ตอนที่ 489 อาลัยอาวรณ์

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 489 อาลัยอาวรณ์

หลี่กุ้ยเฟยรู้ว่าอันหลิงเกอไม่มีทางปฏิบัติมิดีต่อชางเอ๋อแน่นอน นางมองออกตั้งแต่เสื้อผ้าของชางเอ๋อแล้วว่าอันหลิงเกอดูแลเขาเป็นอย่างดีและนางก็ได้ยินมาว่าอันหลิงเกอก็มีบุตรเป็นของตนแล้วเช่นกัน

ช่วงเวลาที่ได้พักพิงอยู่ในวัดแห่งนี้ ภายในใจของนางก็ได้สัมผัสถึงความเงียบสงบมากทีเดียว นางในอดีตมิเคยเข้าใจคุณค่าของความสงบเยี่ยงนี้มาก่อน แต่บัดนี้ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว

ฮ่องเต้รับสั่งให้คนมารับนางกลับวังหลายครั้งหลายครา แต่นางก็มิยอมจากไป

แท้จริงแล้วการอยู่ในโลกที่แสนวุ่นวายเยี่ยงนี้แค่มีที่นา มีเรือนเป็นของตนเองก็มีความสุขมากแล้ว ผู้คนมากมายมิเคยได้สัมผัสความเงียบสงบเยี่ยงนี้มาก่อนจึงถือได้ว่านางเป็นผู้โชคดีจริง ๆ

เฉกเช่นมู่จวินฮานและอันหลิงเกอที่ถูกกำหนดมาให้แบกรับภาระหนักอึ้งมากมาย พวกเขามิมีทางได้สัมผัสความสงบทางใจเป็นแน่ กอปรกับมิสามารถหยุดพักได้เลย พวกเขาจึงต้องวุ่นวายต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

บัดนี้หลี่กุ้ยเฟยก็เพิ่งคิดได้ว่าตนในอดีตคิดแต่อยากครอบครองตำแหน่งสูงศักดิ์ กระทั่งคบชู้กับผู้อื่นและยังช่วยให้องค์ชายเจ็ดทำร้ายฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอีกด้วย หัวใจของนางตอนนั้นไร้ซึ่งความรู้สึกใด

รวมทั้งยามที่หลี่ซื่อประสบความลำบาก ในฐานะญาติทางสายเลือดดูเหมือนว่านางไร้ซึ่งความหวั่นไหวอันใดและมิมีแม้แต่ความรู้สึกสงสารสักเสี้ยวเดียวในใจ

มาวันนี้นางได้พบชางเอ๋อ ญาติเพียงคนเดียวของนางและจู่ ๆ ก็มีความรู้สึกที่อยากออกไปเพื่ออยู่เคียงข้างบุตรชาย

ชางเอ๋อกลั้นใจวิ่งกลับมาถึงจวนอ๋องมู่ เขาปิดประตูห้องอย่างแน่นหนาและมิต้องการพบผู้ใดในตอนนี้ เขามิรู้ว่าควรบรรยายความรู้สึกที่มีออกมาได้เยี่ยงไร วันนี้เขาได้เจอกับมารดาที่คะนึงหาอยู่ทุกช่วงลมหายใจแล้ว

แม้เขาอายุยังน้อยแต่มิเคยลืมในสิ่งที่แม่นมบอกเอาไว้ก่อนออกจากจวนไป

“องค์ชายโปรดจำไว้ว่าท่านแม่ขององค์ชายต้องอาศัยอยู่ในสถานที่แสนลำบากเยี่ยงนี้เพราะพระชายามู่กับอ๋องมู่เพคะ ! ”

“องค์ชายต้องมุมานะให้มากเพื่อวันข้างหน้าจักได้นำพาท่านแม่กลับเข้าวังหลวงและให้พระเชษฐาได้คืนสู่สถานะองค์ชายอีกครั้งเพคะ”

ทุกประโยคล้วนทำให้ชางเอ๋อจดจำฝังลึกในใจตั้งแต่ยังเยาว์วัย

เสียงที่หลี่กุ้ยเฟยเรียกเขาช่างอบอุ่น ทำให้ในใจของเขาเกิดความรู้สึกประหลาดที่มิอาจบรรยายออกมาได้ เขาคิดถึงมารดาและปรารถนาที่อยากรู้จักนาง

