บทที่ 1151 ดาบฟันวิญญาณ!

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

“ผู้ลอบโจมตี…เขาอยู่ที่ไหน?!”

หลิงม่อกวาดมองประตูห้องสามบานที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว…หนึ่งในนั้นอยู่ใกล้ตำแหน่งที่กู่ซวงซวงยืนเมื่อกี้มากที่สุด โดยที่อีกหนึ่งบานอยู่ฝั่งตรงข้าม และบานที่สามอยู่ด้านหลังกู่ซวงซวง…ด้านในประตูสามบานนี้ ล้วนมีความเป็นไปได้ที่จะมีศัตรูคนที่เปล่งเสียงเย็นเยียบเมื่อกี้ออกมาซ่อนตัวอยู่

“ห้องไหนกันแน่? ศัตรูไม่มีทางปล่อยให้พวกเราตรวจดูทีละห้องแน่…ทันทีที่ตัดสินใจพลาด พวกเราอาจตกลงไปในหลุมพรางที่อันตรายกว่าเดิม…” หลิงม่อเริ่มสัมผัสได้ถึงเหงื่อที่ซึมกลางฝ่ามือ

นี่คือจุดที่รับมือยากที่สุดของศัตรู…ดูจากเหตุการณ์แต่ละอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ คล้ายว่าอีกฝ่ายได้เตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว…

“ความจริงก็คือ ไม่ว่าหลิงม่อจะไขอุบายได้อีกกี่ครั้ง ก็จะค้นพบว่ามีเล่ห์กลอื่นรอเราอยู่ตรงหน้าต่อไปเรื่อยๆ” สวี่ซูหานขมวดคิ้วบอก

ใช่แล้ว…นี่คือสถานการณ์ที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้…ตั้งแต่ที่กู่ซวงซวงปรากฏตัว อีกฝ่ายก็ได้วางอุบายและเล่ห์กลไว้อีกมาก เสียงนั้น เป็นเพียงอุบายที่สองจากทั้งหมดเท่านั้น…

“ไม่มีเสียงอะไรดังมาจากทางประตูทางเข้าเลย แสดงว่าผู้ลอบโจมตียังอยู่ข้างนอก สถานการณ์อย่างนี้ ทางเลือกเดียวที่พวกเรามีก็คือเดินหน้าต่อไป ฉะนั้นถึงแม้รู้ว่าเสียงนั้นเป็นเหยื่อล่อ แต่พวกเราก็จำต้องเดินไปติดเบ็ด…คงเป็นอย่างนี้สินะ? ช่างเป็นแผนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ว่า…ฉันจะรอถูกพวกแกเชือดอย่างง่ายดายจริงๆ น่ะหรอ? ถ้าหากว่าฉันทำอย่างนั้นจริงๆ ฉันก็ไม่ใช่หลิงม่อแล้วล่ะ แกก่อกวนได้? งั้นก็ลองก่อกวนให้ถึงที่สุดแล้วกัน…” หลิงม่อคิด ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ หลับตาลง

ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ อยู่ๆ เขากลับทำอะไรแปลกๆ อย่างนี้ ทำเอาสวี่ซูหานอึ้งงันไปชั่วขณะ แต่เธอยังไม่ทันถามอะไร แรงกดดันมหาศาลขุมหนึ่งพลันพวยพุ่งออกมาจากร่างกายหลิงม่อทันใด ขณะเดียวกัน สัมผัสราวกับถูกมองทะลุปรุโปร่งพลันเคลื่อนผ่านร่างเธอไปอย่างแผ่วเบา…

เริ่มแรกยังเป็นเพียงสัมผัสเลือนราง ทว่าเมื่อฝ่ามือทั้งสองข้างของหลิงม่อกางออก สัมผัสนั้นก็ชัดเจนขึ้นด้วย…

“หลิงม่อเขา…กำลังทำอะไร?” สวี่ซูหานอดไม่ได้ที่จะถาม

ดวงตาข้างหนึ่งของซย่าน่าพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง…ชั่วขณะหนึ่งราวกับเธอได้กลับเข้าสู่โหมด “มนุษย์ซย่าน่า” ผู้นั้นอีกครั้ง “เขากำลังพยายามทำลายม่านพลังอยู่…”

“อะไรนะ?”

