บทที่ 310 ตั้งใจ เปิ่นหวางไม่ชอบสตรีที่อ่อนแอ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เมื่อครู่นางเพิ่งจะพูดว่า นางไม่ต้องการเพียงคู่ชีวิตคนเดียวไปตลอดชีวิต นางเพียงแค่ต้องการตำแหน่งพระชายาเอกเท่านั้น ทว่า ผลลัพธ์ที่ได้เล่า?

นางเพียงแค่ได้เห็นภาพของซูหว่านและเสด็จอาเก้าแอบอิงกันดั่งภาพวาดเช่นนั้น ก็พลันรู้สึกขมขื่นไปทั่วทั้งใจเช่นนี้ แล้วนางจะยอมรับสามีในอนาคตของนางได้อย่างไร นางจะรับได้หรือ หากสามีของนางต้องไปนอนกอดสตรีนางอื่นบนเตียงของตนเช่นนั้น นางจะรับได้อย่างไร นางจะรับได้หรือ หากสตรีนางอื่นต้องมาอุ้มลูกให้สามีของนางเช่นนั้น

บางที นางอาจจะต้องการเวลาอีกสักหน่อย ถึงจะสามารถหล่อหลอมเข้ากับคนที่นี่ได้ นางถึงจะสามารถเข้าใจกฎของโลกในยุคนี้ได้ บางที นางอาจจะไม่มีทางรับได้เลยก็เป็นได้ ทั้งยังไม่อาจรับมือกับกฎของโลกในยุคนี้ได้เลย

ยามที่นางกำลังพูดปลอบใจตนเองว่า นางไม่ต้องเปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นคนที่พิเศษเช่นนั้น นางเพียงหวังว่าตนเองจะสามารถหลอมรวมเข้ากับคนที่นี่ ทว่า เมื่อถึงยามนั้นแล้ว เรื่องพวกนี้ หาใช่สิ่งที่นางต้องการจริง ๆ ไม่ นางไม่อาจทำใจใช้สามีร่วมกับผู้อื่นได้

พอแล้ว พอแล้ว

ได้แต่ความสุขของนาง ไม่อาจได้ทั้งชีวิตของนาง

เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ แย้มยิ้มออกมาด้วยความสดใส ดวงของนางพลันเปล่งประกายออกมาในความมืดมิด หวังจิ่นหลิงพูดถูก นางจะได้บรุษที่ดีที่สุดในใต้หล้า นางสามารถมีคู่ชีวิตเพียงคนเดียวไปตลอดชีวิตได้

นางมิต้องรู้สึกผิดในตนเองอีก นางไม่ต้องไปแสวงหาความสมบูรณ์แบบในตัวบุรุษคนใด เดิมทีนางก็แตกต่างจากสตรีในยุคนี้อยู่แล้ว เหตุใดนางต้องเปลี่ยนแปลงตนเองให้เหมือนกับพวกเขาด้วย

ต้องโทษที่เสด็จอาเก้า หากมิใช่ว่าวันนี้ตอนบ่ายเล่นอยู่กับเขาภายในสระบัวละก็ ทำเอานางตกอยู่ในม่านหมอกที่หาทางไม่ออกเช่นนี้ รวมไปถึงยามที่มาได้ยินซีหลิงเทียนเหล่ยต้องการแต่งนางเป็นนางสนมของเขาอีก ทำเอานางกระวนกระวายใจยิ่งนัก ทำเอานางรู้สึกว่าตนเองเป็นเหมือนกับสตรีในยุคนี้ ทั้งยังไม่อาจมีอิสระในการเลือกชีวิตของตนเองได้อีก

นางหาใช่องค์หญิงอันผิงไม่ นางยังไม่ใช่ซีหลิงเหยาหวา และนางก็ไม่ใช่ซูหว่าน ที่นางมีทุกอย่างได้ในวันนี้ หาได้มาจากตระกูลของนางไม่ นางมีทั้งเกียรติยศและความมั่งคั่งเช่นนี้ ล้วนแต่เป็นสองมือของนางที่สรรหามาด้วยตนเอง นางหาได้ชื่นชมกับความมั่งคั่งและเกียรติยศของตระกูลตนเองไม่ นางย่อมไม่สนใจว่าตนเองจะต้องจ่ายมันด้วยสิ่งใด

