ตอนที่ 488 โดนสังหาร
หลังเกิดเรื่องของซางกวนถงแล้วอันหลิงเกอก็มิวางใจให้คนนอกอยู่ในจวนอีก มิว่าเป็นฝีมือของแม่นมหรือไม่ นางก็ส่งคนที่ปรนนิบัติรับใช้องค์ชายน้อยไปยังวัดของหลี่กุ้ยเฟยหมด
เพราะคนของจวนอ๋องมู่ นางสามารถใช้ได้ตามอำเภอใจ
สำหรับคนเหล่านี้ถ้าฮ่องเต้มิอนุญาตให้มาดูแลองค์ชายน้อย สองสามีภรรยาก็คงได้พักอย่างสบายใจ
หลังเหตุการณ์นี้ก็ยังมีความโศกเศร้าที่อธิบายมิได้รอจวนอ๋องมู่อยู่
วันนี้อันอิงเฉิงส่งเทียบเชิญมาให้อันหลิงเกอ นางมิได้กลับจวนโหวนานแล้วจึงมิรู้ว่าเป็นเยี่ยงไรบ้าง แต่นางก็ไปเพราะอย่างไรอันอิงเฉิงก็เป็นบิดา
แต่เรื่องที่นางคาดมิถึงก็คือการจากลากำลังรอนางอยู่อีกครั้ง ที่แท้ฮูหยินผู้เฒ่าก็ล้มป่วยมานานและคงมีชีวิตอยู่ได้อีกมินาน ท่านย่าอยากพบอันหลิงเกอมาโดยตลอดเพราะมีบางเรื่องอยากบอกให้ทราบ
“เกอเอ๋อ…” เดินเข้าไปได้มินานก็เห็นฮูหยินผู้เฒ่ายื่นมือมาทางอันหลิงเกอ เวลานี้นางอ่อนแอมาก มิมีแม้แต่เรี่ยวแรงลุกขึ้นมานั่ง อันอิงเฉิงกล่าวว่าความปรารถนาสุดท้ายของท่านย่าคือการได้พบอันหลิงเกอ
“ท่านย่าเจ้าคะ” หลายวันมานี้อันหลิงเกอรู้สึกเหนื่อยล้า เมื่อคิดได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าอยากพบนางเป็นการส่วนตัวจึงอดรู้สึกเสียใจขึ้นมามิได้
“เกอเอ๋อ ย่าต้องขอโทษเจ้าด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่าที่เข้าใกล้ความตายทุกขณะจึงนึกถึงเรื่องราวมากมายในอดีต หากปกป้องหลานของตนได้ดีกว่านี้ก็คงมิทำให้นางร้องไห้อย่างหนัก
อันหลิงเกอก็รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะกล่าวอันใด นางแค่ส่ายหน้าจากนั้นก็กุมมือของฮูหยินผู้เฒ่าไว้ นางจดจำได้ว่าผู้ที่คอยปกป้องครั้นอยู่ในจวนโหวมากที่สุดก็คือท่านย่า
“ท่านย่า…” อันหลิงเกอมิรู้ว่าควรกล่าวอันใดจึงมิได้พูดออกมา ในเวลานี้นางเสียใจมากเพราะก็มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อฮูหยินผู้เฒ่ามิน้อย
“มิต้องกล่าวอันใดเพราะย่าล้วนเข้าใจ แท้จริงแล้ว…ย่ารู้ว่าเจ้าต้องกลับ กลับมาจริง ๆ ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเช่นนี้ทำให้อันหลิงเกอคาดมิถึงว่าอีกฝ่ายก็รู้เรื่องราวของตน แต่พอคิดได้ว่าท่านย่าเองก็มีชื่อเสียงเลื่องลือย่อมเป็นธรรมดาที่จะรู้
“ท่านย่า หลานคือเกอเอ๋อของท่าน มิว่าเกิดอันใดขึ้นหลานก็ยังเป็นเกอเอ๋อของท่านย่าเจ้าค่ะ”