“พลังก่อกวนของอีกฝ่ายส่งผลกระทบทุกด้าน พี่หลิงเองก็ไม่อาจแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ เพราะถึงแม้จะรู้ว่าพลังก่อกวนของอีกฝ่ายส่งผลต่อการมองเห็นและการรับกลิ่น พวกเราก็ไม่สามารถปิดกั้นประสาทสัมผัสสองอย่างนี้ได้อยู่ดี แต่ในม่านพลังนี้มีพลังจิตแฝงอยู่ด้วย และนี่ก็เป็นจุดที่พี่หลิงจะใช้สู้กับพวกเขาได้” ซย่าน่าวิเคราะห์อย่างใจเย็น

“หา? แต่ตอนนี้พวกเรายังมีข้อมูลน้อยมาก บุ่มบ่ามทำแบบนี้ไป…” สวี่ซูหานเบิกตากว้าง

ซย่าน่ามองแผ่นหลังหลิงม่อด้วยสายตาเรียบเฉย บอกว่า “ใครบอกว่ามีแค่พี่หลิงคนเดียวล่ะ…ยังมีฉันอีกคน…”

พูดไป เคียวดาบในมือเธอพลันถูกเธอตวัดขึ้นเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวเหนืออากาศ

เมื่อตาสีแดงข้างนั้นค่อยๆ เลือนหายไป ซย่าน่าก็กระตุกมุมปากเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อันคุ้นตา…แต่สวี่ซูหานากลับรู้สึกได้รางๆ ว่าในดวงตาคู่นั้นของเธอ ราวกับมีเงาร่างของใครอีกคนปรากฏตัวขึ้นมา และพละกำลังขุมนี้ก็…

“ตามคาด วิวัฒนาการแล้วจริงๆ ด้วย…” สวี่ซูหานหน้าซีดเผือดทันที ร่างกายกระตุกสั่นอย่างคุมไม่ได้ “ลมปราณแบบนี้มัน…ราวกับมีอสุรกายตัวหนึ่งซุกซ่อนอยู่ในตัวเธอ…เธอหันหลังให้ฉันอยู่แท้ๆ แต่ในร่างกายเธอกลับมีดวงตาคู่หนึ่งจ้องฉันอยู่…เป็นดวงตาที่ทั้งชั่วร้าย และเย็นชามาก…ไม่เหมือนกับซอมบี้ตัวอื่นเลยซักนิด…นี่คือ…พลังพิเศษของเธองั้นหรอ…”

ซย่าน่าเงื้อเคียวดาบขึ้น หลังแสยะยิ้มเบาๆ เธอก็เหวี่ยงเคียวดาบลงไปที่ข้างกายหลิงม่อทันใด

วืดด~~~!

เมื่อเสียงแหวกลมดังขึ้น สวี่ซูหานพลันสั่นสะท้านไปทั้งตัว เธอรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งถูกซย่าน่าฟันขาดแล้ว…พอหันไปมองเคียวดาบนั้นอีกครั้ง ความรู้สึกราวกับใกล้จะฉีกขาดออกจากกันผุดขึ้นมาในสมองของของเธอ

“ใช่แล้ว…พลังจิต? สิ่งที่เธอฟันเมื่อกี้ ก็คือพลังจิต!” สวี่ซูหานร้องตะลึงในใจ

วืดด!

หลิงม่อเองก็เห็นดาบนั้นของซย่าน่า…มันคือคมดาบรูปพระจันทร์เสี้ยวสีเลือด เมื่อมันปรากฏตัว ไอหมอกที่แผ่ปกคลุมรอบกายซึ่งประกอบไปด้วยจุดแสงเล็กๆ มากมายพลันถูกฟันจนเกิดเป็นรูโหว่เส้นหนึ่ง

“ซย่าน่า…”

และนี่ก็คือพลังกลายพันธุ์อันใกล้สมบูรณ์แบบของซย่าน่าหลังจากวิวัฒนาการ—ดาบฟันวิญญาณ!

รวบรวมพลังจิตจากร่างดวงจิตน่าน่าให้เป็นหนึ่งเดียว จากนั้นก็อาศัยพละกำลังอันแข็งแกร่งของร่างจริงเฮยน่าฟาดฟันลงไปในพริบตา…ถึงแม้ต้องเผาผลาญพลังมหาศาล แต่ภายใต้การโจมตีพร้อมกันจากทั้งวัตถุและพลังจิต อานุภาพทำลายล้างของดาบนี้กลับยอดเยี่ยมอย่างไม่น่าเชื่อ และดูจากสถานการณ์ ซย่าน่าสามารถปรับสมดุลการเผาผลาญพลังงานแบบนี้ด้วยตัวเองได้…

หลังจากผ่านการแยกร่างและหลอมรวม ในที่สุดน่าน่ากับเฮยน่าซึ่งเป็นตัวแทนของสองบุคลิกที่แตกต่างกันก็เจอวิธีที่เหมาะสมแล้ว และสำหรับคนข้างกาย ซย่าน่า…ได้กลับไปเป็นซย่าน่าอีกครั้งแล้ว

