บทที่ 536 เยือนเขตฮันกึล (ครั้งที่สอง)
บทที่ 536 เยือนเขตฮันกึล (ครั้งที่สอง)
เซียวเฟิงเข้ามาอยู่ ณ เขตฮันกึลแล้วในตอนนี้ นอกจากเขตฮัวเซียที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนแล้วก็มีเขตฮันกึลเนี่ยแหละที่เขารู้สึกคุ้นเคย ยังไงเสียเขาก็เป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวที่เคยข้ามไปอยู่ยังเขตอื่นได้ ก่อนที่สงครามระหว่างเขตแดนจะเริ่มต้นขึ้น
แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ ในขณะที่เส้นทางข้ามเขตแดนของเขตอื่นกำลังวุ่นวาย ของเขตฮันกึลกลับเงียบสงบเอาเสียมาก ๆ มันไม่มีการต่อสู้ใด ๆ เลย มีเพียงผู้เล่นเขตฮันกึลที่มาคอยป้องกันบริเวณรอบเส้นทางเอาไว้เฉย ๆ
ขณะที่ขี่อยู่บนเสี่ยวเสวีย เสี่ยวไป๋หุบปีกตัวเองไว้ตลอดทางและเอนซบแขนเซียวเฟิงเหมือนเด็ก ๆ ต้องขอบคุณที่เวลาเล่นเกมของเซียวหลิงมีจำกัด และเธอก็ไม่ได้ออนไลน์ตอนนี้ ไม่งั้นการที่เรียกเสี่ยวไป๋มาอยู่กับตัวเช่นนี้ คงจะทำให้เซียวหลิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่ ๆ
เส้นทางข้ามเขตแดนทั้งสองเส้นทางของเขตอเมริกาเหนือที่เซียวเฟิงไปเยือนนั้นแออัดไปด้วยผู้คนและการต่อสู้มากมาย เพราะงั้นเขาจึงไม่พยายามไปสนใจกับโลกเบื้องล่างมากนักและตั้งใจลอยผ่านไปให้เร็ว ๆ
และด้วยเหตุนี้เอง พอเขาผ่านเข้ามายังเขตแดนนี้และเห็นการมาของผู้คนนับร้อยพันที่มีชื่อสีแดง มันก็ทำเอาเซียวเฟิงชะงักไปชั่วขณะเช่นกัน แม้กระทั่งผู้เล่นชาวฮันกึลเหล่านี้ก็ยังมองเซียวเฟิงด้วยความตะลึงด้วย
“นะ…นั่นเจ้าแห่งฮีลเลอร์! เจ้าแห่งฮีลเลอร์จากเขตฮัวเซีย!”
จากสีหน้าที่ดูเบื่อหน่ายที่ต้องยืนเฝ้าระวังเส้นทางข้ามเขตแดนมาเนิ่นนานเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นตกใจและตื่นตระหนกในทันทีที่ได้เห็นว่าผู้ที่ผ่านเส้นทางมานั้น คือ วายร้ายต่างถิ่นระดับเซิร์ฟเวอร์!
ในบรรดาเขตอื่น ๆ นอกจากเขตฮัวเซียแล้ว เขตฮันกึลถือเป็นอีกหนึ่งเขตที่คุ้นเคยกับเซียวเฟิงดีมาก นั่นเพราะเมื่อครั้งที่เซียวเฟิงหลุดเข้ามาอยู่ในเขตตน เขาได้ทำเรื่องเลื่องลือไว้มากมายภายใต้ชื่อ…เจ้าแห่งฮีลเลอร์!
“เจ้าแห่งฮีลเลอร์จากเขตฮัวเซียจริง ๆ ด้วย!”
ไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนที่เปิดฉากตะโกนก่อน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะต่อให้ไม่มีใครตะโกน ทุกคนก็ย่อมเห็นได้ด้วยตาตนเองอยู่ดี ความเงียบสงบก่อนหน้าหายไปจนหมดและแทนที่ด้วยความวุ่นวายไม่ต่างกับเขตอื่น ๆ
เซียวเฟิงรีบทะยานขึ้นฟ้าไปเพื่อตรวจสอบดูให้แน่ชัดถึงสถานการณ์รอบตัวแล้วเกิดข้อสงสัยว่าทำไมถึงไม่มีใครเข้ามาสู้กับพวกเขตฮันกึลกันเลย?
