บทที่ 537 การเติบโตของวิหารแห่งแสง

Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子]

บทที่ 537 การเติบโตของวิหารแห่งแสง

บทที่ 537 การเติบโตของวิหารแห่งแสง

“แปลก ๆ นะเธอเนี่ย ฉันเป็นศัตรูของเธอนะ”

เซียวเฟิงรับสายหลีเซียนอวิ๋นและเป็นฝ่ายถามก่อนด้วยความสงสัย หญิงสาวผู้นี้มีรายชื่ออยู่ในหมวดเพื่อนภายในเกมของเซียวเฟิง เมื่อครั้งก่อนที่เซียวเฟิงหลุดเข้ามาในเขตฮันกึล ความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอก็ทำให้เขาปรับตัวได้ดีระดับหนึ่ง…

“แหม…ท่านเจ้าแห่งฮีลเลอร์นี่ก็ขยันเล่นมุกจัง บนโลกนี้ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวรหรอกนะ”

หลีเซียนอวิ๋นโต้ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

“งั้นเหรอ?” เซียวเฟิงแอบอมยิ้ม ขณะเดียวกันนั้นเขาก็บินผ่านเส้นทางที่ทอดยาวของหุบเขาอาทิตย์ตกนี้ไปด้านในลึก ๆ ด้วย เนื่องจากไม่อยากไปเสียเวลากับมอนสเตอร์ที่มากมายเบื้องล่าง เขามุ่งตรงไปยังประตูทางเข้าของวิหารแห่งแสงในทันที

“ถึงแม้ว่าพวกเราจะเคยผิดใจกันเมื่อตอนที่นายเข้ามาในเขตฮันกึลครั้งก่อน แต่ตอนนี้เขตของพวกเราก็ตกที่นั่งลำบากไม่แพ้เขตฮัวเซียของนายหรอก เพราะงั้นฉันไม่คิดว่าพวกเราเป็นศัตรูกันนะ”

หลีเซียนอวิ๋นพูดต่อ

“เธอหมายความว่ายังไง? เขตฮันกึลของเธอจะเข้าร่วมกับเขตฮัวเซียหรือไง?”

เซียวเฟิงลงพื้นที่หน้าทางเข้าวิหารแห่งแสงเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่เขามั่นใจแล้วว่าไม่มีการเคลื่อนไหวอยู่รอบ ๆ ตัว เขาก็ตัดสินใจที่จะเดินเข้าไป

“เรื่องนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไงเล่า ในเขตฮัวเซียน่ะ มีพวกตัวร้าย ๆ อยู่เต็มไปหมด ฉันเองก็ไม่อยากให้เขตฮันกึลของฉันเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรอกนะ” ได้ยินเช่นนั้น หลีเซียนอวิ๋นก็รีบตอบปัดไปอย่างรวดเร็ว

“ถ้างั้นเธอจะตามหาตัวฉันไปทำไม?” ขณะที่ถามไปเช่นนั้น เซียวเฟิงกำลังแสดงสีหน้าประหลาดใจอยู่ มันไม่ใช่เพราะเธอ หากแต่เป็นเพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหลังประตูวิหารศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก

ที่แห่งนี้ไม่มีอะไรอยู่เลยที่ด้านใน ไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือสิ่งของ ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยของ NPC หรือมอนสเตอร์ ไม่มีแม้แต่รูปปั้นของเทพเจ้าแห่งแสงที่ควรจะตั้งตระหง่านอยู่กลางโถงเลยด้วยซ้ำ!

“ผู้เล่นในเขตฮันกึลน่ะไม่ต้อนรับนาย ส่วนหัวหน้ากิลด์ของฉันก็ไม่ไว้วางใจนายด้วย เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนนายเพิ่งจะล้างเผ่าพันธุ์ผู้เล่นไปกว่าสองล้านชีวิต จากสองสมรภูมิในเขตอเมริกาเหนือ เพราะความลูกผีลูกคนของนาย ไม่มีเขตไหนตอนนี้อยากจะให้นายเข้าไปเดินเตร็ดเตร่ภายในหรอกนะ”

