บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 231 ตามหา
“นี่ของเจ้า”วัลเดนโยนเอากระเป๋าใบหนึ่งมาให้ไป่จูเหวินหลังจากกลับมาหาพ่อค้าที่หน้าทางเข้าเมืองอีกรอบแล้ว ภายในนั้นมีเสื้อผ้าสะอาดและของกินอีกจํานวนหนึ่ง ทําให้ไป่จูเหวินมีเสื้อผ้าที่ไม่ขาดใส่เสียที
“ขอบคุณขอรับ”ไป่จูเหวินตอบพลางเอากระเป๋าเก็บเข้ามิติของตนด้วยความเคยชิน
“ข้าเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะเป็นไปได้หรือเปล่าที่คนของตระกูลโรซารี่จะลอยน้ํามาจนถึงทะเลฝั่งตะวันตกแบบนี้ได้หรือไม่ แต่เจ้าอยากลองไปตรวจสอบดูหรือเปล่าล่ะ”วัลเดนถามหลังจากเดินมาถึงกระท่อมของมัน
“แต่…ท่านไม่ต้องการคนช่วยงั้นเหรอ”ไป่จูเหวินถามพลางมองไปทางทะเล หลังจากฟังที่พ่อค้าเล่าให้ฟัง ดูเหมือนพวกโจรเถื่อนจะมาบุกอาทิตย์ละครั้ง หากพวกมันมาเป็นจํานวนมากวัลเดนอาจจะรับมือไม่ไหวก็ได้
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก”วัลเดนว่าพลางนั่งลงภายในกระท่อม
“ที่นี่เป็นเมืองเล็ก ไม่มีสมบัติอะไรมากมาย พวกมันไม่ยกคนจํานวนมากมาเสี่ยงกับเมืองแบบนี้หรอก” วัลเดนพูดจบก็เริ่มจุดไฟภายในเตาผิงช้าๆ เพราะกว่าพวกมันจะมาถึงก็เริ่มมืดแล้ว
“ หมายความว่าข้าไปได้หรือขอรับ”ไป่จูเหวินถามพลางก้มหน้าลงเล็กน้อย วัลเดนเป็นคนแรกที่มันเจอหลังจากได้สติ ทําให้ไป่จูเหวินรู้สึกไว้ใจวัลเดนไม่น้อย
“ข้าไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่อาจารย์เจ้า ทําไมเจ้าต้องมาถามข้าว่าไปได้หรือไม่กัน”วัลเดนว่าพลางเรียกดาบและโล่ของมันออกมาเพื่อทําความสะอาด
“เช่นนั้น ข้าจะไปขอรับ”ไป่จูเหวินตอบ แม้มันจะจําไม่ได้ แต่มันกลับรู้สึกเหงาอย่างประหลาด ราวกับอยู่ห่างจากครอบครัวมาไกลมาก บางทีการไปยังเมืองทางเหนืออาจจะทําให้มันได้พบกับครอบครัวอีกครั้งก็ได้
“ดี พรุ่งนี้ข้าจะฝากให้เอ็มม่านําทางเจ้าไป” พูดจบวัลเดนก็เรียกกล่องใบหนึ่งออกมาจากมิติ ภายในนั้นมีเหรียญที่ทําจากแร่เงินจํานวนหนึ่ง และเหรียญที่ทําจากทองอีก 1 เหรียญ แม้จะเป็นเงินไม่มากแต่ก็เป็นเงินที่วัลเดนเหลืออยู่หลังจากออกจากกองทัพ แต่ถึงจะเก็บไว้มันก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี
“ไปกับท่านเอ็มม่าแค่สองคนหรือขอรับ”ไป่จูเหวินถามด้วยความสงสัย เอ็มม่าคือหญิงสาวที่วัลเดนไปถามข่าวนั้นเอง
“นางเป็นพวกพเนจร นางรู้เส้นทางที่จะไปไหนมาไหนเสมอนั่นละ เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก”ได้ยินเช่นนั้นไป่จูเหวินก็พยักหน้าเข้าใจ