ต้องรู้กันก่อนว่าเส้นทางข้ามเขตแดนเส้นนี้เป็นเส้นทางที่เข้ามากลางเขตได้เลย ดังนั้นเส้นทางนี้ควรจะเป็นบริเวณที่มีการต่อสู้บ่อยที่สุด แต่นี่กลับไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น…ซึ่งมันผิดปกติเกินไป!
ถึงแม้ว่าตอนนี้เขตอื่น ๆ มากมายจะร่วมมือกันเพื่อกำจัดเขตฮัวเซียไปก่อนเช่นเดียวกับเขตฮัวเซียที่กระจายคนไปกำจัดคนในเขตอื่น แต่มันดูจะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก ที่ไม่มีคนของฮัวเซียเข้ามาเข่นฆ่าใครในเขตฮันกึลเลย
“เป็นแกงั้นเหรอ?”
ในตอนที่เซียวเฟิงกำลังรู้สึกประหลาดใจนั้น ฝูงชนเบื้องล่างก็แหวกทางกันออกทางเดิน ผู้เล่นที่มาล็อตหลังหลายคนมีใบหน้าคลับคล้ายคลับคลากันอยู่แล้ว การมาของพวกเขาเหล่านี้ ทำให้กลุ่มคนเงียบสงบกันขึ้นมาอีกครั้งด้วย
“อ้าว…บังเอิญจังเลยนะ”
การพบเจอกันครั้งนี้มันอดทำให้เซียวเฟิงชอบใจไม่ได้ คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนคุ้นเคยของเขาไม่ว่าจะด้วยสถานะไหนก็ตาม พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้เล่นระดับสูงของกิลด์จักรวรรดิกาลาดู กิลด์อันดับ 1 ของเขตฮันกึล ซึ่งหัวหน้ากิลด์อย่างซาตานและสตรีที่สวยที่สุดแห่งเขตฮันกึลอย่างหลีเซียนอวิ๋นเองก็อยู่ที่นี่ด้วย
“แกมาทำอะไรในเขตฮันกึลของพวกฉันอีก! พวกฉันยังไม่ได้ไประรานแกในเขตฮัวเซียเลยนะ!”
สีหน้าของซาตานนั้นดูขยะแขยงมาก ๆ แม้จะกำลังพูดอยู่กับเซียวเฟิงที่อยู่บนท้องฟ้า แต่สายตาเขาก็เหลือบมองรอบตัว กลัวว่าจะมีคนจากเขตอื่นที่ไม่ใช่เขตฮัวเซียปรากฏตัวขึ้นมาและเห็นภาพนี้เข้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่จักรวรรดิกาลาดูนั้นเป็นเสมือนผู้นำของเขตฮันกึล พวกเขาจำเป็นต้องแบกเกียรติยศของเขตไว้บนแผ่นหลังด้วย ดังนั้นหากเขตฮันกึลเกิดความวุ่นวายขึ้นมา พวกเขาคงไม่สามารถมองหน้าคนในเขตติดแน่ ๆ ยิ่งตัวซาตานเองยิ่งแล้วใหญ่
เมื่อครั้งที่มิธจัดอีเวนต์ทั่วเซิร์ฟเวอร์ชิงชัย เจ้าแห่งฮีลเลอร์ที่ต้องผันมาเป็นผู้เล่นจากเขตฮันกึลชั่วคราวได้วางยาพวกเขาไว้แสบมาก ความเสียหายในแง่ชื่อเสียงที่ถูกเป่ากระจุยจากทุกเขต มันทำเอาเขาแทบจะยืนไม่ติดพื้น
