็เป็นอสูรเหมือนกัน” หยงเวยตอบพลางมองหญิงสา วตรงหน้านิ่ง

 

“เพราะฉะนั้น ข้าก็เลยไม่รังเกียจท่านที่ท่านเป็นอสูรหรอกนะ” หยงเวยเปลี่ยนไปมากหลังจากเจอเรื่องต่างๆที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตของมัน แต่เดิมมันเกรียดอสูรเข้าไส้ จนโดนมารครอบงําแต่มันยามนี้กลับมองอสูรราวกับม นุษย์ผู้หนึ่งไม่มีผิด

 

“จริงงั้นเหรอ” หญิงสาวยิ้มอย่างพึงพอใจ การที่มันมีมารดาเป็นอสูรนั้นเป็นเรื่องที่หาได้ยากแต่นางก็คุ้นเคยกับเรื่องราวเช่นนั้นอยู่ไม่น้อย

 

“ถ้าเจ้าไม่รังเกียจข้า งั้นข้าจะไปส่งเจ้าให้ถึงที่เลยก็แล้วกัน” หญิงสาวหัวเราะอย่างพึงพอใจพลางหันไปมองเหล่ายอดฝีมือจากอาณาจักรฮัว นางสร้า งน้ําแข็งออกไปแช่แข็งเหล่ายอดฝีมือเอาไว้ก่อนจะเดินจากไปพร้อมหยงเวยอย่างสบายใจ แม้น้ําแข็งของนางจะฆ่า เหล่ายอดฝีมือไม่ได้ในทันทีแต่ด้วยสภาพโดนช่แข็งเช่ นนั้นพวกมันย่อมไม่อาจสู้คนของอาณาจักรอู่ได้อีกแล้ เป็นอย่างที่พยัคฆ์อัสนี้คิดจริงๆ หากจะหยุดพวกมันไว้คงต้องใช้ยอดฝีมือไม่ต่ํากว่า 7 หรือ 8 คนจริงๆ