นางมิได้พึ่งพาผู้ใด และนางก็มิได้หวังพึ่งผู้ใดเช่นกัน ถึงแม้ว่าจักรพรรดิจะมาเอาทุกอย่างคืนไป นางก็ไม่กลัว ขอเพียงแค่นาง เฟิ่งชิงเฉินยังมีชีวิตอยู่ละก็ ขอเพียงแค่มือทั้งสองข้างของนางยังคงใช้การได้ นางสามารถไขว่คว้าความสำเร็จที่มีมากกว่านี้ได้ ทั้งยังสามารถมีฐานะที่สูงส่งได้มากกว่าวันนี้ที่นางอยู่เสียอีก

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินปลดปล่อยตนเองได้แล้วนั้น ก็มองไปที่เสด็จอาเก้าด้วยความรู้สึกสบายใจมากกว่าเดิม หากแต่เสด็จอาเก้าหาได้ทำในสิ่งที่นางคาดหวังไว้ไม่ มิรู้ว่าพระองค์จงใจหรืออย่างไร ยามที่เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลง เพื่อเพลิดเพลินกับสายลมที่กำลังพัดพากลิ่นอายที่สดชื่นของดอกบัวเข้ามา เสด็จอาเก้าพลันลุกขึ้นยืนในทันที “พวกเจ้าเข้ามาเสีย คุณหนูซูหว่านร่างกายไม่สู้ดีนัก พยุงนางลงไปเดี๋ยวนี้”

เนื่องจากเสด็จอาเก้าลุกขึ้นด้วยความรวดเร็ว ทั้งยังกะทันหันยิ่งนัก ซูหว่านยังมิทันจะได้สติดี พลันตกลงไปที่พื้นในทันที

“อ๊าย” ซูหว่านพลันกรีดร้องเสียงดังออกมาในทันที สองมือพลันไขว่คว้าไปด้านหน้า เพื่อต้องการจะจับที่ยึดเช่นเสด็จอาเก้า เพื่อปกกันไม่ให้ตนเองเสียหน้า แต่เสด็จอาเก้าใจดำยิ่งนัก ยามที่ซูหว่านกำลังร้องขอความช่วยเหลือ พระองค์พลันหลีกหนีไปในทันที

ยามที่เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นมานั้น ก็พลันสบตาเข้ากับดวงตาที่เย็นชาของเสด็จอาเก้าไปในทันที หากแต่ก็เป็นเสด็จอาเก้าที่หันหน้าหนีไปก่อน ราวกับจะบอกว่า ข้าหาได้เหมือนคนบางคนที่ขี้งกไม่!

มิรู้ว่าเป็นเพราะอันใด เฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกว่า ตนเองมีความสุขมากนัก ไม่อาจบอกได้เลยว่า นางยังคงชอบเสด็จอาเก้าที่ไม่ไปตามคลื่นลมของผู้ใดอยู่ รู้สึกโล่งใจยิ่งนัก!

“ระวัง”ผู้ที่อยู่ใกล้ที่สุดคือตงหลิงจื่อชุนไม่อาจทนมองได้อีก เพื่อป้องกันไม่ให้ซูหว่านล้มลงไป เขาจึงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือในทันที ยามที่ตงหลิงจื่อชุนรับร่างของซูหว่านได้ทันนั้น นางจึงหันมากล่าวว่า “ขอบพระทัยเพคะ”

น้ำเสียงที่อ่อนแรงและใบหน้าที่ซีดเผือด มิจำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด แต่เสียกรีดร้อง “อ๊าย” เมื่อครู่ ดูอย่างไรก็รู้ว่าเสแสร้งยิ่งนัก

เฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงพลันสบตากันพร้อมกับมองดูงิ้วตรงหน้าด้วยความสนุกสนาน

