หลังจากที่หลินจือคุยกับเจเทาวน์ผ่านโทรศัพท์เสร็จแล้ว ก็เรียกนานิให้ตื่นขึ้นมากินข้าว
ขณะที่คนทั้งสองกำลังกินข้าวอย่างสบายอยู่นั้น ก็มีคนมากดกริ่งเรียกที่หน้าประตูบ้านของหลินจืออีก
หลินจือรีบไปเปิดอย่างงงๆ คนที่กำลังยืนอยู่ด้านนอกเป็นพนักงานขายของเครื่องใช้ในบ้านที่เป็นแบรนด์ที่ไหนสักร้าน ด้านหลังตามมาด้วยพนักงานที่ยกลังเข้ามา
ใบหน้าของพนักงานขายหญิงคนนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มพูดกับหลินจือว่า “ท่านประธานเทาเท่สั่งจองพวกเครื่องใช้ที่ใช้สำหรับรับประทานอาหารกับทางเราไว้ ให้ทางเรานำมาส่งที่นี่ค่ะ”
หลินจือ “……”
นี่เทาเท่จะทำอะไรอีก?
คงไม่ใช่เพราะเมื่อกี้เห็นเจเทาวน์ส่งพันธุ์ไม้มาให้ แล้วเขาก็อยากที่จะส่งของมาให้เธอมากกว่านี้หรอ?
หลินจือยังไม่ทันตั้งตัว พนักงานขายคนนั้นก็กำชับคนงานให้เอาสองลังใหญ่ยกเข้าไปไว้ในห้องรับแขกของหลินจือ
นานิเดินเข้ามาอย่างประหลาดใจ หลังจากที่ยื่นโค้งตัวลงไปเปิดในลังมีเซ็ตจานที่ปราณีตอยู่สองชุด แล้วก็พวกชุดหม้อ ทั้งหมดเป็นแบบที่กำลังฮิตอยู่ในตอนนั้น
นานิอดไม้ได้ที่จะพูดด้วยเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ต้องยอมรับแล้วมั้งว่าครั้งนี้เทาเท่เอาใจใส่จริงๆ เขารู้ว่าเธอชอบของพวกนี้ ถือว่าเป็นการลงทุนในสิ่งที่เธอชอบ
หลินจือชอบเซ็ตเครื่องใช้ที่ใช้สำหรับรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบที่กำลังเป็นที่นิยม มันทำให้เธอใจสั่น
ผู้จัดการคนนั้นก็เอากล่องที่ห่ออย่างประณีตยื่นให้กับหลินจืออีก “แก้วนี้ก็เป็นท่านประธานเทาเท่ตั้งใจฝากให้พวกเราเอามาด้วยค่ะ”
หลังจากที่หลินจือได้เปิดดูแล้วก็ให้ตะลึงอยู่ตรงนั้น เพราะนี่เป็นแก้วmugที่ครั้งที่แล้วเทาเท่ได้ทำแตก ตอนนั้นทำให้เธอปวดใจมาก
นานิเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ “พระเจ้า เทาเท่กลับหาคนทำออกมาให้เหมือนกับของเก่าเป๊ะจริงๆเลย”
หลินจือถามนานิอย่างแปลกใจ “เธอรู้ได้ไง?”
นานิก็เลยเอาเรื่องที่เท่าเทมาขอรูปแก้วกับเธอเล่าให้หลินจือฟัง แต่ตอนนั้นนานิรู้สึกว่านี่เป็นของชิ้นเดียวที่หลินจือเอามาจากต่างประเทศ หาซื้อไม่ได้แน่นอน จะให้มาทำเป็นแบบเดียวกันเป๊ะคงยากอยู่
คิดไม่ถึงเลยว่าเทาเท่จะเอาแบบเดิมที่เหมือนกันเป๊ะมาให้ นานินับถือด้วยความใจจริง
หลินจือพูดไม่ออกชั่วขณะ เธอก็คิดไม่ถึงว่าเทาเท่จะเก็บเรื่องแก้วที่ทำแตกมาใส่ใจ
ผู้จัดการหลังการขายนั้นพูดยิ้มๆ “โอเคค่ะ ภารกิจของพวกเราเสร็จแล้ว หวังว่าคุณจะชอบผลิตภัณฑ์ของพวกเรานะคะ”
ผู้จัดการหลังการขายพูดแล้วก็เดินหันหลังกลับไป หลินจือขวางเธอไว้ “ฉันไม่รับไว้ได้ไหมคะ?”