“ย่าผิดต่อเจ้า ผิดที่ปกป้องเจ้าไม่ดี วันข้างหน้า วันข้างหน้าเจ้าต้องดูแล…” ฮูหยินผู้เฒ่ายังมิทันกล่าวจบ รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้าก็หุบลง น้ำตาหยดสุดท้ายไหลรินออกจากดวงตาแล้วนางก็หลับตาลง
อันหลิงเกอรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าลาจากโลกนี้ไปแล้ว นางกะพริบตาและเรื่องราวมากมายเมื่อครั้งอยู่ในจวนโหวก็ไหลออกมาพร้อมหยาดน้ำตา ทุกสิ่งผ่านพ้นไปและมิอาจย้อนกลับได้อีก
ในตอนที่อันหลิงเกอเดินออกมา อันอิงเฉิงก็รออยู่แล้ว อันหลิงเกอพยักหน้าให้และเขาจึงเข้าใจ เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าหลังจากฮูหยินผู้เฒ่าได้พบอันหลิงเกอก็คงสิ้นใจ แต่ยามนี้เขาก็ยังอดโศกเศร้ามิได้ อันหลิงเกอตามบิดามายังห้องโถงด้านหน้า ดูเหมือนเขามีเรื่องคุยกับนาง
“เกอเอ๋อ พ่อมีเรื่องคุยกับเจ้า” อันอิงเฉิงแสดงสีหน้าจริงจัง อันหลิงเกอกะพริบตาหนึ่งครั้งเพื่อส่งสัญญาณให้อันอิงเฉิงกล่าวต่อ
“หลายวันมานี้พ่อคิดเรื่องการสืบทอดตำแหน่งของพ่ออยู่นานมาก ทั้งหมดของพ่อล้วนเป็นของเจ้า พ่อปรารถนามอบตำแหน่งให้บุตรชายของเจ้า แม้ว่ามู่หนิงอายุยังน้อยแต่ก็เป็นบุตรของอ๋องมู่ พ่อเชื่อว่าภายใต้การช่วยเหลือของเจ้าและอ๋องมู่จักสามารถนำพาต้าโจวไปถึงจุดสูงสุดได้”
อันหลิงเกอมิเคยรู้สึกว่าอันอิงเฉิงเอาเปรียบแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นคืออันอิงเฉิงก็อายุมากแล้วจึงมิจำเป็นต้องครองตำแหน่งใดอีก
“เกอเอ๋อ เจ้าฟังพ่อพูดให้จบก่อน ภายในจวนโหวมิมีบุตรของผู้ใดที่พ่อพึงพอใจสักคน พ่อจึงอยากฝากความหวังไว้ที่เจ้า”
“บัดนี้ท่านพ่อยังอยู่เป็นหลักให้ทุกคน มิจำเป็นต้องร้อนใจเพราะเรื่องในอนาคตก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตสิเจ้าคะ” อันหลิงเกอยังยืนหยัดเพราะมิอยากเห็นอันอิงเฉิงยกทั้งหมดให้นางเร็วเยี่ยงนี้
เรื่องในอดีตก็ผ่านพ้นไปแล้ว ตอนนี้หลี่อี๋เหนียงมิสามารถสร้างปัญหาอันใดได้ อันหลิงอีก็ซ่อนตัวอย่างเงียบ ๆ ทุกอย่างล้วนดำเนินไปในทิศทางที่ดี
“เกอเอ๋อ เจ้ารับปากพ่อสิ หากยินยอมแล้ว พ่ออยากพาหลี่ซื่อออกไปอยู่ข้างนอกด้วยกัน” อันอิงเฉิงกล่าวจบแล้วอันหลิงเกอก็รู้ความหมายที่แฝงอยู่ทันที
ท่านพ่อมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อหลี่อี๋เหนียง แต่มิว่าด้วยเหตุผลอันใด เขาพาอีกฝ่ายจากไปก็เพื่อลดความยุ่งยากให้นางนั่นเอง
ถึงอย่างไรนางย่อมมองออกว่ามู่จวินฮานและท่านพ่อต้องเสียสละมากมายเพื่อสืบทอดตำแหน่งที่ได้รับมาจากบรรพชน วันข้างหน้านางต้องดูแลมู่หนิงให้ดี มิให้เขาตัดสินใจผิดพลาดเพียงเพื่อสืบทอดตำแหน่งของบรรพบุรุษอีก