หลีเซียนอวิ๋นอธิบาย มันชัดเจนว่าข่าวเรื่องที่เซียวเฟิงใช้สองสกิลระดับตำนานใส่เขตอเมริกาเหนือนั้นแพร่กระจายไปทั่วแล้ว เพราะงี้นี่เอง ซาตานถึงได้ดูจะไม่อยากเจอหน้าเขาเป็นพิเศษ

แม้จะพอเบาใจได้ว่าไม่มีสกิลฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แบบนั้นหลงเหลืออยู่จนถึงเขตฮันกึล แต่ก็แค่ช่วงเวลาเดียวเท่านั้น เพราะอีกสักพัก สกิลนี้ก็จะคูลดาวน์เสร็จ และเมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาอาจจะกลายเป็นเป้าหมายต่อไปก็ได้

ตัวซาตานเองไม่ได้กังวลเรื่องเจ้าแห่งฮีลเลอร์จะรักษาสัญญาหรือไม่อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เขากังวลก็คือ ผู้เล่นชาวฮันกึลที่ความเป็นความตายกลายเป็นสิ่งไม่แน่นอนไปแล้วต่างหาก

ผู้เล่นเขตฮันกึลนั้น ค่อนข้างจะเกลียดเจ้าแห่งฮีลเลอร์กันมาก ๆ แม้สมาชิกกิลด์จักรวรรดิกาลาดูจะสามารถก้าวผ่านความเลวร้ายในอดีตมาได้ แต่สำหรับผู้เล่นคนอื่น ๆ สิ่งนี้ถือเป็นฝันร้ายที่ยังคงตามหลอกหลอนจนพวกเขาแทบจะขาดสติกันเมื่อได้เห็นเจ้าแห่งฮีลเลอร์ตัวจริง

ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด ซาตานจำเป็นต้องประนีประนอมในแบบที่เขาพอจะทำได้เพื่อไม่ให้เซียวเฟิงโมโหและลั่นสกิลเหล่านั้นออกมา เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเขาได้จบสิ้นกันหมดแน่!

“ฉันบอกไปแล้วไงว่าฉันจะรีบออกไปทันทีหลังจากภารกิจเสร็จแล้ว”

เซียวเฟิงเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาแล้ว เขารู้สึกว่าตนเองเหมือนหนูท่อที่กำลังมุดเข้ามาหาอาหารในเขตฮันกึล

คนพวกนี้คิดว่าเขาพิศวาสเขตฮันกึลนี่มากนักหรือไง?!

“สิ่งที่หัวหน้ากิลด์ของฉันพูดน่ะ หมายถึงกิลด์ของเราสามารถแอบช่วยเหลือเพื่อให้นายเสร็จภารกิจเร็ว ๆ ได้นะ” น้ำเสียงของหลีเซียนอวิ๋นนั้นดูจะกล้า ๆ เกร็ง ๆ ขณะพูดออกมาแบบนี้

อันที่จริงซาตานเพียงแค่บอกว่าให้เซียวเฟิงรีบ ๆ ทำภารกิจให้เสร็จแล้วรีบออกไปจากเขตฮันกึลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น แต่เพราะหลีเซียนอวิ๋นไม่กล้าพูดตรง ๆ เช่นนั้น ผลเลยออกมาเป็นคำพูดเช่นนี้แทน

“โอ้…เธอวางแผนจะทรยศความเชื่อใจคนผู้เล่นตาดำ ๆ ที่ไม่ต้อนรับฉันพวกนั้นเหรอ?” เซียวเฟิงพูดหยอกล้อ เขาสรุปแล้วว่าวิหารแห่งแสงคงจะย้ายไปแล้วจริง ๆ ที่นี่ถึงกลายเป็นเพียงที่รกร้างไร้ผู้คน ดังนั้นเขาจึงหันหน้ากลับและเดินออกไป

“อย่าพูดอะไรน่ารังเกียจแบบนั้นสิ พวกเราทำไปก็เพื่อผลประโยชน์ของเขตฮันกึลทั้งนั้น ผู้เล่นในเขตฮันกึลน่ะ มีแค่ราว ๆ สิบล้านคนเท่านั้น ถ้าเกิดนายเกิดตบะแตกทำลายพวกเขาทิ้งหมดมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เอา เพราะงั้นทำให้นายออกจากเขตนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ย่อมต้องเป็นผลดีกว่าอยู่แล้ว”