หลินจือเพิ่งจะสาบานว่าแบ่งเขตความสัมพันธ์กับเทาเท่อย่างชัดเจน เขาก็ส่งเครื่องใช้สำหรับรับประทานอาหารมา เธอไม่อยากรับของขวัญนี้
ผู้จัดการหลังการขายพูดอย่างลำบาก “คุณหลินจือคะ ถ้าเป็นอย่างนี้พวกเราลำบากใจมากเลยค่ะ….”
หลินจือคิดอยู่สักพัก “งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
เธอยังคงต้องพูดกับเทาเท่ให้เรียบร้อยว่าไม่มีความจำเป็นที่จะทำให้พนักงานเหล่านี้ลำบากใจ
หลังจากที่ปิดประตูลงแล้ว หลินจือยืนมองของกองนั้นด้วยใบหน้าอมทุกข์ นานิพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ทำไมไม่รับ? แล้วเธอค่อยส่งของให้เขาสักนิดก็ได้แล้วไม่ใช่หรอ”
หลินจือพูดถอนหายใจว่า “ฉันให้ไม่ไหวหรอก”
ครั้งที่แล้วเธอส่งปากกาด้ามนึงให้กับเขา หลินจือรู้สึกเจ็บปวด
นานิยิ้มขึ้น “ไม่ต้องเป็นของที่แพงหรอก แค่เป็นของที่เธอให้ ต่อให้เธอให้กระดาษเขาแผ่นนึงเขาก็รู้สึกพอใจแล้ว”
“อีกอย่างนะ เธอคิดว่าเขาจะอนุญาตให้เธอปฎิเสธไม่รับหรอ?”
คำพูดของนานิทำให้หลินจือสลัดความคิดที่จะเอาของไปคืนเทาเท่ นั่นสิ นิสัยของเขาพาลออกอย่างนั้น ถ้าเธอเอาไปคืน เขาจะต้องหาข้ออ้างมาส่งอีก
นานิเสนอขึ้นว่า “ไม่สู้เธอใช้อุปกรณ์ทำอาหารพวกนี้มาทำอาหารให้เขากินสักมื้อนึงนะ?
หลินจือปวดหัวไม่หยุด “ช่างมันดีกว่า ฉันไม่อยากไปสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขาแม้สักนิดเดียวจริงๆ”
ถ้าเธอทำอาหารต้อนรับเขา ความสัมพันธ์ของเขาและเธอก็บอกไม่ชัดอีก
ขณะที่คนทั้งสองกำลังพูดคุยอยู่นั้น โทรศัพท์ของหลินจือก็ได้ดังขึ้น เป็นเบอร์แปลกโทรเข้ามา
หลินจือรับสาย คิดไม่ถึงว่าคนที่โทรเข้ามานั้นจะเป็นชาร์ลี
ชาร์ลีพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นผ่านสายโทรศัพท์ว่า “หลินจือ ได้ยินมาว่าแกรับบุคคลสำคัญมาเป็นพ่อบุญธรรมแล้วหรอ?”
หลินจือขมวดคิ้วแล้วพูดด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ?”
เรื่องที่จอร์แดนรับเธอเป็นบุตรสาวบุญธรรมนอกจากคนใกล้ชิดสนิทสนมกับเธอไม่กี่คน คนอื่นๆก็ไม่มีใครรู้ ชาร์ลีไม่ได้อยู่เมืองเจสเวิร์ดแล้ว เขาจะรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?
แต่แค่วินาทีเดียวต่อมา หลินจือก็คิดได้ว่าคนที่บอกเรื่องนี้กับชาร์ลีคือซูซี
ซูซีรู้ว่าจอร์แดนรับเธอเป็นบุตรสาวบุญธรรม จะต้องเป็นพวกเขาแน่ที่บอกเรื่องนี้กับชาร์ลี เพราะพวกเขารู้ว่าชาร์ลีกับเรียวจินั้นโลภมากเพียงใด
ชาร์ลีพูดอย่างหน้าไม่อายว่า “เกี่ยวแน่นอน ฉันเป็นพ่อเลี้ยงแก แม้ว่าแกกับฉันจะแบ่งความสัมพันธ์ชัดเจนกันแล้ว แต่แกก็ควรให้ฉันกับพ่อเลี้ยงคนใหม่นั้นได้เจอกันหน่อยไหมล่ะ?”