ยามที่ตงหลิงจื่อชุนรับร่างของซูหว่านเอาไว้นั้น คล้ายกับเขากำลังจับมันฝรั่งร้อน ๆ ยิ่งนัก จะวางไว้ก็ไม่ได้ จะถือเอาไว้ก็ไม่ได้เช่นกัน ในยามที่ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรนั้น ก็พลันหันไปหาเสด็จอาเก้าราวกับกำลังร้องขอความช่วยเหลือ เสด็จอาเก้าหาได้ทำให้เขาลำบากใจไม่ “ยังตกตะลึงอะไรอยู่เล่า คุณหนูซูหว่านไม่สบายเช่นนี้ ยังไม่รีบประคองคุณหนูซูหว่านกลับไปพักผ่อนอีก อีกครู่หนึ่ง เปิ่นหวางจะส่งท่านหมอตามไปดูอาการ”

“หม่อมฉัน” ยามที่ซูหว่านกำลังจะบอกว่าตนเองไม่เป็นอันใดนั้น ก็พลันถูกเสด็จอาเก้าตัดบทออกมา พนร้อมกับใช้สายตาตวัดมองไปที่คุณหนูซูหว่านว่า “คุณหนูซูหว่าน เปิ่นหว่างไม่ชอบสตรีที่อ่อนแอ” พูดจบ ก็ทิ้งผู้คนที่อยู่ในจุดชมวิวและเดินจากไปในทันที

นี่มันหมายความว่าอันใดกัน?

ซูหว่านรู้สึกอับอายยิ่งนัก ยามที่เห็นสีหน้าของผู้คนที่มองมานั้น พร้อมกับมองร่างของเสด็จอาเก้าที่เดินลับสายตาไป ทำให้พวกเขารู้สึกงุนงงยิ่งนัก หากแต่ก็ไม่มีผู้ใดพูดอันใดออกมา ทั้งเป่ยหลิงเฟิ่งเฉียนและซีหลิงเทียนเหล่ยต่างก็มีสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจออกมาในทันที

เสด็จอาเก้าส่งเทียบเชิญ เชื้อเชิญพวกเขามาเช่นนี้ ถึงแม่ว่าจะไม่สนใจเขาก็ตาม ทั้งยังทิ้งแขกของตนเองอีก นี่มันไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตากันเกินไปแล้ว

องค์รัชทายาทได้แต่แย้มยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น เขารู้ดีว่ากับข้าวสำรับของเสด็จอาเก้ามิค่อยอร่อยนัก หลังจากที่รอตงหลิงจื่อชุนพยุงซูหว่านออกไปแล้วนั้น องค์รัชทายาทก็พลันกระแอมกระไอออกมาว่า

“องค์รัชทายาทเหล่ย ฝ่ายาทเฟิ่งเฉียน องค์หญิงเหยาหวาพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดอย่าให้ความสนใจเลยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จอาเก้าหาได้คิดละเลยทุกคนไม่ เพียงแต่ว่า เสด็จอาเก้ามิชอบให้ผู้ใดมาแตะต้องเนื้อตัวพะยะค่ะ เกรงว่าเสด็จอาเก้าคงไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่กระมัง ” ขออภัยคุณหนูซูหว่านจริง ๆ ที่ทำให้ท่านต้องอับอายเช่นนี้

ถึงแม้ว่าเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินจะใส่เสื้อสีชนกันเช่นนี้ เขาหาได้ไปเปลี่ยนอาภรณ์ไม่ เพียงชนกับคุณหนูซูหว่านเช่นนี้ ก็รีบไปเปลี่ยนทันที มิได้บ่งบอกว่าเสด็จอาเก้ารังเกียจคุณหนูซูหว่านหรอกหรือ

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าพลันบูดบึ้งไปในทันที เป่ยหลิงเฟิ่งเฉียนเองก็แอบเบะปากออกมาเล็กน้อยเช่นกัน พร้อมทั้งแอบคิดว่า เสด็จอาเก้าคิดเล็กคิดเล็กน้อยราวกับสตรีก็ไม่ปาน