หญิงสาวกระฟัดกระเฟียดและรีบพูดเหตุผลของตน

“โอเค ๆ ถ้างั้นช่วยฉันหาวิหารแห่งแสงให้ฉันที” เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่รับมุก เซียวเฟิงก็หันไปพูดอย่างสุภาพแทน

“วิหารแห่งแสง? กะแล้วเชียวว่ามันเกี่ยวข้องกับนายจริง ๆ ด้วย! ฉันควรจะจำเรื่องนี้ได้ตั้งแต่นายมาถามฉันเมื่อครั้งที่ก่อนแล้วแท้ ๆ!”

ทันทีที่เซียวเฟิงถามออกมาเช่นนั้น หลีเซียนอวิ๋นก็พูดเหมือนจะมีเรื่องเกิดขึ้นทำเอาเซียวเฟิงต้องพลอยตกใจตามไปด้วย

“หือ? เกิดอะไรขึ้นกับวิหารแห่งแสง?”

“ตั้งแต่ที่นายมาปรากฏตัวในเขตฮันกึลครั้งที่แล้ว ภารกิจหลักในเขตของฉันก็เปลี่ยนไป! มันมีภารกิจที่เกี่ยวข้องกับวิหารแห่งแสงโผล่ขึ้นมาด้วย! แล้วเพราะภารกิจนี้ เขตฮันกึลเองก็พลอยรับความเสียหายหนักไปด้วย!” น้ำเสียงของหลีเซียนอวิ๋นฟังดูหนักใจขึ้นเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

“ภารกิจหลักของพวกเธอไปเกี่ยวของกับวิหารแห่งแสง? ถ้าเป็นภารกิจหลักมันก็จะมีอะไรเสียหายน่ะ? ไม่ใช่ว่าภารกิจหลักเป็นสิ่งที่บังคับทำอยู่แล้วหรือไง?” เซียวเฟิงถามต่อด้วยความสงสัย

“ก็เพราะภารกิจมันถูกแบ่งเป็นสองฝ่ายไง! พวกเราถูกบังคับให้เลือกว่าจะเข้ากับฝ่ายของวิหารแห่งแสงหรืออารามแห่งชีวิต แล้วพอเลือกฝ่ายได้ ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายก็กลายเป็นศัตรูกันเอง! เพราะงั้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขตฮันกึลของพวกเราก็ไม่สงบอีกเลย!” หลีเซียนอวิ๋นถอนหายใจ “แต่เดิมเขตฮันกึลของพวกเราก็เป็นแค่เขตเล็ก ๆ อยู่แล้ว นี่พอเกิดการแบ่งฝ่ายกันภายใน ความคืบหน้าในเกมก็ไม่เขยื้อนกันเลย รวมไปถึงเลเวลของแต่ละคนก็หยุดลงไปด้วย ทุกอย่างมาจากการปรากฏตัวของวิหารแห่งแสง แล้วในเมื่อที่นั่นมีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย งั้นนายก็ถือว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย”

ในช่วงท้ายประโยค หลีเซียนอวิ๋นสรุปเรื่องทุกอย่างให้มันกระชับฟังง่ายไว้ด้วย…

“ถ้างั้นภารกิจหลักของเธอเป็นยังไงบ้าง? เกิดอะไรขึ้นกับวิหารแห่งแสงตอนนี้?” นักบวชหนุ่มถามเพิ่มพลางลูบจมูก

“วิหารแห่งแสงกับอารามแห่งชีวิตปัจจุบันยังคงต่อสู้กันอยู่ แต่เพราะฝั่งวิหารแห่งแสงมีผู้เล่นสนับสนุนเยอะกว่า ทำให้พวกเขามีแต้มเหนือกว่า ตอนนี้วิหารแห่งแสงได้ผู้ศรัทธานำอารามแห่งชีวิตไปแล้ว มันเลยทำให้อารามแห่งชีวิตถูกขับไล่ออกมาจากเมืองหลักแทน อืม…คงเป็นเพราะคนในอารามแห่งชีวิตเคยไม่ไยดีคนของวิหารแห่งแสงมาก่อน มันก็เลยทำให้อารามแห่งชีวิตกลายเป็นฝ่ายโดนต้อนออกไปบ้างเมื่อสถานการณ์แย่ลง” หลีเซียนอวิ๋นอธิบาย