“เอานี้ไป อย่างน้อยก็น่าจะจ้างนางไปส่งเจ้าได้”วัลเดนว่าพลางนําเงินที่มันเอาออกมาส่งให้ไป่เหวิน เอ็มม่ารับงานทั่วๆไปรวมทั้งการขายข่าวด้วย มันรู้จักกับนางสมัยอยู่กองทัพ การที่นางเดินทางมาที่เมืองนี้และพักอยู่ ตอนที่ไป่จูเหวินโผล่มานับว่าเป็นโชคชะตาหรือไม่ก็ไม่ทราบ
“จริงสิ ท่านพูดถึงเรื่องของเทพแห่งท้องทะเล ท่านช่วยเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”ไป่จูเหวินรับเงินมาอย่างว่าง่าย พลางทวงถามเรื่องที่วัลเดนสัญญาว่าจะเล่าหลังจากกลับมาที่กระท่อมแล้ว
“ก็ได้ ถือว่าแก้เบื่อก็แล้วกัน”วัลเดนตอบพลางเล่าเรื่องตํานานที่มันทราบให้ไป่จูเหวินฟัง ในอาณาจักรไชน์แห่งนี้มีตํานานเทพอยู่มากมาย แต่ที่ผู้คนนับถือมากที่สุดคือเทพสามพระองค์ที่ปกครองดินแดนทั้งสาม โดยประกอบไปด้วยเทพผู้ปกครองสวรรค์ผู้ควบคุมสายฟ้า เทพแห่งทะเลผู้ปกครองผืนทะเล และเทพแห่งนรกผู้ปกครองโลกหลังความตาย แถมนอกจากนี้ยังมีเทพอีกจํานวนมากมีหน้าที่ต่างกันออกไป ทําเอาค่ําคืนเดียวผ่านไปไวราวกับโกหก
“ข้าไปก่อนนะขอรับ” หลังจากยามเช้ามาถึง ไป่จูเหวินก็ขอตัวลาวัลเดนเพื่อเดินทางไปดินแดนทางเหนือ
“ไปเถอะ ข้าจะดูแลชายหาดแห่งนี้ต่อ” วัลเดนพูดด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ แม้มันจะเป็นคนช่วยเหลือไป่จูเหวิน แถมหาเบาะแสและออกค่าเดินทางให้มันอีก แต่วัลเดนก็เคยชินกับการช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่รับสิ่งตอบแทนเสียแล้ว
คลื่นนนน…. หลังจากไป่จูเหวินเดินทางไปกับเอ็มม่าประมานหนึ่งเดือน วัลเดนก็ยังคงเฝ้าอยู่ที่ชายหาดเช่นเดิม แม้วันนี้จะเป็นวันที่พายุลงหนัก แต่วัลเดนก็ยังคงนั่งอยู่บนโขดหินเพื่อรอรับการบุกของพวกโจรเถื่อนอยู่ พวกมันบางคนใช้วิชาเกี่ยวกับน้ําได้ ต่อให้เป็นวันที่พายุเข้าพวกมันก็สามารถแล่นเรือได้ ทําให้คนที่วางใจในวันมีพายุโดนพวกมันเล่นงานอยู่บ่อยๆ
ซ่า วัลเดนจ้องมองเงาเรือที่กําลังแล่นเข้ามาอย่างช้าๆ คราวนี้พวกมันมากันมากทีเดียว แม้เมืองที่วัลเดนปกป้องจะไม่ใช่เมืองใหญ่ แต่มันก็เป็นทางเชื่อมไปยังเมืองอื่นๆได้เช่นกัน เรื่องที่มันบอกว่าพวกโจรจะไม่ยกคนมาบุกนั้นก็เป็น เรื่องโกหกทั้งสิ้น
เปรี้ยง! ระหว่างที่พวกโจรกําลังบุกเข้ามา อยู่ๆสายฟ้าสายหนึ่งก็พุ่งเข้าปะทะกับกองเรือของพวกมันอย่างรุนแรง ทําเอาเรือลําหนึ่งแตกครึ่งจมลงทะเลอย่างรวดเร็ว