หลังจากที่เสด็จอาเก้า ตงหลิงจื่อชุนและซูหว่านออกไปแล้ว ตี๋ตงหมิงพลันเดินมาพูดคุยกับหวังจิ่นหลิง เซี่ยซานและหวังชีในทันที “จิ่นหลิง เจ้าอย่ามัวแต่มาอยู่เป็นเพื่อนกับเฟิ่งชิงเฉินเพียงผู้เดียวสิ อย่าใดให้ผู้ใดมาพูดเอาได้ว่า ตั้งแต่เช้ายันเย็นเจ้าเอาแต่ขลุกอยู่กับเจ้าก้อนแป้ง”

พร้อมทั้งหันมากล่าวกับเฟิ่งชิงเฉินว่า “เจ้าก็เช่นกัน อย่าได้ตามติดกับหวังจิ่นหลิงทั้งคืนได้หรือไม่ เสมือนว่าข้ากับเจ้ามิใช่คนคุ้นเคยอย่างไรอย่างนั้น ท่านปู่ของข้าพูดหาเจ้าทุกสองสามวันเชียว ทั้งยังกล่าวว่า หากเจ้ามีเวลาให้ไปหาเขา ท่านปู่ข้าชื่นชอบเจ้ายิ่งนัก”

ตี๋ตงหมิงหาใช่คนโง่ไม่ เขาถือความปลอดภัยขององค์จักรพรรดิไว้ในมือเช่นนี้ ข้อมูลของเขาย่อมต้องมีความชัดเจนมากกว่าผู้ใด เมื่อเห็นว่า ทั้งหวังจิ่นหลิงและเสด็จอาเก้าต่างก็ปกป้องเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้ ตี๋ตงหมิงก็พอจะคาดเดาเรื่องทุกอย่างได้ในทันที

ความคิดของหวังจิ่นหลิงและตี๋ตงหมิงคล้ายกันยิ่งนัก พวกเขามิต้องหารให้ซีหลิงเทียนเหล่ยได้ตัวเฟิ่งชิงเฉินไป และไม่ต้องการให้นางโดนปีศาจเช่นซีหลิงเทียนเหล่ยทำร้ายอีกด้วย ด้วยชื่อเสียงและภูมิหลังของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว ย่อมไม่อาจถูกแต่งตั้งเป็นถึงพระชายารองขององค์รัชทายาทได้ แม้ได้เป็นเพียงนางสนมก็ถือว่าดีมากแล้ว แต่การทำเช่นนี้ ถือเป็นการดูถูกเฟิ่งชิงเฉินมากไปหน่อยกระมัง หากนางจักต้องเป็นนางสนมมิสู้แต่งเข้าตระกูลหวังจะดีกว่า

ยามที่หวังจิ่นหลิงกำลังพูดคุยกับพวกบุรุษทั้งหลายนั้น เฟิ่งชิงเฉินหาได้สอดมือเข้าไปยุ่งไม่ เพียงแค่ลุกขึ้น พลางกล่าวว่าจะออกไปดูวิวทิวทัศน์ด้านหน้า เนื่องด้วยจุดชมวิวเป็นรูปสี่เหลี่ยมซ้อนกันสองช่อง ยามที่นางเดินไปแต่ละที่ ย่อมได้รับทัศนีย์ภาพที่ไม่เหมือนกัน ยามที่แสงจากดวงจันทร์ส่องลงมากระทบกับใบบัวนั้น คล้ายกับว่าแสงของจันทราส่องผ่านชั้นเมฆลงมาเช่นนี้ ราวกับแดนสวรรรค์ก็ไม่ปาน เป็นอย่างที่หวังจิ่นหลิงกล่าวไว้เลยทีเดียว

โอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้ อย่างไรเฟิ่งชิงเฉินก็ยังคิดที่จะชื่นชมมันด้วยความเพลิดเพลิน นางหวังว่า มันจะช่วยขจัดปัญหาที่อยู่ภายในใจของนางได้ไม่มากก็น้อย ยามที่อยู่ในวังของเสด็จอาเก้านั้น หาได้ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยไม่ เฟิ่งชิงเฉินเดินไป พร้อมทั้งเพลิดเพลินไปกับวิวสองข้างทาง หวังจิ่นหลิงเพียงมองนางครู่หนึ่ง แล้วก็หันกลับไป