เซียวเฟิงลูบคางพลางคิดตาม เขาไม่คาดคิดเลยว่าบิชอปโจลีฟและคนอื่น ๆ จะทำได้ดีถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าการที่เขาช่วย NPC เหล่านี้จากการโดนปล่อยทิ้งไว้ในตอนแรก รวมไปถึงการสั่งให้เผ่าพันธุ์แห่งความมืดเข้าโจมตีเขตฮันกึล จะเป็นการช่วยสนับสนุนได้ดีเลยสินะ

ในสายตาของหลีเซียนอวิ๋นและผู้เล่นเขตฮันกึลคนอื่น ๆ พวกเขาเห็นเพียงผิวเผินเท่านั้น ก็เลยคิดว่าการต่อสู้กันระหว่างผู้เล่น ทำให้ความเชื่อทั้งสองแตกหักกัน

ทั้งที่จริงแล้ว ลำพังเพียงผู้เล่นภายในเขตฮันกึลมันไม่ได้มีผลอะไรกับเรื่องนี้เลย การต่อสู้ของฝ่ายความเชื่อนั้นมีมานานมากแล้ว และต่อให้พวกเขาสู้กันจนตายไปข้าง มันก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อบุคลากรระดับสูงที่เกี่ยวข้องจริง ๆ แต่อย่างใด

กลับกัน ถ้าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นในเขตใหญ่ ๆ อย่างฮัวเซีย หรืออเมริกาเหนือ เชื่อเลยว่าพวกทวยเทพจะต้องลงมาเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น อารามแห่งชีวิตนั้นถือเป็นความเชื่อคู่บ้านคู่เมืองของเขตฮันกึลมาก่อน ในขณะที่วิหารแห่งแสงเป็นผู้บุกรุก ตั้งแต่ที่สงครามเริ่มต้นขึ้น มันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าผู้เล่นเขตฮันกึลคงจะให้ความสนับสนุนอารามแห่งชีวิตมากกว่า

ดังนั้น เซียวเฟิงจึงเข้าใจได้หลังจากที่ไตร่ตรองเรื่องนี้ มันต้องเป็นฝีมือของกองทัพแห่งความมืดแน่นอน ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยไปขอให้อสูรแห่งความโกลาหลช่วยทำงานให้อยู่เบื้องหลัง และด้วยฝีมือของอสูรตนนี้ เป็นไปได้ว่ามันได้คร่าชีวิตของบอสระดับสูงของอารามแห่งชีวิตไปหลายตน

การที่ความคืบหน้าในเนื้อเรื่องเกมของเขตฮันกึลไม่ไปไหนไกลนัก อาจจะเป็นเพราะผู้เล่นเขตนี้ไม่ได้ทำอะไรที่ไปกระตุ้นเนื้อเรื่อง ดังนั้นต่อให้เขาจะสูญเสียผู้เล่นไปครึ่งเขต มันก็ไม่ได้อะไรกลับมาอยู่ดี อีกไม่นาน พวกเขาจะได้รู้ว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร?

เซียวเฟิงไม่มั่นใจว่าจักรวรรดิกาลาดูกำลังทำอะไรกันอยู่ ในฐานะที่เป็นกิลด์ผู้นำ ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้ทำอะไรเลย ปล่อยให้ผู้เล่นในการดูแลตีกันเองภายใน หากสิ่งนี้เกิดขึ้นในเขตฮัวเซียล่ะก็ ไดนัสตี้คงรีบหาทางออกไปตั้งแต่ต้น ๆ แล้ว

“แล้วศูนย์กลางวิหารแห่งแสงอยู่ที่ไหนล่ะตอนนี้?” เซียวเฟิงถามไปตรง ๆ

“ในเมืองจักรวรรดิโซล แทนที่ศูนย์กลางของอารามแห่งชีวิตเมื่อสามวันที่แล้ว” เมื่อโดนถาม หลีเซียนอวิ๋นก็ไม่ได้ซ่อนความจริง เธอหวังให้เซียวเฟิงรีบทำภารกิจให้เสร็จแล้วจากที่นี่ไปโดยเร็ว

“เมืองโซลเหรอ?”