เมื่ออันหลิงเกอกลับถึงจวนอ๋องมู่ มู่จวินฮานก็เดาได้ว่าอันอิงเฉิงสนทนาอันใดกับนาง ตอนนี้อันอิงเฉิงไร้ทายาทที่พึงพอใจ ดูจากสถานการณ์ก็รู้แล้วว่าอยากมอบตำแหน่งให้หลานชาย
ประการที่หนึ่งเพราะเป็นพันธมิตรกับจวนอ๋องมู่ ประการที่สองคืออยากส่งเสริมอันหลิงเกอ
แต่อันหลิงเกอคาดมิถึงว่ารวดเร็วเยี่ยงนี้เพราะหนิงเอ๋อยังเด็กมาก ทว่าต้องแบกรับตำแหน่งซื่อจื่อจวนอ๋องมู่ไว้บนบ่าแล้ว
บัดนี้ดูเหมือนว่าชางเอ๋อมีความคิดเป็นของตนเองมากทีเดียว ตั้งแต่เขานับถือท่านแม่ทัพเป็นอาจารย์ก็ไร้การไปมาหาสู่กับมู่จวินฮานแต่อย่างใด
เขามักอยู่อย่างโดดเดี่ยวตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากมิสนทนากับสองสามีภรรยาแล้วก็ยังมิได้ไปมาหาสู่กับคนในจวนอ๋องมู่อีก
และสิ่งที่อันหลิงเกอมิรู้ก็คือในช่วงเวลาที่ชางเอ๋อว่างก็มักตามบ่าวไปยังวัดหลังเขาเป็นประจำเพื่อเฝ้ามองมารดาที่แท้จริง
หลี่กุ้ยเฟยมิรู้ว่าทุกครั้งที่ตนทำงานยุ่งอยู่ในลานกว้าง มักมีคนผู้หนึ่งแอบมองนางจากที่ไกลเสมอ
เมื่อเห็นหลี่กุ้ยเฟยเข้าห้องไปแล้ว ชางเอ๋อมักยื่นหน้าออกมาจากลาน เขากำลังจากไปโดยมิเผยตัวแต่ได้ยินเสียงตึงตังดังมาจากด้านหลังและสตรีที่อยู่ในห้องก็เดินออกมา
เวลานี้หวีที่อยู่ในมือของนางล่วงหล่นลงพื้น นางมองไปยังเด็กที่อยู่ตรงหน้าก่อนหยดน้ำตาจะไหลรินอย่างมิอาจหักห้ามได้ ชางเอ๋อมองหลี่กุ้ยเฟยที่ในตอนนี้เส้นผมของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวและดูซูบผอมมากทีเดียว
“ลูก…” เมื่อหลี่กุ้ยเฟยเห็นชางเอ๋อแล้วภายในใจก็บอกนี่คือโอรสของตน นี่คือชางเอ๋อของนางและนางจดจำเขาได้
“ท่านแม่…” แม้ชางเอ๋อมิอยากให้หลี่กุ้ยเฟยพบตนเพราะมิมีแม้แต่แรงปกป้องตนเองได้แล้วจักเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาปกป้องนาง
เขารู้ว่าหากกล่าวอันใดไปก็ไร้ประโยชน์ ทว่าเขาอดเรียกนางมิได้ จากนั้นเขาก็วิ่งลงจากภูเขาไปอย่างรวดเร็วและมิหันกลับมามองหลี่กุ้ยเฟยอีก
“ชางเอ๋อ ชางเอ๋อ” หลี่กุ้ยเฟยพยายามเรียกเขาอยู่ด้านหลังแต่เขาก็มิสนใจ เขามิกล้าหันหลังเพราะกลัวว่าหากหันไปแค่เพียงเสี้ยวเดียวจักอาลัยอาวรณ์จนมิอยากจากนางไปอีก
หลี่กุ้ยเฟยมองชางเอ๋อที่จากไปกระทั่งหายลับไปจากสายตา นัยน์ตาของนางฉายแววเจ็บปวดออกมา เพียงอึดใจเดียวที่นางได้เห็นหน้าเขาเมื่อครู่ก็ทำให้รู้สึกอาลัยอาวรณ์เสียแล้ว