ดังนั้นเมื่อพบหน้าเซียวเฟิงอีกครั้ง…พบกับผู้ที่ทำให้เขตฮันกึลกลายเป็นขี้ปากของคนอื่นเช่นนี้ จะให้ซาตานปล่อยผ่านไปได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม หลีเซียนอวิ๋นที่มาด้วยนั้นกลับไม่ได้มีท่าทีรังเกียจเขาแต่อย่างใด กลับกัน หญิงสาวเลือกที่จะยิ้มให้เซียวเฟิง สมกับที่ได้สมญานามว่าเธอคือสาวงามอันดับ 1 ของเขตฮันกึลยิ่งนัก ใบหน้าที่งดงามนี้ ไม่ว่าจะเจอกี่ครั้งก็ยังคงน่าเชยชมเสมอ
“เห…? ย้อนกลับไปเมื่อตอนอีเวนต์ล่าสมบัติ พวกนายก็ดูจะสนุกดีกับการร่วมมือกับเขตอื่นไม่ใช่หรือไง? ทำไมคราวนี้ไม่ทำแบบนั้นซะล่ะ?” เซียวเฟิงถามด้วยความอยากรู้
เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าอีเวนต์นี้ เขตฮันกึลไม่ได้ร่วมมือกับเขตอื่นเลย เพราะแบบนี้หรือเปล่านะ ก็เลยไม่มีคนของเขตฮัวเซียบุกเข้ามาที่เขตฮันกึลด้วย?
“นั่นมันก็เพราะแกนั่นแหละ!” ซาตานโกรธ
“แล้วมันเป็นเพราะฉันได้ยังไงน่ะ?” ครั้นเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น เซียวเฟิงก็ยิ่งสงสัยหนักกว่าเดิม ทำไมพวกนี้ถึงมาโทษเขากันนะ?
“เมื่อตอนอีเวนต์ชิงชัย แกเอาชื่อของเขตฮันกึลไปใช้ดูถูกเขตอื่น! เพราะงั้นตอนนี้เขตอื่นก็เลยกันไม่ให้พวกเราเข้าร่วมด้วย! แล้วก็ถ้าไม่ติดว่าเขตที่แกอยู่คือฮัวเซียล่ะก็ ฉันยกทัพไปถล่มนานแล้ว! ไอ้เวรเอ้ย!”
ด้วยความโกรธเกรี้ยว มันเลยทำให้ซาตานดูไม่สุขุมเหมือนแต่ก่อนสักเท่าไหร่
“อ้อ…ดูเหมือนจะเป็นเพราะแบบนั้นเองสินะ”
เซียวเฟิงนึกเหตุการณ์เมื่อครั้งอีเวนต์ชิงชัยขึ้นมาได้ทันที ตอนนั้นเขาที่มีชื่อของเขตฮันกึลขึ้นเป็นหลักฐานอยู่เหนือหัวพูดดูถูกเขตอื่นที่แพ้ให้ตนไปทั่วเลย
คงยังไม่ลืมว่าผู้ที่เข้าร่วมกับอีเวนต์ชิงชัยได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่ติดท็อป 5 ของแต่ละเขตเท่านั้น ดังนั้นคนเหล่านั้นย่อมมีอิทธิพลในเขตตนเองอย่างมาก แล้วพวกเขาเหล่านี้ถูกเซียวเฟิงดูถูกไว้แสบเหลือหลายมาก
ดังนั้นไม่ต้องพูดเลยว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ไม่แปลกใจเลยหากเขตฮันกึลจะโดนกีดกั้นและขับไล่
“เขตฮันกึลของพวกฉันไม่ต้อนรับแก! เพราะงั้นเชิญกลับออกไปซะ! ตอนนี้เขตอื่นกำลังรวมหัวกันถล่มเขตฮัวเซีย แกควรจะกลับไปจัดการปัญหานั้น อย่ามายุ่งกับเขตฮันกึล!”