เขาเหลือบมองไปยังแผนที่ แล้วก็จินตนาการความรู้สึกเมื่อยก้นขึ้นมาทันที นั่นเพราะเมืองโซลนั้นตั้งอยู่กลางเขตฮันกึลเลย มันไม่ได้ไกลจากเส้นทางข้ามเขตแดนที่กลางเขตก็จริง แต่เขาเพิ่งจะบินจากเส้นทางข้ามแดนนั้นมาตรงนี้เองนะ

นี่เขาต้องบินกลับไปอีกแล้วเหรอ?

คัมภีร์เมืองเขตฮันกึลนั้นไม่สามารถสั่งใช้งานได้ อันที่จริงก็ใช้ได้ แต่ NPC ภายในเมืองนั้นต่างก็มีชื่อสีแดงกันหมด ดังนั้นขอคัมภีร์เมืองจากหลีเซียนอวิ๋นไปก็เท่านั้น เพราะงั้นเขาคงต้องบินโง่ ๆ กลับไปจริง ๆ

ทว่า…ขณะที่กำลังเตรียมตัวที่จะโผบินอยู่นั้นเอง จู่ ๆ เซียวเฟิงก็คิดอะไรได้หลังมองไปยังเส้นทางข้ามเขตแดนของเขตฮันกึล ซึ่งมีจุดหนึ่งอยู่ไม่ไกลเขานัก เขาไม่รอช้าที่จะขี่เสี่ยวเสวียบินตรงไปยังเส้นทางข้ามเขตแดนที่นั่นเลยในทันที

สิ่งที่เซียวเฟิงคิดขึ้นมาได้นั้นมันค่อนข้างจะง่ายมาก ๆ นั่นคือ เขาจะส่งตัวเองกลับไปยังเขตฮัวเซียผ่านเส้นทางนี้ แล้วค่อยใช้เส้นทางจากฮัวเซียเพื่อเดินทางข้ามไปยังเส้นทางข้ามเขตแดนบริเวณกลางเขตฮันกึลอีกที ด้วยวิธีนี้มันจะประหยัดเวลาลงไปเป็นอย่างมาก

และผลลัพธ์ของมันก็ดีมากเลยทีเดียว ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง เซียวเฟิงก็มาปรากฏที่เส้นทางข้ามเขตแดนบริเวณศูนย์กลางเขตฮันกึลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากมองบรรยากาศสนามรบเบื้องหน้าแล้ว เขาก็จากที่นี่ไปเงียบ ๆ

ใช้เวลาไม่นาน เซียวเฟิงก็มายืนอยู่ที่ด้านหน้าเมืองโซล แต่แล้ว ปัญหาก็เกิดขึ้นจนได้ เขาไม่สามารถเข้าไปในเมืองนี้ได้เลย เพราะนี่เป็นถึงเมืองจักรวรรดิของเขตฮันกึล มันเลยทำให้เซียวเฟิงไม่มั่นใจว่าเขาจะสามารถผ่านเข้าประตูไปได้หรือเปล่า หรือต้องลักลอบเข้าไปแทน

หลังจากที่คิดไตร่ตรองหาวิธีแล้ว เซียวเฟิงก็ตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากหลีเซียนอวิ๋นให้ช่วยติดต่อ NPC จากวิหารแห่งแสงให้ออกมารับเขา และเน้นย้ำว่าให้เป็น NPC ที่มีตำแหน่งสูงพอจะนำเขาเดินเข้าเมืองไปได้อย่างสบาย ๆ ด้วย

ด้วยค่าชื่อเสียงของหลีเซียนอวิ๋นตอนนี้ มันทำให้เธอสามารถทำตามคำขอของเซียวเฟิงได้ หลีเซียนอวิ๋นไม่เพียงตาม NPC ของวิหารแห่งแสงออกมาได้เท่านั้น แต่ NPC ที่มายังเป็นคนรู้จักของเซียวเฟิงอีก!