คนธรรมดาที่ได้อยู่กับเฟิ่งชิงเฉินย่อมต้องเสียเปรียบให้นางทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นกลลวงอันใด หวังจิ่นหลิงหาได้กลัวไม่ หวังจิ่นหลิงกลัวเพียงแต่ว่า บุรูษผู้นั้นจะเล่นเล่ห์เหลี่ยมของฃสมรสพระราชทานจากจักรพรรดิต่างหาก

องค์หญิงอันผิงที่ถูกเป่ยหลิงเฟิ่งเฉียนถามจนเบื่อแล้วนั้น เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินเดินออกไปจุดชมวิวเพื่อชมสระบัวก็พลันลากซีหลิงเหยาหวาให้ลุกขึ้น เพื่อเดินไปชมสระบัวด้วยกัน แท้จริงแล้ว นางรู้สึกไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นซีหลิงเหยาและพี่ชายของนางนั่งพูดคุยฉอเลาะกันเช่นนั้น

ฮึ สตรีผู้นี้ ทำให้นางต้องได้รับความอับอายต่อวันที่ปราบม้าพยศนั้น ยังคิดที่จะแต่งให้กับพี่ชายของนางอีกงั้นหรือ ฝันไปเถอะ!

ถึงแม้ว่าซีหลิงเหยาหวาจะไม่อยากไปนัก แต่ทว่า ในที่แห่งนี้ สตรีล้วนแต่เดินออกไปหมดแล้ว นางไม่อาจนั่งได้อีก รวมทั้งนางต้องฟื้นฟูความสัมพันธ์กับองค์หญิงอีกด้วย
แต่เดิม ซีหลิงเหยาหวานึกว่าองค์หญิงอันผิงจะเป็นเด็กหัวอ่อนที่สามารถเกลี้ยกล่อมได้ง่ายนัก หากแต่ไม่คิดเลยว่า องค์หญิงอันผิงหาได้เปิดโอกาสให้นางไม่ เพียงลากนางออกมาไม่กี่ก้าว ก็พลันปล่อยมือนางออกในทันที “เปิ่นกงจะกเดินไปเอง องค์หญิงซีหลิงเชิญตามสบายเลยเถิด ในวังของเสด็จอาเก้าเช่นนี้ ขอเพียงแค่เจ้าไม่มีลูกเล่นอันใด ย่อมไม่อาจมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นได้”

ซีหลิงเหยาหวาราวกับถูกตะปูแข็ง ๆ ตอกทับลงมาในทันที แม้ว่าภายในใจจักรู้สึกไม่พอใจนัก แต่นางก็ได้แต่ต้องอดทนอดกลั้นมันเอาไว้ ผู้ใดให้นางมาพบกับองค์หญิงอันผิงยามที่นางอารมณ์ไม่ดีกัน

องค์หญิงซีเหยาหวาอยากจะเดินกลับไป เพื่อพูดคุยอนาคตของตนเองกับตงหลิงจื่อลั่วอีก ทว่า เมื่อหันหน้ากลับไปก็พบว่า ตงหลิงจื่อลั่วกำลังพูดคุยกับเป่ยหลิงเฟิ่งเฉียน ซีหลิงเทียนเหล่ยและองค์รัชทายาทตงหลิงแล้ว นางจึงได้แต่ต้องนั่งลงบนม้านั่งเย็น ๆ เช่นเดืม

ภายในใจพลันรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก ซีหลิงเหยาหวาพลันรู้สึกเบื่อหน่ายมากขึ้นไปอีก เมื่อต้องมาเห็นเฟิ่งชิงเฉินที่เป็นอิสระเช่นนั้น