ซาตานไม่อ้อมค้อม เขาพูดออกไปตามตรงเพื่อขับไล่อีกฝ่ายที่เป็นบุคคลอันตรายและน่ารังเกียจสำหรับเขตฮันกึล
ในฐานะที่เป็นผู้นำของเขตฮันกึล ซาตานไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอได้เด็ดขาด แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็ไม่ใช่การอวดเบ่ง สิ่งที่ซาตานพูดนั้นมีเหตุผล อีกทั้งเซียวเฟิงก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาสร้างปัญหาเพิ่มที่เขตฮันกึลด้วย
“ฉันก็แค่ผ่านมาทำภารกิจแถวนี้เฉย ๆ ในเมื่อพวกนายไม่ได้ร่วมกับเขตอื่น ฉันก็จะไม่ข้ามเส้น ไว้ทำภารกิจเสร็จแล้วจะรีบไปก็แล้วกัน” เซียวเฟิงพูดตอบและลดระดับค้อนแห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในมือเขาลง
จริง ๆ ก่อนจะมาเขามีความคิดที่อยากจะลองสกิลใหม่กับเขตฮันกึลเสียหน่อย แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว มันคงจะดีกว่าหากปล่อยให้เขตนี้ไปเจอกับเขตแดนอื่นแทน
“ฉันหวังว่าแกจะทำตามที่พูดแล้วรีบออกจากฮันกึลไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน พวกฉันเองก็ไม่ได้อยากจะยุ่งอะไรกับแกนัก รีบไปทำภารกิจอะไรนั่นซะ”
ไม่รู้ว่าการที่ซาตานพูดมาเช่นนั้น เป็นเพราะเขาเข้าใจสถานการณ์จริง ๆ หรือเพียงเพราะอยากทำเท่เฉย ๆ เขาไม่ได้ทำตัวหยาบคายใส่เซียวเฟิงอีก อันที่จริงตั้งแต่ที่เจอกันตอนนี้ อีกฝ่ายก็ดูไม่ได้อยากจะมาหาเรื่องเขาจริง ๆ หลังจากที่พูดจบแล้ว ซาตานก็เดินจากไปพร้อมกับเหล่าผู้เล่นระดับสูงของกิลด์จักรวรรดิกาลาดู
เมื่อผู้นำของจักรวรรดิกาลาดูได้ตัดสินใจแล้ว ผู้เล่นทั่วไปของเขตฮันกึลก็ไม่กล้าขัดอะไรทั้งนั้น พวกเขาทำได้เพียงมองเซียวเฟิงที่บินอยู่บนฟากฟ้าเงียบ ๆ ถึงแม้ว่าแววตาของพวกเขาจะไม่เป็นมิตร แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงมองนิ่ง ๆ
ทางด้านเซียวเฟิงเองก็ไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่ตรงนี้นานนัก หลังจากที่เขาดูแผนที่เพื่อนำทางแล้ว เขาก็ให้เสี่ยวเสวียมุ่งหน้าตรงไปยังหุบเขาอาทิตย์ตกในทันที เซียวเฟิงต้องการที่จะไปยังวิหารแห่งแสงภายในเขตฮันกึล ที่ซึ่งบิชอปโจลีฟและคนอื่น ๆ เคยอยู่มาก่อนหน้านี้
เมื่อก่อนที่เขาจะจากไปครั้งก่อน เขาได้สร้างโอกาสในการเติบใหญ่ของวิหารแห่งนี้เอาไว้ แต่ไม่รู้เลยว่าปัจจุบันสถานการณ์ของทางบิชอปโจลีฟและคนอื่น ๆ จะเป็นอย่างไรบ้าง