เซียวเฟิงรอไม่ถึงชั่วโมง หลีเซียนอวิ๋นก็เดินออกมาพร้อมกับ NPC ที่หน้าตาคุ้นเคย เธอคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นแม่ชีรุธนั่นเอง!

“ท่านอาร์คบิชอป! เป็นท่านจริง ๆ ด้วย! ดีจริง ๆ! ข้าดีใจจริง ๆ! ท่านบิชอปโจลีฟเฝ้ารอท่านมาเนิ่นนาน ในที่สุดพวกเราก็ได้พบท่านอีกครั้งแล้ว!”

แม่ชีรุธนั้นถือเป็น NPC ที่มีพลังน่ากลัว ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเพียงแม่ชี แต่สถานะภายในวิหารแห่งแสงก็ไม่ใช่เล่น ๆ ถึงหลีเซียนอวิ๋นจะเป็นคนพาเธอออกมา แต่ท่าทีของเธอกับหลีเซียนอวิ๋นนั้นกลับไม่ต่างอะไรกับนายหญิงและบ่าวทาส แม่ชีผู้นี้มีความหยิ่งผยองและสุขุมเอาเสียมาก ๆ

ทว่าเมื่อเธอได้เจอกับเซียวเฟิง แม้ตอนที่ยังไม่มั่นใจจะทำให้เธอไม่กล้าแสดงสีหน้าอะไรออกมา แต่เมื่อมั่นใจแล้วว่าเป็นเซียวเฟิงแน่ ๆ ท่าทีหยิ่งผยองของแม่ชีรุธก็หายไปทันที ท่ามกลางแววตาที่งุนงงของหลีเซียนอวิ๋น แม่ชีผู้นี้แทบจะกระโดดเข้าใส่เซียวเฟิงที่อยู่บนเสี่ยวเสวียทันที

ยังดีที่ท้ายสุดแม่ชีสาวก็หยุดตนเองไว้และโค้งทักทายเซียวเฟิงด้วยความเคารพ แต่นั่นก็กลบความตื่นเต้นบนใบหน้าของเธอได้ไม่มิด!

“นี่มันเป็นนิมิตหมายที่ดีจริง ๆ ท่านกลับมาแล้ว! ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว! ท่านบิชอปโจลีฟคิดว่าท่านโดนเบื้องบนลงโทษอยู่ อ๊ะ! ไม่สิ ข้าพูดอะไรที่ไม่น่าพิศมัยออกไปเสียแล้ว! ขอประทานอภัยด้วยนะคะ ข้า…ข้าตื่นเต้นเสียเหลือเกิน! พวกเราทุกคนกำลังรอการกลับมาของท่านอยู่ ท่านอาร์คบิชอป พวกเราเฝ้ารออยู่ทุก ๆ วัน! เพราะงั้นข่าวนี้จะต้องทำให้ท่านบิชอปโจลีฟและคนอื่น ๆ ตื่นเต้นมากแน่ ๆ!”

“โอเค ๆ รุธ ช่วยพาฉันเข้าไปด้านในทีนะ หวังว่าสิ่งที่ฉันขอให้ทำไว้เมื่อครั้งก่อนที่จะจากไปคงจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังหรอกจริงไหม?”

เซียวเฟิงขัดแม่ชีรุธที่กำลังดีใจจนออกนอกหน้าไว้ก่อนที่เขาจะเสียเวลาไปมากกว่านี้

ทั้งเซียวเฟิงและแม่ชีรุธเดินคุยกันไปตลอดทางก่อนจะหายเข้าไปในแท่นเคลื่อนย้าย และตลอดเวลานั้นหลีเซียนอวิ๋นก็ได้แต่มองด้วยความสับสนกับภาพที่เห็นตรงหน้า เธอได้สติกลับมาเหมือนถูกปลุกให้ตื่นก่อนจะค่อย ๆ กัดริมฝีปากตนเองไว้

นี่คือความต่างชั้นของผู้เล่นระดับพระเจ้าเหรอ?