ตอนที่ 491 ระลึก
ชางเอ๋อยังเด็กจึงมิตริตรองหลายสิ่งหลายอย่างให้ดีเสียก่อน
ในอดีตเขาล้วนแต่เชื่อฟังคำพูดของเสี่ยวเสวียและแม่นมมากเกินไปจึงทำให้หลงผิด
เขามิรู้ว่าควรเผชิญหน้ากับอันหลิงเกอเยี่ยงไร มิรู้ว่ายังสามารถกลับเข้าจวนอ๋องได้อีกหรือไม่ คิดไปแล้วชิงเฟิงและอันหลิงเกอคงบอกทุกคน จากนั้นต้องตามหาตัวเขาไปทั่วทุกหนแห่งเพื่อลงโทษ
แต่ชางเอ๋อก็ยังกัดฟันกลับไปเพราะจำเป็นต้องกลับ ขอแค่ตนได้รับการให้อภัยแล้วมารดาก็อาจเปลี่ยนความคิดเพื่อกลับเข้าวัง
“คารวะคุณชายใหญ่” องครักษ์ในจวนและบ่าวรับใช้ยังมองมาด้วยสายตาเฉกเช่นอดีตแล้วเรียกขานด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพ เวลานี้พวกเขายังเรียกตนว่าคุณชายใหญ่ดังเดิม
ชางเอ๋อจึงเกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าเรื่องฉาวโฉ่มิได้กระจายออกไป และอันหลิงเกอมิได้ให้คนเหล่านี้ล่วงรู้เรื่องที่เกิดขึ้น ?
ชางเอ๋อจึงเดินเข้าไปในจวนและระหว่างทางก็มิได้มีอันใดที่แสดงถึงความผิดปกติ ทุกคนล้วนปกติ แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้เขาก็ยิ่งมิวางใจ
“ชางเอ๋อกลับมาเสียที”
“ชางเอ๋อมาทานข้าวเร็วเข้า”
อันหลิงเกอและมู่จวินฮานล้วนปฏิบัติเช่นเดิม มิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด พวกเขายังคงเรียกชื่อตนด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและยังเรียกไปทานข้าวด้วยกัน
“ท่านแม่บุญธรรม ข้า…” ชางเอ๋อนึกถึงคำสั่งของหลี่กุ้ยเฟยและในขณะที่กำลังจะกล่าวเรื่องราวทุกอย่างออกมากลับคาดมิถึงว่ามู่จวินฮานเอ่ยตัดบทเสียดื้อ ๆ
“รีบมาทานข้าวเถิด” มู่จวินฮานเรียกราวกับมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น อีกทั้งยังดึงเขามานั่งและยังมิทันได้มีท่าทีตอบสนอง ปี้จูก็ยื่นถ้วยและตะเกียบมาวางบนโต๊ะเบื้องหน้าแล้ว
ชิงเฟิงที่ยืนมองอยู่ด้านข้างก็รู้ว่าผู้เป็นนายแสนใจอ่อนจึงมิได้กล่าวอันใด
หลังทานข้าวเสร็จ อันหลิงเกอก็ให้ชางเอ๋อไปหยิบหนังสือ และเมื่อสบโอกาสนางก็ดึงตัวเขาไปยังสวนหลังจวน ทันทีที่ถึงสวนหลังจวน นางก็มองชางเอ๋อด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้ามิอยากให้ท่านอ๋องกังวล” กล่าวจบ อันหลิงเกอก็เดินจากไป ส่วนชางเอ๋อยังมิทันได้ตอบสนอง อีกฝ่ายก็หายตัวไปจากมุมทางเดินเสียแล้ว
ชิงเฟิงเฝ้ามองชางเอ๋ออยู่บนหลังคาตลอดเวลาจึงเห็นว่าบนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยโศกเศร้าและสะอื้นออกมามิหยุด ชิงเฟิงรู้ถึงเจตนาของอันหลิงเกอดี ผู้ใดบ้างมิเคยกระทำผิด แล้วนับประสาอันใดกับเด็กตัวแค่นี้
นางให้อภัยชางเอ๋อและให้ความหวังใหม่ไปด้วย
พิธีสละตำแหน่งใกล้มาถึงในมิช้า หนิงเอ๋อก็ยังเด็กถึงเพียงนี้แต่ต้องมาแบกรับความหวังของจวนอ๋องมู่กับจวนโหวอันแล้ว
อันหลิงเกอได้แต่ยืนมองอยู่ด้านข้าง ส่วนอันอิงเฉิงก็มิลังเลแต่อย่างใดเพราะสำหรับเขาแล้วช่วงเวลานี้ควรทะนุถนอมไว้