เซียวเฟิงวางแผนที่จะไปทำภารกิจตามหาเทวทูตแห่งพลังที่หนีไปกบดานอยู่ที่วิหารแห่งแสงเขตยุโรป บอสของวิหารแห่งแสงทุกที่ล้วนเป็นสังฆราช หากไม่ผิดจากที่เขาคาดเดาไว้ สังฆราชที่นั่นจะนำพากองกำลังของศูนย์หลักในยุโรปเข้ากับฝ่ายของเทวทูตแห่งพลัง หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ภารกิจของเขาก็จะยากยิ่งขึ้น ต่อให้เซียวเฟิงจะยังไม่มั่นใจเรื่องที่คาดไว้ แต่เขาก็มั่นใจอย่างหนึ่งว่า วิหารแห่งแสงเขตแดนอื่น ย่อมต้องแข็งแกร่งว่าที่หุบเขาอาทิตย์ตกแน่นอน
มันเป็นความเสี่ยงที่คุ้มค่าที่จะลอง เพราะเพื่อให้ได้มาซึ่งความคืบหน้าภายในเกม หากเป็นเพียงภารกิจทั่ว ๆ ไป ย่อมต้องไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปอยู่แล้ว
ส่วนเหตุผลที่เซียวเฟิงแวะมาที่เขตฮันกึลก่อนนั้น นอกจากจะอยากรู้ว่าเขายังพอมีโอกาสพัฒนาวิหารแห่งแสงในเขตนี้อยู่อีกไหมแล้ว ก็คือ เขาต้องการจะมาบอกบิชอปโจลีฟถึงเรื่องสถานการณ์ทางฝั่งสังฆราช เพราะวิหารแห่งแสงในเขตฮันกึลนั้น อยู่ภายในการปกครองของศูนย์ใหญ่ที่ยุโรปอีกทีหนึ่ง
ช่วงสงครามระหว่างเขตแดนนี้ แม้เขาจะเดินทางมายังเขตฮันกึลได้ แต่ผู้คนในเขตนี้ก็ยังมองเขาเป็นศัตรูอยู่ ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่สามารถเข้าไปยังเมืองหลักใด ๆ ได้เลย แน่นอนว่าการใช้คัมภีร์เมืองหรือจุดเคลื่อนย้ายก็ไม่ได้ด้วย เพราะงั้นสิ่งเดียวที่จะทำให้เขาไปยังหุบเขาอาทิตย์ตกได้ ก็มีแต่ต้องบินไปเท่านั้น
ถึงแม้ว่าเขตฮันกึลจะไม่ได้ใหญ่ ในขณะเดียวกันความเร็วของเสี่ยวเสวียก็ไม่ใช่น้อย ๆ แต่เพราะหุบเขาอาทิตย์ตกนั้นตั้งอยู่ที่ชายแดนของเขตฮันกึลเลย เนื่องจากทั้งบิชอปโจลีฟและคนอื่น ๆ ต่างก็ถูกขับไล่ออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้
เช่นนั้น การเดินทางจากมุมหนึ่งไปยังอีกมุมหนึ่งของเขต จึงต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่กว่าจะถึงปลายทาง และด้วยเวลานี้เป็นเวลาเช้าแล้ว เซียวเฟิงจึงถึงโอกาสออฟไลน์จากเกมแล้วออกมาหาข้าวเช้าทานก่อนจะกลับไปอีกครั้งในภายหลัง
ณ ตอนนี้ เสี่ยวเสวียกำลังบินอยู่เหนือหุบเขาอาทิตย์ตกแล้ว ทว่าเสี่ยวไป๋กลับไม่ได้อยู่ในอ้อมแขนอย่างที่ควรไป เด็กคนนั้นอยู่ในโหมดต่อสู้ มือหนึ่งถือดาบศักดิ์สิทธิ์ และอีกมือหนึ่งก็มีโล่คอยคู่กันไว้ เธอกำลังสู้กับกลุ่มของอีกาเพลิงที่พุ่งเข้ามาโจมตี บางทีอาจจะเพราะตอนบินผ่าน เซียวเฟิงดึงดูดความสนใจของมันมา
แม้ว่าเสี่ยวเสวียจะมีความเร็วที่เหนือกว่าการไล่ล่าของมอนสเตอร์ตัวอื่น ๆ อยู่มาก แต่ปลายทางของเซียวเฟิงนั้นดันมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ มอนสเตอร์กลุ่มนี้พอดี ด้วยแบบนี้ เสี่ยวเสวียถึงไม่สามารถลงพื้นได้หากเธอยังโดนโจมตีเช่นนี้อยู่ ด้วยเหตนี้ เสี่ยวไป๋จึงเข้าสู่โหมดต่อสู้แทน