“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง…ที่แท้ก็เป็นพลังอย่างนี้นี่เอง…”

นิ้วมือของหลิงม่อพลันขยับ เสี้ยววินาทีที่รูโหว่ปรากฎ เส้นสายแห่งพลังจิตที่เกี่ยวพันระหว่างนิ้วมือของเขาก็พลันพุ่งทะลักออกไป…

ไม่นาน ภาพรอบกายใน “สายตา” ของเขาก็เปลี่ยนไป…

เมื่อกี้ตอนที่เขาหลับตา สิ่งที่เขาเห็นมีแต่ความมืดมิด

และในความมืดนั้นก็มีจุดแสงมากมายปรากฏอยู่ จุดแสงเหล่านั้นอัดแน่นอยู่ด้วยกัน และบดบังการมองเห็นของเขาจนมิด

“ตามคาด…เป็นม่านพลังจริงๆ ด้วย สามารถแยกพลังจิตของตัวเองออกมาให้เล็กละเอียดได้ขนาดนี้ แล้วยังสามารถดำเนินการควบคุมบางอย่างได้อีกด้วย ดูเหมือนว่าพลังของผู้ลอบโจมตีก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน…”

ขณะที่ในใจคิดอย่างนั้น เสี่ยวเฮยก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังหลิงม่อ

“ในสถานการณ์อย่างนี้…ถึงให้เสี่ยวเฮยเคลื่อนไหวเพียงลำพังก็คงไม่มีประโยชน์มากนัก…ถึงแม้มันจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่ถ้าไม่อาจมองทะลุความจริงได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดี ถ้าอย่างนั้น…”

หลิงม่อเพียงคิด เสี่ยวเฮยก็พลันเคลื่อนไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จากนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายเข้าไปในร่างกายของหลิงม่อ…

จากนั้นหลิงม่อก็ยกมือขึ้น เขารู้สึกว่าพลังจิตของตัวเองได้กลายเป็นเส้นสายมากมายที่แผ่ออกจากสมองของเขา และเกี่ยวพันรอบนิ้วมือ ขอเพียงเขาเพ่งจิต เส้นสายแห่งพลังจิตเหล่านั้นก็จะเคลื่อนไหวตามไปด้วย…

และเวลานี้ คมดาบสีเลือดเส้นนั้นก็ปรากฏทันใด!

สวบ!

เส้นสายแห่งพลังจิตพลันพุ่งพรวดออกไป ตั้งแต่ดาบนั้นของซย่าน่ามาจนถึงการเคลื่อนไหวของหลิงม่อ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและลื่นไหลไม่มีสะดุดแม้แต่วินาทีเดียว

และในเสี้ยววินาทีที่เส้นสายแห่งพลังจิตพุ่งเข้าไปในรูโหว่ หลิงม่อก็สัมผัสได้ถึงจุดแสงจำนวนมหาศาลที่ทะลักเข้ามาเพื่อพยายามตัดเส้นสายแห่งพลังจิตของเขาให้ขาด

“ถ้าหากสามารถแหวกรูโหว่ให้กว้างขึ้นอีกล่ะก็…”

วินาทีนี้ หลิงม่อรู้สึกได้ว่าตัวเองสัมผัสได้ถึงเขตแดนที่ซับซ้อนยิ่งกว่า…

พลังจิตควบคุม

เขาสามารถสัมผัสได้ถึงจุดแสงที่อยู่รอบๆ ขอบรูโหว่เส้นนั้น และสามารถใช้เส้นสายแห่งพลังจิตสัมผัสพวกมันได้…

นี่ต่างหากคือพลังควบคุมที่แท้จริง…

และนี่ก็คือความแตกต่างระหว่างผู้ควบคุมกับผู้มีพลังจิต!

ถึงแม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีเดียว แต่เมื่อหลิงม่อกำนิ้วมือเข้าหากันแน่น รูโหว่เส้นนั้นพลันเกิดรอยร้าวและแตกสลายในที่สุด!

และหลิงม่อก็มองเห็นแล้ว!

ด้านหลังจุดแสงเล็กๆ ที่กระจายตัวอยู่ท่ามกลางอากาศ มีดวงแสงแห่งจิตอยู่หนึ่งดวง!

“มองเห็นแล้ว…” หลิงม่อพลันลืมตา

เวลานี้ หัวหน้าทีมนิพพานที่ซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงพลันเบิกตากว้าง และหอบหายใจหนักหน่วง

เขาสัมผัสได้…เมื่อกี้มีสายตาคู่หนึ่งมองทะลุกำแพงมาที่เขา!