มู่จวินฮานยังคงดำรงตำแหน่งอ๋องมู่ เพียงแต่พิธีนี้คือการให้คำมั่นว่าจักมอบตำแหน่งท่านอ๋องอันทรงเกียรติให้บุตรชายของตนในอนาคตอย่างแน่นอน
กระนั้นผู้คนมากมายก็มิเข้าใจเรื่องการหลีกทางให้ของอันอิงเฉิง มีผู้ใดบ้างที่มิอยากดำรงตำแหน่งท่านอ๋อง แต่คาดมิถึงว่าอันอิงเฉิงจักหลีกทางให้รวดเร็วเช่นนี้
ครั้นเมื่อเห็นมู่หนิงอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาของอันหลิงเกอก็ฉายความภูมิใจที่มิอาจบรรยายได้ออกมา แม้นางมิได้คาดหวังให้บุตรยึดติดกับอำนาจแต่ในเมื่อเป็นเยี่ยงนี้แล้วจึงสอนเขาว่าการเป็นท่านอ๋องที่ดีควรทำเยี่ยงไรและการมิสูญเสียอิสระของตนเองควรทำอย่างไร
เนื่องจากเรื่องของหนิงเอ๋อจึงทำให้การป้องกันภายในวังหลวงที่มีต่อมู่จวินฮานแน่นหนาขึ้นเรื่อย ๆ ตรงกันข้ามกลับคลายการจัดการจ้าวหลานหยู่ลง มิรู้ว่าเจตนาหรือไม่ อีกทั้งยังคืนอำนาจบางส่วนให้แก่จ้าวหลานหยู่ด้วย
ความจริงแล้วบางครั้งอันหลิงเกอก็ต้องยอมรับว่าเวลานี้ฝ่าบาทฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก พระองค์ใช้ประโยชน์จากการควบคุมจวนอ๋องมู่และจ้าวหลานหยู่จึงสามารถปกป้องตำแหน่งฮ่องเต้ไว้ได้
บัดนี้จ้าวหลานหยู่ถือหางเสือจวนเจียงอ๋องไว้ก็เท่ากับว่าควบคุมอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าทั้งหมดของมู่จวินฮานไว้ในเวลาเดียวกัน
ส่วนมู่จวินฮานเนื่องจากมิได้นำทัพเป็นเวลานานจึงจำเป็นต้องสละอำนาจทางการทหารไป
ทว่าฮ่องเต้ก็ยังคำนวณผิดพลาดคือมิได้ตระหนักว่าตัวอันตรายที่สุดก็คือองค์ชายเจ็ดนั่นเอง
ในช่วงสองวันนี้จ้าวหลานหยู่ติดต่อไปยังอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดของโหวอัน เนื่องจากคนพวกนั้นมิสนับสนุนให้จวนโหวอันรวมเป็นปึกแผ่นกับจวนอ๋องมู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมโดนควบคุมได้ง่าย
เดิมทีอันอิงเฉิงคิดอยากพาหลี่ซื่อจากไป แต่จ้าวหลานหยู่มิคิดปล่อยพวกเขาไป
“ไป รีบลงมือ รีบหาให้เจอโดยเร็ว ! ” น้ำเสียงของจ้าวหลานหยู่ดังขึ้นท่ามกลางป่าทึบ บัดนี้มีคนอยู่ใต้อาณัติของเขามากกว่าทหารในอดีตกว่าห้าหมื่นนาย ดังนั้นกองทัพทหารระดับแนวหน้าจึงเพิ่มสูงขึ้นเป็น 150,000 นาย
ซึ่งจำนวนเหล่านี้ก็มากพอให้เขาบุกโจมตีชนเผ่าขนาดเล็กได้ แต่เขามิต้องการเพราะสิ่งที่ต้องการคือตำแหน่งฮ่องเต้
“เรียนท่านอ๋อง ด้านนี้มีร่องรอยมนุษย์พ่ะย่ะค่ะ” เวลานี้หนึ่งในองครักษ์วิ่งเข้ามาแล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าของจ้าวหลานหยู่พร้อมรายงาน
จ้าวหลานหยู่มองไปยังทิศทางนั้น ดูเหมือนว่ามีคนอาศัยอยู่จริง แต่เขาเองก็มิรู้ว่าเป็นที่ซึ่งอันอิงเฉิงตั้งรกรากอยู่หรือไม่
คิดไปแล้วการเผชิญหน้ากับอันอิงเฉิงก็เป็นเรื่องยุ่งยากเช่นกัน เขามิอยากทำร้ายทั้งสองคน เพราะถึงอย่างไรตอนนี้บุคคลที่เขาควบคุมอยู่ก็ล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของอันอิงเฉิงทั้งสิ้น
แต่ครานี้มิว่าผู้ใดก็ทำให้เขาล่าถอยมิได้ เขามิยอมหดหัวอยู่ในเงาอีกและต้องแข็งแกร่ง ต้องยิ่งใหญ่ให้จงได้
มิมีทางแพ้อันหลิงเกอเป็นอันขาด !