เซียวเฟิงใช้ทักษะตรวจสอบไล่อ่านค่าสถานะของอีกาเพลิง พวกมันเป็นกลุ่มมอนสเตอร์เลเวล 55 เป็นเพียงมอนสเตอร์ธรรมดาไม่ใช่บอส เพราะงั้นเซียวเฟิงจึงไม่อยากเปลืองแรง ปล่อยเสี่ยวไป๋สู้ไปด้วยตนเอง ตอนนี้เขามีบางเรื่องที่กำลังสงสัยอยู่ผุดขึ้นมาในหัวแทน
ตามปกติแล้ว ถ้าเซียวเฟิงจำไม่ผิด หุบเขาอาทิตย์ตกนี้จะไม่มีมอนสเตอร์ป่ากำเนิดขึ้นรอบ ๆ บริเวณเลย เพราะวิหารแห่งแสงตั้งอยู่ที่นี่ ต่อให้วิหารแห่งนี้จะโทรมขนาดไหน แต่ก็ยังคงเปล่งรัศมีความศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้อยู่ ในขณะที่อีกาเพลิงพวกนี้ ที่หลังจากตรวจสอบสถานะจนมั่นใจแล้ว ยังไงพวกมันก็เป็นเพียงมอนสเตอร์ป่าธรรมดา พวกมันไม่ควรจะมาอยู่บริเวณนี้ได้
ไม่เพียงแต่บนฟากฟ้า แต่ที่ภาคพื้นดินเอง เซียวเฟิงก็สามารถมองเห็นมอนสเตอร์ป่าเดินไปเดินมาได้ด้วย
สิ่งนี้ทำให้เซียวเฟิงต้องขมวดคิ้ว เขาไม่มั่นใจว่าวิหารแห่งแสงที่นี่ย้ายออกไปแล้วหรือเปล่า หรือช่วงที่เขาไม่ได้อยู่ในเขตฮันกึล วิหารแห่งแสงขยายอำนาจไม่สำเร็จและถูกทำลายลงไปแทนก็ไม่แน่เช่นกัน
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เซียวเฟิงก็ไม่เห็นวี่แววของข่าวดีเลย แต่อย่างน้อย ๆ ถ้าวิหารแห่งแสงเพียงแค่เปลี่ยนที่ เขาก็พอจะนับว่ามันเป็นข่าวดีได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเสียเวลาอยู่ดี แต่ถ้าวิหารแห่งแสงถูกทำลายไปแล้ว นั่นถือว่าเป็นบาปมหันต์ของเซียวเฟิง
การที่บิชอปโจลีฟและคนอื่น ๆ เริ่มที่จะพยายามเพื่อสร้างความศรัทธาแข่งกับอารามแห่งชีวิต ต้นเหตุก็มาจากการที่เซียวเฟิงเป็นคนยั่วยุ และถ้าหากพวกเขาทั้งหมดถูกทำลายลงไประหว่างแผนการนั้น เซียวเฟิงจะต้องแบกรับความรับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เซียวเฟิงก็ยังอดคิดถึงพลังของบิชอปโจลีฟและผู้ศรัทธาในแสงสว่างคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายในวิหารแห่งแสงไม่ได้ พวกเขาเหล่านี้มีพลังที่เหลือล้น การเดินทัพครั้งล่าสุดก่อนที่เซียวเฟิงจะจากไปเองก็ถือว่าทรงพลังมาก มันไม่น่าจะเป็นไปได้หากจะบอกว่าพวกเขาถูกกำจัด ยังไง ๆ เขาก็เทใจให้ย้ายที่อยู่ใหม่มากกว่า เพราะถ้าตั้งใจจะขยายขอบเขตอิทธิพลล่ะก็ การหดหัวอยู่ในหุบเขาอาทิตย์ตกต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
[ผู้เล่น หลีเซียนอวิ๋น ส่งคำร้องขอโทรหาท่าน ท่านต้องการจะรับสายไหม?]