นางไม่เข้าใจ เฟิ่งชิงเฉินที่มิได้มีดีเท่านาง ผู้ที่สมควรจะอยู่ใต้เท้านางเช่นเฟิ่งชิงเฉิน เหตุใดถึงได้โดดเด่นขึั้นมาเป็นหงส์เช่นนี้ได้ ทั้งยังได้รับเทียบเชิญจากเสด็จอาเก้าอีก ทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบของคุณชายใหญ่อีกด้วย

ใบรรดาผู้คนที่อยู่ที่นี่ เฟิ่งชิงเฉินมีฐานะต่ำที่สุด ทว่า วันนี้ผู้ที่โดดเด่นที่สุดกับเป็นนาง แม้แต่ซูหว่านเองก็ถูกเฟิ่งชิงเฉินเขี่ยกระเด็นออกมาเช่นนั้น

“เฟิ่งชิงเฉิน กระแสน้ำย่อมมีวันเปลี่ยนทิศ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าในชีวิตนี้เจ้าจะได้ทุกอย่างไป ที่นี่คือตงหลิง เปิ่นกงจักอดทนเอาไว้ รอเสด็จพี่สามารถแต่งเจ้าเป็นสนมได้เมื่อไหร่ละก็ เปิ่นกงจะทำให้เจ้าได้เห็นเอง” ซีหลิงเหยาหวาพลันจ้องมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าทีชั่วร้าย แล้วจึงเดินเปลี่ยนทิศทาง ไปอีกทางหนึ่งในทันที

นางจะต้องทำให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นสนมของซีหลิงให้ได้ แม้แต่หวังจิ่นหลิงก็ไม่อาจขัดขวาง เช่นนี้ นางก็จะสามารถเหยียบย่ำเฟิ่งชิงเฉินไปชั่วชีวิตได้แล้ว

สตรีแต่งเข้าจวน ย่อมหมายถึงบ้านหลังที่สอง อีกทั้งภูมิหลังของเฟิ่งชิงเฉินมิได้ดีเท่านางนัก การแต่งงานของเฟิ่งชิงเฉิน ย่อมไม่อาจดีไปกว่านางได้

ด้วยวิวทิวทัศน์ที่สวยงามสามารถทำให้ผู้คนดื่มด่ำไปกับมันจนหลงทิศหลงทางได้ มิทันไร เฟิ่งชิงเฉินพลันเดินออกมาไกลจากผู้คนเสียแล้ว อีกทั้งตัวนางเองหาได้รู้สึกไม่ จนกระทั่งเฟิ่งชิงเฉินเห็นเสด็จอาเก้าก้าวขาออกมาจากความมืด พลันตกใจร้องออกมา “เสด็จอาเก้า?”

มิใช่ไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์หรือ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังขบคิดอยู่นั้น นางกลับพบว่าตนเองเดินหลงทางเสียแล้ว ทั้งยังไม่มีผู้ใดอยู่แถวนี้อีกด้วย

เสด็จอาเก้าเดินเข้ามา พร้อมกับแสงของดวงจันทร์ที่สาดส่อง อาภรณ์ยังคงอยู่ในชุดเดิม เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกตกใจยิ่งนัก หากแต่มิได้แสดงอาการอันใดออกมา”เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

มันเหมือนกับว่า เป็นความบังเอิญที่ถูกจัดฉากเอาไว้แล้วยิ่งนัก

เฟิ่งชิงเฉินพลันชี้ไปทิศทางที่นางเดินมา “หม่อมฉันเดิมมาตามทางเพคะ” เป็นเพราะท่าน ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ไม่ว่านางจะเดินไปที่ใดก็ต้องพบท่านงั้นหรือ เฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงฮึดอัดออกมา

“งั้นหรือ? นี่มันลานตำหนักของข้า” เสด็จอาเก้าแสร้งทำเป็นไม่เขื่อ พร้อมทั้งแย้มยิ้มออกมา ราวกับว่ารู้ทัน เจ้าอย่าได้เสแสร้งไป เปิ่นหวางรู้ตั้งนานแล้ว

อะไร? นี่คือลานตำหนักของเสด็จอาเก้า? นางเดินมาที่นี่ได้อย่างไรกัน