“เกอเอ๋อ” มู่จวินฮานเห็นอันหลิงเกอนั่งอยู่ในสวนดอกไม้ด้านหลังจึงยกยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตรงไปหานาง เวลานี้นางนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่และเมื่อเห็นมู่จวินฮานเดินเข้ามาหา นางก็รู้สึกดีใจมาก

“จวินฮาน ท่านมาแล้ว” อันหลิงเกอยืนขึ้นและมองมู่จวินฮานตรงหน้า

“อีกสองวันก็เป็นวันตกฟากของเจ้าแล้ว” มู่จวินฮานมองนางด้วยแววตาอ่อนโยน แท้จริงแล้วในสายตาของเขาคือเรื่องทุกอย่างล้วนมิสำคัญไปกว่าอันหลิงเกอ

อันหลิงเกอพยักหน้า บัดนี้นางมิได้สนใจเรื่องวันตกฟากอันใดอีกแล้ว เพราะทุกวันนี้แค่มีมู่จวินฮานเคียงข้าง นางก็มิหวั่นเกรงสิ่งใดอีก

ยามที่เล่นไพ่นกกระจอก เขาก็มิได้กล่าวอันใดกับนาง ผ่านไปสองสามวันก็ถึงวันตกฟากของนางและเขาได้ประกาศให้ทั่วหล้าได้รับรู้ว่าจักมอบตำแหน่งของตนให้แก่บุตรชาย ส่วนบุตรีก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจวิ้นจู่

ข่าวนี้ได้แพร่ไปทั่วหล้าในชั่วพริบตาเดียว

อย่างไรในสายตาของทุกคนแล้วจวนโหวอันและจวนอ๋องมู่ล้วนแต่ทำเพื่อรักษาความหวังของต้าโจวไว้ ทั้งสองคนล้วนยกตำแหน่งให้แก่บุตรที่ยังเป็นทารก ผู้ใดก็มองออกว่าทั้งสองตระกูลให้ความสำคัญต่ออันหลิงเกอมากเพียงใด

มู่จวินฮานยังอ่อนเยาว์และวันข้างหน้าเขายังสามารถมีทายาทสืบสกุลเพิ่มได้อีก แต่เขาดำเนินแผนการได้สำเร็จลุล่วงรวดเร็วเยี่ยงนี้ย่อมมองออกว่าเขาโปรดปรานอันหลิงเกอมากทีเดียว

ส่วนในใจของชางเอ๋อนั้นขุ่นมัวมากขึ้นเพราะเรื่องนี้

“มู่หนิง” ครานี้ชางเอ๋อมิได้ลอบทำร้ายจากในที่ลับอีกแล้วเพราะข้างกายของมู่หนิงมิมีผู้ใด เขารู้ว่านี่เป็นโอกาสดีในการลงมือ

เนื่องจากหนิงเอ๋อยังเด็กมากและมิรู้ความอันใดจึงทำได้เพียงส่งยิ้มไปทางชางเอ๋อ

มู่หนิงมองไปทางชางเอ๋อ อีกฝ่ายมิได้มาหาตนบ่อยแต่วันนี้สามารถมาได้มู่หนิงจึงดีใจมากทีเดียว

“อีกสองวันก็เป็นวันรับพระราชโองการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ของเจ้า ดังนั้นพี่ชายจึงมีของขวัญที่อยากมอบให้เจ้า” ชางเอ๋อยังแสดงท่าทีของพี่ชายผู้แสนดี ครั้งแรกที่พยายามทำร้ายอีกฝ่ายยังมีความรู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่บัดนี้มิสนใจอันใดอีกแล้ว

ชางเอ๋อมิรู้หรอกว่าหนิงเอ๋อเข้าใจหรือไม่ เขาแค่ต้องการแสดงความรู้สึกผิดให้น้อยลงเท่านั้น

ถึงอย่างไรชางเอ๋อก็ยังเป็นเด็ก แม้กล่าวว่าองค์ชายของฮ่องเต้ทรงโดดเดี่ยวเดียวดายมาตั้งแต่วัยเยาว์แต่ก็ฉลาดเกินอายุ