“คนนึงเป็นพ่อเลี้ยงของแกในอดีต อีกคนนึงเป็นพ่อเลี้ยงของแกในปัจจุบัน ก็ถือว่าเป็นคนที่มีวาสนาต่อกันหรือเปล่า?”
ไม่รู้ว่าทำไม หลินจือถึงได้รู้สึกว่าในคำพูดของชาร์ลีแฝงไว้ด้วยความไม่สุภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาพูดว่าพ่อบุญธรรม
หลินจือพูดเอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจว่า “คุณคงไม่ใช่ต้องการเงินหรอกนะ?”
ชาร์ลีหัวเราะ “ในเมื่อแกเข้าใจอย่างทะลุปลุโปร่งอย่างนี้ดีแล้ว งั้นฉันก็ไม่เกรงใจแล้วล่ะนะ ได้ยินมาว่าคนนั้นเป็นบุคคลสำคัญของเมืองเวลฟ์เขาให้เงินพวกเราสักเล็กน้อยน่าจะได้อยู่หรือเปล่า?”
หลังจากที่ชาร์ลีพูดจบเขาก็พูดด้วยเสียงเบาๆว่า “หลินจือ แกนี่ความสามารถใช้ได้จริงๆนะ ลาจากเทาเท่ไปแล้ว ต่อด้วยการไตเต้าไปถึงบุคคลสำคัญของเมืองเวลฟ์!”
หลินจือโกรธถึงขีดสุด เลยกดสายวางลง
น้ำเสียงของชาร์ลีเลวร้ายมากเกินไปจริงๆ ในคำพูดนั้นแฝงไปด้วยว่าความสัมพันธ์ของเธอกับจอร์แดนไม่ธรรมดา
หลินจือหมดความอดทนอย่างขีดสุด ไม่อยากพูดอะไรกับชาร์ลีอีก
เธอคิดไม่ถึงว่าชาร์ลีจะหน้าด้านมาโทรมาขอเงินอย่างนี้
นานิก็โกรธมาก “ไร้ยางอายสุดๆจริงๆ”
นานิพูดขึ้นอีกว่า “ครั้งที่แล้วเทาเท่เตือนพวกเขาแล้วไม่ใช่หรอ?”
หลินจือสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อให้อารมณ์กลับมาเป็นปกติ แล้วก็พูดอย่างสุขุมว่า “เพื่อเงินชาร์ลีกับเรียวจิเป็นคนที่ไม่แคร์อะไรทั้งนั้น วันนี้เขาโทรมาก่อกวนฉัน ต้องเป็นซูซีกับเบลซให้ประโยชน์กับพวกเขา หรือไม่ก็พ่อแม่เทาเท่เป็นคนจัดการ”
คนเหล่านี้เกลียดเธอจนเข้ากระดูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไกอาและวีนา
หลายครั้งที่หลินจือคิดถึงไกอาและวีนาหรือพินอินก็อยากที่จะห่างๆกับเทาเท่ ยิ่งไกลเท่าไหร่ได้ยิ่งดี
ความสัมพันธ์นี้ ถ้าให้เทาเท่และครอบครัวทะเลาะกันเพื่อให้ได้มาซึ่งความสมหวังของเธอ มันจะมีความหมายอะไร?
นานิสัมผัสได้ถึงความพ่ายแพ้ของเธอ เดินเข้ากอดเธอแล้วพูดเบาๆว่า “เพื่อน ความรักกับการแต่งงานก่อนอื่นมาจากคนสองคนนะ หลังจากนั้นค่อยมาจากสองครอบครัว”
“แค่ให้เทาเท่รักเธออย่างสุดหัวใจ คนอื่นจะชอบเธอไหมก็ไม่สำคัญไม่ใช่หรอ”
หลินจือหัวเราะเพราะคำพูดของนานิ “นี่เธอพูดอะไรเนี่ย ? เหมือนว่าฉันกีดกันเทาเท่ เพราะครอบครัวของเขาไม่ชอบฉันอย่างนั้นแหละ
“อันดับแรกอ่ะนะเป็นเพราะว่าฉันไม่สนใจเขา ก็เลยไม่สนใจครอบครัวของเขา และก็เลยแตกหักกับพินอินแล้วก็พ่อแม่ของเขาด้วย”