“หมอนั่นบ้าไปแล้วหรอ! ในสถานการณ์ที่ไม่รู้แน่ชัดว่าศัตรูมีกันเท่าไหร่ กลับใช้พลังจิตมหาศาลขนาดนั้นทลายม่านพลังแบบนี้…ไม่ๆ แล้วยังการโจมตีก่อนหน้านั้นอีก…มันคืออะไรกันแน่?!” หัวหน้าทีมนิพพานเหงื่อท่วมหัว

ในสถานการณ์ปกติ การโจมตีทางจิตล้วนคงอยู่ในรูปแบบที่ค่อนข้างแปลกประหลาด แต่พลังแบบนี้…การจู่โจมฟาดฟันที่รุนแรงถึงขั้นไม่อาจต้านรับได้ กลับเป็นครั้งแรกที่หัวหน้าทีมนิพพานได้เห็นพลังแบบนี้ แม้แต่ในนิพพานสำนักงานใหญ่ซึ่งมีผู้มีความสามารถพิเศษจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ เขาก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีการโจมตีทางจิตรูปแบบนี้อยู่ด้วย…

“คำนวณพลาดซะแล้ว…ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะแกร่งขนาดนี้! นี่มันไม่เห็นเหมือนกับที่ได้ข้อมูลมาเลยนี่! เรื่องอื่นไม่ว่า แค่พลังต่อสู้ของหลิงม่อก็ต่างจากที่บันทึกไว้ในรายงานมากแล้วนะ…” หัวหน้าทีมนิพพานยกมือหมายจะเช็กเหงื่อบนหน้าผาก ทว่าร่างกายกลับชะงักกึกไปทันใด

“เขามาแล้ว…”

ต่อกแต่ก…ต่อกแต่ก…

หลิงม่อเพ่งสายตาไปยังหนึ่งในประตูสามบานนั้น จากนั้นก็ค่อยๆ ย่างสามขุมเข้าไป

ด้านหลังเขา พวกซย่าน่ากำลังเดินตามมาอย่างระแวดระวัง

หลี่ย่าหลินจูงมือเย่เลี่ยน ส่วนสวี่ซูหานก็ประคองกู่ซวงซวง…

และเสียงฝีเท้าที่ชัดเจนที่สุดในกลุ่ม ก็คือเสียงฝีเท้าของหลิงม่อ…

แต่ท่ามกลางความแตกตื่นนี้ เสียงฝีเท้าของเขาไม่เพียงนำพามาซึ่งความตระหนก กลับแฝงไว้ด้วยความกดดันด้วย

เมื่อเขาต้อนเข้ามาเรื่อยๆ เหงื่อบนศีรษะของหัวหน้าทีมนิพพานก็ยิ่งไหลโชก

สวบ…

นิ้วมือของหลิงม่อพลันขยับ ประตูบานนั้น…อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือแล้ว…

โครม!

เมื่อบานประตูถูกโจมตีจนแตกกระจาย ด้านหลังประตูพลันปรากฏเงาร่างของใครคนหนึ่ง

ขณะที่เศษประตูปลิวว่อน คนผู้นี้กลับยกปากกระบอกปืนอันดำสนิทขึ้นอย่างใจเย็น…

ปังๆๆๆๆ!

หลังเสียงลั่นไกระลอกหนึ่งดังขึ้น ชายหนุ่มก็ลดอาวุธปืนที่ไร้กระสุนลง

ทว่าพอเขามองไปที่หลิงม่อซึ่งยืนอยู่ข้างนอก กลับมองเห็นเงาร่างหนึ่งจางหายไปต่อหน้าต่อตา…

หลิงม่อตัวจริงก้าวออกมาจากอีกฝั่งหนึ่งของทางเดิน เขาหยุดยืนอยู่ตรงที่เงาร่างนั้นจางหายไป และจ้องหน้าคนผู้นี้ พลางยิ้มเย็นชา “ฉันทึ่งมากที่พวกแกเตรียมแผนรับมือไว้ตลอด แต่ขอเพียงฉันตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ แล้วตลบหลังพวกแกก็พอแล้วนี่? เรื่องนี้ ไม่รู้ว่าพวกแกเคยคิดกันบ้างหรือเปล่านะ”