พอนึกว่าหากได้สวมฉลองพระองค์ด้วยชุดคลุมมังกร ในใจของจ้าวหลานหยู่ก็เกิดความรู้สึกที่มิอาจบรรยายได้
เขาเดินตรงไปข้างหน้าแล้วเห็นหลี่ซื่อกำลังวุ่นอยู่นอกเรือน จ้าวหลานหยู่จึงโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้ลูกน้องรุดหน้าไป ทางที่ดีควรล่ออันอิงเฉิงออกมาเสียก่อน
องครักษ์รุดหน้าเข้าไปอย่างพร้อมเพียง หลี่ซื่อตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นนางก็รีบวิ่งเข้ามาในห้อง เวลานี้อันอิงเฉิงอยู่ในห้องดูเหมือนสังเกตเห็นจึงรีบเดินออกมาดูสถานการณ์ข้างนอกทันที ทว่าถูกหลี่ซื่อโผเข้ากอดเอาไว้
“เจ้ารอในห้องก่อน มิเป็นไรหรอก” เป็นอย่างที่คาดไว้จริง อันอิงเฉิงเลือกทิ้งหลี่ซื่อไว้ในห้อง จากนั้นก็ออกมาเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ แม้อันอิงเฉิงเคยตำหนิหลี่หรูเสวี่ย แต่อย่างไรนางก็ติดตามเขามาเนิ่นนานหลายปี ดังนั้นเขาย่อมมีความรู้สึกลึกซึ้งเป็นธรรมดา
ยิ่งไปกว่านั้นคือหลี่หรูเสวี่ยพยายามกลับตัวกลับใจใหม่แล้ว อันอิงเฉิงจึงยิ่งตำหนินางมิได้
จ้าวหลานหยู่วางแผนไว้แล้วว่าคนของตนมิจำเป็นต้องปะทะกับอันอิงเฉิง ขอแค่เรียกอันอิงเฉิงออกมาได้ก็พอแล้ว
อันอิงเฉิงเห็นว่าอีกฝ่ายมิได้ลงมือกับตนจึงอยากรู้ว่าผู้ใดส่งมา
อย่างไรก็เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของหรูเสวี่ย ลำพังตัวเขามิเป็นไรหรอก ทว่าหลี่ซื่อไร้ศิลปะป้องกันตัว คิดไปแล้วก็อันตรายอยู่มิน้อย
อันอิงเฉิงจึงรีบตามคนเหล่านั้นออกไปทางป่าไผ่ เวลานี้จ้าวหลานหยู่ให้ชายชุดดำอีกสองคนเข้าไปในห้องเพื่อจับตัวหลี่หรูเสวี่ยแล้วใช้ผ้าปิดปากของนางเอาไว้
หลี่ซื่อเดิมทีคิดว่าปลอดภัยแล้ว คาดมิถึงว่าจู่ ๆ ก็มีคนพุ่งเข้ามาจับตัวนางไว้และมิว่าดิ้นเพียงใดก็มิหลุดพ้น นางเป็นแค่สตรีคนหนึ่งจักให้สู้แรงของบุรุษได้อย่างไร