มู่หนิงมองชางเอ๋อด้วยสีหน้าที่แต้มไปด้วยความหวัง ทั้งสองคนยังยิ้มให้กันด้วยความอบอุ่น

มิมีผู้ใดรู้ถึงความชั่วร้ายบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่หลังความอบอุ่นนี้ นัยน์ตาของชางเอ๋อราวกับมีไฟกำลังลุกโชนและไฟที่ก่อกวนเขามานานหลายปีในที่สุดก็ถึงคราวแผดเผา

“หนิงเอ๋อ เจ้าหลับตาก่อนแล้วพี่ชายจักมอบของขวัญให้เจ้า” น้ำเสียงของชางเอ๋อสั่นเครือเล็กน้อย ในใจของเขาแทบทนมิไหว

มีดพกที่อยู่ในมือของเขาส่องประกายแวววับออกมา ใบหน้าค่อย ๆ บิดเบี้ยวส่วนใบหน้าของมู่หนิงยังแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม มุมปากของชางเอ๋อยกยิ้มแบบที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในขณะที่ชางเอ๋อกำลังยกมีดพกขึ้นมาแล้วเตรียมแทงบนหน้าของมู่หนิงก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งจับข้อมือของชางเอ๋อไว้ อย่างไรชางเอ๋อก็ยังเด็กจึงมิสามารถขยับเขยื้อนได้

ชางเอ๋อเงยหน้ามองไปยังเจ้าของมือนี้และตกตะลึงอยู่ที่เดิม ชิงเฟิงที่จับมือของเขากำลังมองมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก และในขณะเดียวกันมู่หนิงก็ลืมตาขึ้นมา

“คุณชายใหญ่ยังจำสถานที่แห่งนี้ได้หรือไม่ขอรับ ? ” ชิงเฟิงมองชางเอ๋ออย่างจริงจัง

ชางเอ๋อเพิ่งสังเกตว่าสถานที่นี้เป็นจุดที่ซางกวนถงสิ้นใจโดยมิคาดคิด

ชางเอ๋อในตอนนั้นก็ยังมิรู้ความ ทว่าต่อมาแม่นมบอกเรื่องทุกอย่างกับเขาก่อนออกจากจวนไป ในความทรงจำที่ยังคลุมเครือก็เข้าใจในที่สุดว่าคนมากมายต้องตายเพราะตน

“ยังจำได้หรือไม่ว่าเพราะคุณชายใหญ่จึงทำให้แม่นมสังหารซางกวนถง ? ” น้ำเสียงของชิงเฟิงดุจเสียงของปิศาจที่แทรกซึมเข้ามาในหูของคนฟัง ทำให้เกิดเสียงอื้ออึงดังขึ้นในสมองของชางเอ๋อ พริบตาเดียวก็รู้สึกตายด้านไปทั้งร่าง

“อ่า จริงสิ คนที่คุณชายอยากทำร้ายมาตลอดก็คือท่านอ๋อง พระชายาและคุณชายน้อย ! ” นัยน์ตาของชิงเฟิงฉายแววเย็นยะเยือกขึ้นมา องค์ชายที่ท่านอ๋องและพระชายาเมตตาเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีพระองค์นี้กลับมีจิตใจต่ำช้าได้อย่างมิน่าเชื่อ

“พี่ชิงเฟิง…” นัยน์ตาของชางเอ๋อฉายแววสับสนมิเข้าใจ คาดมิถึงว่าทุกอย่างที่กระทำมาล้วนตกอยู่ในสายตาของชิงเฟิงทั้งสิ้น

เวลานี้ชิงเฟิงมิได้มองเขา หลังจากที่ซางกวนถงลาโลกไปครานั้น ชิงเฟิงก็จำฝั่งใจมาโดยตลอดแล้วจักลืมได้เยี่ยงไร แต่ชางเอ๋อมิรู้เพราะคิดว่าแม่นมทำไปโดยมิได้ตั้งใจ

สำหรับชิงเฟิง เขาเห็นว่าเรื่องที่มิมีวันให้อภัยก็คือตนปกป้องความปลอดภัยในจวนอ๋องมิได้จึงทำให้แม่นมสบโอกาสทำเรื่องชั่วช้าขึ้นมา