ชายหนุ่มมือไม้อ่อนแรง ฝ่ามือคลายออก ส่งผลให้อาวุธปืนร่วงตกพื้น

เห็นชัดว่า ในเสี้ยววินาทีที่บานประตูถูกโจมตี หลิงม่อได้ทิ้งร่างดวงจิตร่างนี้ไว้ตรงจุดเดิม ในขณะที่ตัวเขาไปซ่อนตัวอยู่อีกด้าน

“ย๊ากก…”

ชายหนุ่มหมายจะพุ่งตัวเข้ามา เส้นสายแห่งพลังจิตสองเส้นก็พลันพุ่งออกไปรัดข้อมือทั้งสองข้างของเขาทันใด ขณะเดียวกันเสี่ยวเฮยที่เพิ่งถูกเขายิงจนจางหายไปก็ปรากฏตัวข้างหลังเขา และโน้มตัวลงเพื่อกดหัวแทรกเข้าไปในศีรษะของเขา

“อ๊ากกกก!”

ชายหนุ่มพลันกรีดร้อง เลือดสีแดงสดมากมายปะทุออกมาจากแผงอกกว้างของเขา จากนั้นร่างกายเขาก็พลันอ่อนยวบลงไป

เสี่ยวเฮยปล่อยร่างเขา และเมื่อศพร่วงลงบนพื้น หลิงม่อก็ขมวดคิ้วเดินเข้าไปหา “ฆ่าตัวตายหรอ?”

ภายใต้การควบคุมของเส้นสายแห่งพลังจิต ศพที่นอนคว่ำเอาหน้าลงพื้นถูกพลิกตัวขึ้นมา

หลิงม่อขมวดคิ้วมองพิจารณาเขา…นี่เป็นศพของชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาสวมหมวก และสวมชุดกีฬาสีดำทั้งตัว ดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป

แต่รูแผลกลางแผงอกของเขา กลับกำลังแผ่ลมปราณที่ไม่ธรรมดาออกมา

กอปรกับความรู้สึกอันตรายที่หลิงม่อสัมผัสได้เมื่อกี้ตอนที่เขาพุ่งตัวเข้ามาหมายจู่โจมเขา…

“หมอนี่เป็นผู้มีความสามารถพิเศษหรอ? แต่ดูจากวิธีโจมตีที่เขาเลือกใช้ รวมถึงความรู้สึกตอนที่เสี่ยวเฮยพยายามจะใช้พลังโจมตีทางจิตกับเขาเมื่อกี้…ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่ผู้มีพลังจิตนะ…” หลิงม่อย่อตัวนั่งลง และยืนมือไปที่รูแผลกลางหน้าอกนั่น…

ทว่าในตอนนั้นเอง หลังกำแพงห้องห้องหนึ่งของชั้นสอง…

“ล้มเหลวซะแล้ว…” หัวหน้าทีมนิพพานไม่ได้ปาดเหงื่อบนหน้าผากออก กลับเผยสีหน้าเจ็บใจเข้ามาแทนที่ ศพที่ล้มลงไปเมื่อกี้ ก็คือสมาชิกทีมที่ถูกเรียกให้มากับเขาก่อนหน้านี้…

“บ้าจริง ไร้ประโยชน์สิ้นดี โอกาสดีขนาดนั้น กลับไม่สามารถยิงพวกมันตายซักคน! เวินเสี่ยวอวี่ ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไร แต่แผนการของเธอทำได้แค่นี้งั้นหรอ?” หัวหน้าทีมนิพพานลอบคิด เขาไม่ได้สนใจซักนิดว่าสมาชิกนิพพานจะตายไปกี่คน ถึงแม้ว่าสมาชิกทีมคนนั้นจะตายไปง่ายๆ อย่างนั้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจเลยแม้แต่น้อย สำหรับเขา ผลลัพธ์ต่างหากที่สำคัญที่สุด…และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาไม่ได้สาวความเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเวินเสี่ยวอวี่มีท่าทีแปลกไปมากนัก ซึ่งเรื่องนี้ เวินเสี่ยวอวี่กลับเดาความคิดเขาถูก…

“คอยดูต่อไปเถอะ…หลิงม่อ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าแกจะโชคดีไปได้อีกซักกี่ครั้ง” หัวหน้าทีมนิพพานขมวดคิ้ว พลางกำหมัดแน่น จุดแสงพลังจิตดวงหนึ่งลอยทะลุเพดานชั้นล่างขึ้นมา และทิ้งตัวลงบนปลายนิ้วเขา… “พลังของฉัน แกมองออกไหมล่ะ…”

…ในเสี้ยววินาทีที่นิ้วมือของหลิงม่อใกล้สัมผัสถูกแผล เสียงเตือนพลันดังมาจากด้านหลัง

“ระวัง!”

—————————————————————————–