“XXXXXXX”เสียงโหวกเหวกโวยวายของเหล่าโจรเถื่อนดังมาถึงชายฝั่ง แต่วัลเดนก็ไม่สามารถฟังออกอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้น
ตูม!! หัวเรือลําหนึ่งลอยหรือเข้ามาที่ชายฝฝั่ง มันกระแทกก้อนหินที่วัลเดนยืนอยู่จนสั่นสะเทือนไปหมด ตัวเรือมีรอยไหม้ดําเหมือนโดนเผา แถมยังมีไฟลุกอยู่อีกต่างหาก เพียงแต่รอยดํานั่นไม่ได้เกิดจากไฟ แต่เป็นสายฟ้าต่างหาก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”วัลเดนถามตนเองพลางมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ พวกโจรที่นั่งเรือกันมาโดนอะไรบางอย่างโจมตี แต่พอสายฟ้าเส้นแรกผ่าลงมา ละออกน้ําก็ฟังไปหมดจนมันมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
“อากกกก” เสียงร้องของเหล่าโจรเถื่อนดังระงมออกมาอย่างน่าขนลุก พร้อมสายฟ้าที่แล่นไปมาราวกับเกิดพายุฟ้าคะนองอยู่บนผืนทะเลไม่มีผิด
วูบ…หลังจากเสียงของพวกโจรเลื่อนเงียบไป ละอองน้ําก็ค่อยๆจางลง สิ่งที่วัลเดนเห็นคือร่างของชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนผืนทะเล รอบๆตัวมันปรากฏศพและเศษเรือจํานวนมากลอยไปทั้งทะเล ดูแล้วน่ากลัวอย่างมาก
ศึกวัลเดนเรียกดาบออกมาถือ แต่ใจของมันกลับไม่สู้เอาเสียเลย ทั้งๆที่ไม่เคยกลัวโจรเถื่อนมาก่อน แต่ต่อหน้าชายตรงหน้าวัลเดนกลับทําได้แค่ยืนถือดาบเท่านั้น
“ระหว่างมันสองคนไม่มีใครพูดอะไรทั้งสิ้น ชายแปลกหน้าเพียงเดินเข้ามาใกล้ชายฝั่งเรื่อยๆเท่านั้น ส่วนวัลเดนก็ได้แต่มองมันเดินเข้ามาเช่นกัน
น่าแปลก วัลเดนสัมผัสพลังของอีกฝ่ายไม่ได้เลย แค่ความจริงที่ว่ามันเดินบนผิวน้ํายังไม่ต้องนับเรื่องที่มันทําลายกองเรือของพวกโจรเถื่อนลงได้อีก มันสมควรจะมีพลังมหาศาลถึงจะถูก
“XXXXXX” ชายแปลกหน้าพูดออกมาด้วยภาษาประหลาด ทําให้วัลเดนฟังไม่เข้าใจ แต่ภาษาของมันก็ไม่เหมือนพวกคนเถื่อนเสียด้วย
“…”วัลเดนไม่ทราบว่าจะตอบอะไร แค่ชายตรงหน้ามันไม่โจมตีเข้ามาก็ทําเอาวัลเดนโล่งใจมากพอแล้ว
“xxxxx” ชายคนนั้นยังคงพยายามพูด มันยื่นเศษผ้าสีขาวออกมาพลางใช้ให้มันดู แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่พวกมันก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่องเสียที
“ข้าถามว่า เจ้าเห็นเด็กผู้ชายที่ใส่เสื้อผ้าแบบชิ้นนี้หรือเปล่า” ชายแปลกหน้าถามด้วยภาษาของอาณาจักรตนเอง แต่ดูเหมือนมันจะทําให้วัลเดนเข้าใจไม่ได้
“XXXXX”วัลเดนพยายามตอบด้วยภาษาของตนเอง แต่ความห่างของภาษานั้นกลับไม่อาจทําลายได้โดยง่าย
“บ้าเอ้ย” พยัคฆ์อัสนีโวยพลางกําเศษเสื้อของไป่จูเหวินแน่น ปกติเสื้อที่ถักโดยใยแมงมุมของอสูรแมงมุมไม่สมควรขาดได้ แต่เพราะพลังโจมตีของอสูรปักเป้ารุนแรงเกินไปจริงๆ ทําให้แม้แต่ใยแมงมุมของอสูรแมงมุมยังขาดไม่เหลือชิ้นดี แต่พยัคฆ์อัสนียังคงเชื่อว่าเสื้อของไป่จูเหวินอาจจะไม่ขาดทั้งหมดก็ได้ ตัวมันที่ตามหามาถึงอีกฝั่งของทะเลเจอเศษเสื้อของไป่จูเหวินลอยอยู่ไม่กี่ชิ้น มันเลยเอาเศษเสื้อนี้มาลองถามคนต่างแดนดู
“ทําไมทั้งโลกไม่พูดภาษาเดียวกันนะ” พยัคฆ์อัสนีถอนหายใจพลางมองกลับไปทางทะเล หากเอามังกรธรณีมาด้วย บางทีมันอาจจะแปลภาษาของคนในดินแดนนี้ออกก็เป็นได้
ฟุดฟิดๆ อยู่ๆจมูกของพยัคฆ์อัสนีก็ได้กลิ่นบางอย่าง มันเป็นกลิ่นของไป่จูเหวินอย่างแน่นอน
“นี่มัน” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางเดินเข้าไปในบ้านของวัลเดน ทั้งหอกที่ไปจเหวินเคยใช้ทั้งเสื้อผ้าที่มันเคยใส่ต่างทิ้งกลิ่นเอาไว้อย่างบางเบา แต่มันก็ทําให้พยัคฆ์อัสนีมั่นใจได้ว่าไป่จูเหวินเคยมาที่นี่อย่างแน่นอน
“เจ้าน่ะ ทําไมกลี่ยของจูเอ๋อถึงอยู่ในบ้านของเจ้า” พยัคฆ์อัสนีถามพลางหันไปมองวัลเดน
“XXXXX”วัลเดนก็ยังคงใช้ภาษาของทางนี้ตอบไป แต่พยัคฆ์อัสนี้ไม่ใช่อัจฉริยะทางด้านภาษา มันฟังไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
“เออ ข้าผิดเอง” พยัคฆ์อัสนียอมแพ้เรื่องจะสื่อสารกับวัลเดน มันหันกลับไปมองใบกระท่อมพลางเพ่งมองไปยังเมืองที่อยู่บนเนิน แม้จะไม่มาก แต่ก็มีร่องรอยของไป่จูเหวินอยู่
“หึหึ” พยัคฆ์อัสนียิ้มพลางเรียกสายฟ้าออกมารอบๆตัว อย่างน้อยมันก็มั่นใจได้เสียที่ว่าไป่จูเหวินยังไม่ตาย
เปรี้ยงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!! พยัคฆ์อัสนียิงสายฟ้าขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทําเอาพริบตา ทําเอาพายุที่กําลังสาดสายฝนลงมายังพื้นเบื้องล่างสลายไปในพริบตา ที่พยัคฆ์อัสนีทําแบบนี้ก็เพื่อส่งสัญญาณให้เหล้าราชาคนอื่นๆทราบนั่นเอง
“เทพผู้ใช้สายฟ้า” วัลเดนรําพึงพลางมองสายฟ้าจํานวนมากที่พยัคฆ์อัสนีปล่อยออกมา แม้คนที่มีพลังธาตสายฟ้าจะมีให้เห็นอยู่บ้าง แต่คนที่ควบคุมสายฟ้าได้ขนาดนี้ก็คงมีแต่เทพเท่านั้นกระมัง
“รอก่อนเถอะจูเอ๋อน้ามาแล้ว” พยัคฆ์อัสนี ว่าพลางเดินขึ้นไปที่เมือง มันจะต้องตามหาไป่จูเหวินให้เจอ